สั่งการทูตเชิงรุก โทษศก.ไทยแย่ เสี่ยงไปอิสราเอล

"เศรษฐา" สั่งเดินหน้าการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศสู่ยุคใหม่ ห้าม ขรก.ใช้สถานเอกอัครราชทูตไทยจัดเลี้ยงสังสรรค์อภิสิทธิ์ชน รับแรงงานไทยดอดกลับไปทำงานอิสราเอล โทษ ศก.เมืองไทยไม่ดีต้องยอมเสี่ยง "เอกอัครราชทูตฯ" บอกมาแล้วหลักสิบคน แจ้งคนไทยถูกจับเป็นตัวประกันเพิ่มอีกราย "บัวแก้ว" เผยภาพรวมเมียนมายังปกติ ไม่ต้องออกคำเตือนเดินทางเข้า ปท. บอกเหยื่อโดนหลอกขอความช่วยเหลือทั้งปีกว่า 400 คน

 ที่วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 21 พ.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวมอบนโยบายในการประชุมเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ ผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์ และฝ่ายส่งเสริมการลงทุน ประจำปี 2566 ในหัวข้อ “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” ตอนหนึ่งระบุว่า การปรับกรอบการคิดและแนวทางการทำงานต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการทำงาน ให้ความสำคัญกับทำไมมากขึ้น ต้องตอบให้ได้ว่าทำไปทำไม และผลกระทบคืออะไร พร้อมเปลี่ยนวิธีการคิดจากคำว่าทำไมถึงทำไม่ได้เป็น ทำอย่างไรถึงจะทำได้ และทำยังไงถึงจะสำเร็จ เพื่อให้รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่เน้นประชาชนทุกคนเป็นศูนย์กลาง

นายเศรษฐากล่าวว่า จุดยืนของไทยในความเป็นกลางที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย แต่ไม่ไร้จุดมุ่งหมาย โดยต้องทำความเข้าใจพลวัตของแต่ละประเทศ เพื่อเข้าใจประเด็นสำคัญเร่งด่วน และนำมาปรับใช้กับวิธีการวางตัว วางจุดยืนของประเทศให้เหมาะสม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เป็นข้อมูลที่จะชี้โอกาสสำหรับการค้าและการลงทุน ซึ่งคือการต่างประเทศที่คนไทยสามารถจับต้องได้

นายกฯ กล่าวด้วยว่า ขอให้ทีมประเทศไทยช่วยกันคิด วางแผนการทำงานร่วมกันให้ครอบคลุมทั้งการค้าขายทั้งนำเข้าและส่งออก และการลงทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศ เป็นฟันเฟืองสำคัญของการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ส่วนที่สอง บทบาทที่เกี่ยวข้องกับเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี และการช่วยเหลือคนไทยและธุรกิจไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเกียรติภูมิของประเทศและการดูแลพระเกียรติของราชวงศ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติการสร้างวัฒนธรรมใหม่

"อีกเรื่องหนึ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดข้อครหา ผมรู้ดีว่าทุกท่านทำงานหนัก และมีภารกิจล้นมือจากงานประจำอยู่แล้ว ผมจึงไม่ต้องการให้ทุกท่านต้องรับภาระดูแลอภิสิทธิ์ชนจากเมืองไทยที่เดินทางไปดูงานในประเทศนั้นๆ และไม่ควรมีการใช้ข้าราชการของเอกอัครราชทูตไทย หรือใช้สถานเอกอัครราชทูตไทย เป็นที่กินเลี้ยงจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ รับรองคณะคนไทยที่อ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ ผมอยากให้เราสร้างวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาในหมู่ข้าราชการ ว่าเกียรติและศักดิ์ศรีของข้าราชการ คือการทำงานอย่างมืออาชีพในหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประสานงานภาครัฐ การสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศ ที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าปล่อยให้สถานเอกอัครราชทูตไทยเป็นสถานที่จัดเลี้ยงรับรองคนไทยกันเอง" นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า วันนี้ยุคการทูตแบบเดิมหมดไปแล้ว ขณะที่การทูตแบบใหม่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายการเจริญเติบโต และจะทำให้ประเทศไทยสร้างอิทธิพลในเวทีต่างๆ ทั่วโลกได้มากขึ้น รวมถึงทำให้ประเทศไทยกลับมามีเกียรติและมีศักดิ์ศรีอีกครั้งในเวทีโลก และนั่นคือทีมไทยแลนด์ของรัฐบาล ที่มีทุกท่านร่วมเป็นสมาชิกในการทำงานอย่างแข็งขัน รวมถึงประสานองค์ความรู้และมุ่งมั่นสู่เป้าหมายเดียวกัน

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการโพสต์แสดงความเป็นห่วงกรณีแรงงานไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางกลับไปทำงานในอิสราเอลที่ยังคงมีสถานการณ์สู้รบต่อเนื่องว่า ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจในประเทศดี ไม่วิกฤติ แรงงานจะออกไปทำไม การออกไปทำงานในอิสราเอล ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งสูง เป็นจุดอันตรายเสี่ยงชีวิตในการที่แรงงานไทยกลับไปอีก

 “รัฐบาลไทยไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่ด้วยความห่วงใยขอให้ดูแลตัวเองอย่างดี ให้ปลอดภัย ซึ่งเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น พ้นจากวิกฤต เพื่อไม่ให้แรงงานไทยเสี่ยงชีวิตกลับไปทำงานเพื่อเอาเงินกลับมาเลี้ยงครอบครัวหลายหมื่นครอบครัว ซึ่งวันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งข้อกังวลเหมือนกันในเรื่องนี้” นายเศรษฐากล่าว

ถามถึงกรณีที่ปรากฏภาพกลุ่มฮามาสนำตัวประกัน ซึ่งถูกระบุว่าเป็นแรงงานไทยและเนปาลเข้าไปในโรงพยาบาลได้มีการตรวจสอบยืนยันหรือยังว่าเป็นคนไทยจริงหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงภายใน ยังไม่อยากเปิดเผย แต่ได้รับการยืนยันจากหลายฝ่าย รวมถึงฝ่ายความมั่นคงว่าคนไทยยังปลอดภัย

ขณะที่ น.ส.พรรณนภา จันทรารมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ยอมรับว่า ขณะนี้มีแรงงานไทยหลักสิบคนที่เดินทางกลับเข้าประเทศอิสราเอลไปแล้ว เท่าที่ทราบเดินทางผ่านไปยังประเทศอื่นก่อน ซึ่งทางสถานเอกอัครราชทูตไทยห่วงกังวล แต่เข้าใจแรงงานไทยมีความประสงค์จะกลับไป เพราะอิสราเอลเปิดรับแรงงานเต็มที่ เพราะขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก แต่ตนยังอยากให้รอก่อน อยากประเมินสถานการณ์เพื่อความมั่นใจ หากเป็นไปได้ขอแรงงานไทยประวิงเวลาการกลับไป ขอให้ใจเย็น ไม่ต้องกลัวว่าตำแหน่งงานจะหายไป เราทำเพื่อแรงงานก็อยากให้แรงงานคิดถึงสวัสดิภาพของตัวเอง 

ถามถึงคลิปวิดีโอที่อิสราเอลอ้างว่าเป็นโรงพยาบาลที่กลุ่มฮามาสใช้เป็นสถานที่ควบคุมตัวประกัน ซึ่งมีคนไทยรวมอยู่ด้วย น.ส.พรรณนภากล่าวว่า คลิปดังกล่าวเป็นของวันที่ 7 ต.ค. และอย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าคนไทยดังกล่าวถูกลักพาตัวจริง และ ณ วันนั้นยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งวันนี้หวังว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่และเราจะพากลับไทยได้

"การเจรจาขอปล่อยตัวประกันรัฐบาลกำลังทำอยู่ แต่ไม่ง่าย ซึ่งไม่ขอลงรายละเอียด ซึ่งจากการประเมินหากมีการปล่อยตัวประกันจะปล่อยกลับเข้ามาทางชายแดนอิสราเอลมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นทางใด ทั้งอิสราเอล หรือที่อียิปต์ เราก็เตรียมพร้อมเช่นกัน" เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟระบุ

มีรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ว่า กระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลได้แจ้งชื่อบุคคลสัญชาติไทยที่คาดว่าถูกควบคุมตัวจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค.66 เพิ่มอีก 1 ราย ส่งผลให้มีจำนวนผู้ที่ทางการอิสราเอลยืนยันว่าน่าจะถูกควบคุมตัวทั้งสิ้น 26 ราย อย่างไรก็ตาม สรุปสถิติผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อิสราเอล-กาซา สถานะวันที่ 21 พ.ย. มีดังนี้ เสียชีวิต 39 ราย รักษาอยู่ใน รพ. 3 ราย และถูกควบคุมตัว 26 ราย จากเดิม 25 ราย

วันเดียวกัน นายมงคล วิศิษฏ์สตัมภ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา กล่าวถึงสถานการณ์ความช่วยเหลือคนไทยในเลาก์ก่าย ประเทศเมียนมาว่า คนไทยจำนวน 266 คน ที่กลับมาถือว่าโชคดี เราต้องขอบคุณรัฐบาลสาธารณประชาชนจีน และรัฐบาลเมียนมาในการอำนวยความสะดวกส่งกลับ ส่วนคนที่เหลือทางสถานทูตพยายามหาทางให้กลับออกมาโดยเร็ว แต่ต้องดูความเป็นไปได้ในเส้นทางที่ปลอดภัย

"เขตปกครองตนเองว้ามีคนไทยอยู่ที่นั่นด้วย แต่สถานการณ์ไม่น่าเป็นห่วง เพราะไม่มีการสู้รบ หากมีการปล่อยตัวออกมา สถานทูตจะติดต่อกับทางการเมียนมาเพื่อนำกลับออกมา ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 20-30 คน ส่วนหนึ่งนายจ้างยังไม่ปล่อยตัว" นายมงคลกล่าว

ถามถึงภาพรวมของปีนี้มีคนไทยที่ถูกหลอกร้องขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยมากน้อยแค่ไหน นายมงคลกล่าวว่า มีจำนวนมาก ประมาณ 300-400 คน ซึ่งเขายังทำงานอยู่ และทหารเมียนมาเข้าไม่ถึง ต้องอาศัยการประสานงานภายในพื้นที่เท่านั้น

"สำหรับภาพรวมสถานการณ์ในเมียนมายังปกติ สามารถใช้ชีวิตและทำธุรกิจได้ตามปกติ ดังนั้นทางสถานทูตไทยจึงยังไม่ออกคำเตือนเกี่ยวกับการเดินทางเข้าเมียนมาแต่อย่างใด" เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง ระบุ            

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีคนไทยที่กลับจากเลาก์ก่าย เมียนมา บางส่วนถูกกล่าวหาว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหญ่ และคนเหล่านี้ไม่กลัวเรื่องการติดคุก แต่กลัวเกี่ยวกับการยึดทรัพย์มากกว่า ดังนั้นจึงได้ประสานไปยังสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินของขบวนการเหล่านี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.จับตาศึก ‘อบจ.ราชบุรี’

ประธาน กกต.ยันจับตาเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีวันอาทิตย์นี้ เตือนอย่าทำอะไรผิดกฎหมาย “2 ผู้สมัคร” แห่หาเสียงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะเด็กค่าย ปชน.

ไปข้างหน้าเพื่อชาติ! อิ๊งค์วอนเสื้อแดงให้เข้าใจ ราชทัณฑ์ดิ้นโต้เสรีพิศุทธ์

"นายกฯ อิ๊งค์" เผย ครม.นิ่งแล้ว รอตรวจประวัติเสร็จทำงานได้ทันที แจงจับมือ "ประชาธิปัตย์" เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล บอกเข้าใจหัวอกคนเสื้อแดง วอนก้าวไปข้างหน้าเพื่อชาติ