โพลค้านกู้เงินมาแจก ‘เสี่ยนิด’ขอบคุณ‘เจ้าสัว’เชียร์สุดลิ่ม/สส.พท.ปลุกมวลชนหนุน

ตอกหน้าหงาย! "นิด้าโพล"    เผยประชาชนร้อยละ 50.69 ไม่เห็นด้วยดันทุรังออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท แจกดิจิทัลวอลเล็ต "เศรษฐา" ขอบคุณ "เจ้าสัวแสนล้าน-ธนินท์" หลังเชียร์สุดลิ่ม ย้ำคำเดิมเศรษฐกิจประเทศวิกฤต สส.อีสาน พท.เดินแผนดึงมวลชนช่วยหนุน "ศรีสุวรรณ" เดินหน้ายื่นผู้ว่าฯ   สตง.ชี้ พ.ร.บ.กู้เงินขัด ม.53 พ.ร.บ.วินัยการคลัง

เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้ปฏิบัติภารกิจหลังเดินทางกลับจากประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่สหรัฐอเมริกา โดยได้ไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41  ในโอกาสครบรอบ 90 ปี ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ปาฐกถาพิเศษในงาน

 นายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเตรียมสคริปต์ให้พูด แต่ก็ยังไม่โดนใจมาก เพราะเป็นการเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา ได้พบผู้นำและนักธุรกิจระดับโลกจำนวนมาก จึงจะขอนำเรื่องที่ได้ไปพบมามาพูดในวันนี้ โดยเรื่องแรกดิจิทัลวอลเล็ต มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่จริงๆ แล้วปัจจัยหลักเหลือแค่เร่งด่วนจำเป็นหรือไม่ วิกฤตหรือไม่ มีบางคนเห็นว่าไม่เร่งด่วน ไม่จำเป็น ไม่วิกฤต แต่รัฐบาลนี้เห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นและเร่งด่วน และสภาพเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะวิกฤต หากบอกว่าวิกฤตจีดีพีต้องติดลบ ก็พูดถูกถ้าแบบนั้น แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เราอยู่บนโลกของการแข่งขันที่สูงมาก

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ย้อนกลับไปดูจีดีพีของประเทศคู่แข่งของเรา โดยเฉพาะเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์ ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เท่าไหร่ในปีที่ผ่าน เมื่อเปรียบเทียบกับเรา แต่เชื่อว่าเราสามารถไปได้อีก 9 ปี 10 ปี ที่ผ่านมาตัวเลขการเฉลี่ยของไทยต่ำกว่า 2% อยู่ที่ 1.8% จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้ที่อาสาเข้ามาแก้ปัญหา แล้วต้องทำให้ได้  สองเดือนที่ผ่านมาจัดการไปแล้ว พักหนี้เกษตรกร ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน รวมไปถึงการฟรีวีซ่าให้กับหลายประเทศ ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่เราดำเนินการ

นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ดิจิทัลก็เป็นนโยบายหนึ่ง ยืนยันเวทีวันนี้ไม่ได้เป็นการโน้มน้าว พร้อมยืนยันหลังจากที่ได้ไปประชุมเอเปก ทุกประเทศอยากมาลงทุนในไทย แม้เราจะเป็นประเทศเล็ก แต่ก็มีเอกราช และมีจุดยืนในการค้าขายมาตลอด และหลังจากที่ตนเดินทางไปหลายประเทศ ทั้งในอาเซียนและสหรัฐอเมริกา เป็นที่ประจักษ์ว่าประเทศไทยเป็นที่ต้องการของชาวโลก ทุกคนอยากมาลงทุนในประเทศไทย หรืออย่างน้อยก็มีประเทศไทยเป็นตัวเลือก พร้อมย้ำว่าการเดินทางไปต่างประเทศ ประเทศไทยไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่มาเพื่อค้าขาย มีมาตรการต่างๆ มากมายที่จะรองรับนักลงทุน เช่น มาตรการด้านภาษี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เรื่องของ FTA ประเทศไทยมีการเจรจาเรื่องนี้น้อยมาก ยังคงล้าหลังอยู่ ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งประเด็นหลักที่จะเดินหน้าเรื่องนี้กับนานาประเทศ

 “ลมปากอย่างเดียวไม่สามารถดึงดูดให้นักลงทุนมาลงทุนได้ แต่ต้องเดินทางไปพูดคุยและเจรจา และทุกฝ่ายต้องช่วยกัน แม้หลายคนอาจจะมองว่าการไปประชุมเอเปกไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แต่ผมไม่มองอย่างนั้น ประเทศไทยสามารถก้าวไปได้อีก ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็สนับสนุนเรื่องของการท่องเที่ยวเมืองรองด้วย แต่จะทำแบบนั้นได้ต้องอาศัยหลายปัจจัย รัฐบาลจึงต้องมีการลงทุน โดยเฉพาะเรื่องของการคมนาคม มีการขยายสนามบินในพื้นที่เมืองรอง จึงอยากให้ภาคเอกชนเสนอว่าต้องการการสนับสนุนอะไรจากรัฐบาล  ยืนยันการพัฒนาเมืองรองเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลนี้ จะทำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงกลางเดือนหน้าจะเดินทางไปที่ญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมประชุมอาเซียนเจแปน พูดอย่างไม่อายว่าเราเป็นหนี้บุญคุณญี่ปุ่นอยู่  เพราะตลอด 50 ปี ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีฐานผลิตอยู่ในไทยมากที่สุดประเทศหนึ่ง ดังนั้นการเดินทางไปครั้งนี้ก็จะไปแสดงความพร้อมของไทย และจะสนับสนุนในทุกด้านสำหรับการลงทุนในไทยของญี่ปุ่น รวมถึงการอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่าฟรีให้กับนักธุรกิจญี่ปุ่น  ประเทศไทยเปิดแล้ว พวกท่านพร้อมไหมครับ ถ้าพร้อมแล้วไปด้วยกันครับ

นายกฯ ขอบคุณเจ้าสัวเชียร์

ต่อมานายกรัฐมนตรีกล่าวให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ สนับสนุนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท แต่ขณะเดียวกันยังมีเสียงต่อต้านการกู้เงินมาใช้ในโครงการ ว่า ครับ ก็รับฟังครับ พร้อมรับฟังความเห็นต่าง

“ขอบคุณเจ้าสัวธนินท์ที่ให้การสนับสนุน ต้องไปดูว่าความจริงแล้วประเทศเราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยนโยบายหลักของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เราได้ทำมาแล้ว เรื่องการสนับสนุนเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลในระยะสั้นและระยะยาวด้วย รวมทั้งการย้ายถิ่นฐานการผลิตของบริษัทต่างๆ กว่าที่จะมีการตอกเสาเข็มและมีสินค้าออกไปก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายปี และ 9 ปีที่ผ่านมาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่เพียง 1.8% แต่เราต้องการวิธีใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรีระบุ

 เมื่อถามย้ำว่า แต่ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินมาใช้ในโครงการ เพราะมองว่าเศรษฐกิจของเรายังสามารถที่จะเจริญเติบโตได้อยู่ ไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤตถึงขนาดจำเป็นต้องกู้เงินมา นายเศรษฐากล่าวว่า รับฟังครับ รับทราบ และอย่างที่พูดมาตลอดเวลาว่ามันมีประเด็นอยู่ประเด็นเดียวคือวิกฤตและจำเป็นหรือเปล่า แต่ผมถือว่าวิกฤต แต่ถ้าท่านบอกว่าวิกฤตคือจีดีพีต้องติดลบ อันนั้นก็เป็นวิกฤต แต่ถ้ามองดูว่า 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเราโตแค่เพียง 1.8% คู่แข่งของเราก็ยังเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ก็ต้องไปดูว่าเขาขยายตัวเท่าไหร่ ท่านก็ไปดูตัวเลขย้อนหลังออกมาก็แล้วกัน ความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนเป็นอย่างไรบ้าง ค่าแรงขึ้นไม่ได้ ค่าแรงขั้นต่ำก็ขึ้นไม่ได้ เพราะธุรกิจเรารายได้ไม่ขยายตัวขนาดนั้น รายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 300-337 บาท ต่ำมากนะครับ แต่ผมเองก็เห็นใจผู้ประกอบการ ทั้งรายกลางและรายย่อยว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เพราะมีหลายๆ เหตุผล กว่า FTA จะเจรจาเสร็จ ใช้เวลา 1-2 ปี  และกว่าเขาจะมาตั้งโรงงานได้ต้องใช้เวลาพอสมควร กว่านโยบายหลายๆ  นโยบายจะประสบความสำเร็จได้ก็ต้องใช้เวลา และระหว่างนี้เราจะทำอย่างไร ต้องฝากไว้ด้วยนะครับ

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 41 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “90 ปี หอการค้าไทยกับการพัฒนาของเศรษฐกิจไทย” ถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะทำนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านระบบดิจิทัลวอลเล็ต โดยบอกว่า ส่วนตัวเห็นด้วยและสนับสนุน ซึ่งนักธุรกิจต้องช่วยกันพูด เรื่องนี้ไม่ใช่การช่วยคนยากจน แต่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องให้เข้าใจตรงกัน ส่วนวินัยทางการเงินการคลังยังไม่เสียหาย เพียงแต่หลังจากกระตุ้นแล้วต้องแผนที่ 2 ตามมา แผนในระยะกลางและระยะยาว และเชื่อมั่นว่า ถ้านักธุรกิจ ข้าราชการ และนักการเมืองมองประเทศชาติเป็นหลัก และเอาตัวเองเป็นที่ 3 เชื่อมากว่า ประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลชุดใหม่ต้องเจริญรุ่งเรือง

ภท.ย้ำหนุนถ้าไม่ขัดกฎหมาย  

ด้านท่าทีพรรคร่วมรัฐบาลต่อการสนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทว่า ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะตนให้สัมภาษณ์มาโดยตลอดว่า นโยบายของรัฐบาล ถ้าไม่มีสิ่งใดที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือ กฎหมาย พรรคร่วมรัฐบาลก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนนโยบายอะไรก็ตามที่ปรากฏอยู่ในการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เราต้องสนับสนุน แต่ทุกอย่างมีขั้นตอน ทางหน่วยงานที่เกี่ยวกำลังเร่งหาหนทางที่นำมาปฏิบัติให้เร็วที่สุด ต้องเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน อาจจะต้องมีการออกพ.ร.บ.ด้วย ทั้งนี้ เราจะต้องดูว่าถ้าไม่มีข้อขัดข้องหรือขัดแย้งกับกฎหมาย เราก็ต้องสนับสนุน

นายอนุทินที่ไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศเมื่อ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรี ยังได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาในงานตอนหนึ่งถึงการทำงานร่วมกับนายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยว่า จากการที่ได้ร่วมงานมา 3 เดือน เห็นถึงความพร้อมจะพาประเทศไทยไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นคนทำงานรวดเร็ว ว่องไว และตัดสินใจเฉียบขาด ทุกเรื่องที่ได้รับนโยบายมาก็มีความสบายใจว่านโยบายหรือคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนกับวิถีชีวิตของคนไทยและเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้นึกถึงเรื่องของพรรคการเมือง ทุกเรื่องคือเรื่องของรัฐบาล ในการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นคำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามสิ่งที่ให้สัญญาไว้กับประชาชนตั้งแต่หาเสียงเลือกตั้ง

 “นายกรัฐมนตรีมีความตั้งใจที่จะทำนโยบายให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย มั่นใจว่าภารกิจที่ได้ให้สัญญาเอาไว้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ขอให้คำยืนยัน จะให้ความร่วมมือกับนายกรัฐมนตรีในทุกๆนโยบายที่จะทำให้ประเทศเกิดประโยชน์” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าว 

สส.อีสานรุกขอเสียงชาวบ้านหนุน

วันเดียวกันนี้ มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจาก สส.อีสาน พรรคเพื่อไทย ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่เพื่อแสดงออกในการสนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต

โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา สส.เพื่อไทยจังหวัดร้อยเอ็ดทั้ง 5 เขต พร้อมด้วยตัวแทนชาวบ้านจากทุกอำเภอ ร่วมกิจกรรมเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์เงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อขอให้ประชาชนในพื้นที่ร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าวบริเวณบึงพลาญชัย และย่านชุมชนต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด โดยเดินรณรงค์พร้อมกับชี้แจงให้ชาวจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในช่วงเดือนธันวาคมนี้

 ขบวนเดินรณรงค์ได้เดินไปตามถนนหลายสายในเขตเทศบาลเมืองและตลาดสด พร้อมแจกใบปลิว เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน และให้ช่วยพากันประชาสัมพันธ์โครงการต่อไปถึงครอบครัวและญาติพี่น้อง ถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการให้โครงการดังกล่าวมีส่วนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจครัวเรือน และเศรษฐกิจชาติโดยรวม ตามเป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตให้ประโยชน์แก่คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และมีเงินฝากต่ำกว่า 5 แสนบาท จะได้รับสิทธิ์ทุกคน

ปรากฏว่าขณะที่คณะ สส.พรรคเพื่อไทยทั้ง 5 คนได้เดินประชาสัมพันธ์ภายในตลาดสดทุ่งเจริญ พบว่ามีคนไม่เห็นด้วยได้ใช้แขนทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปกากบาท ทราบชื่อภายหลังคือ น.ส.เสาวนีย์ ทรัพย์สมบูรณ์ พร้อมกล่าวว่าเดิมเป็นคนที่เคยชื่นชอบและเลือกพรรคเพื่อไทย ลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด แต่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินไปเข้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะจะเกิดความยุ่งยาก ผ่านขั้นตอนมาก ส่อว่ามีผลประโยชน์แอบแฝง   

“เมื่อกู้มาเป็นเงินบาท ทำไมไม่จ่ายเป็นเงินบาท แต่กลับนำไปเข้าระบบดิจิทัลวอลเล็ต ไม่เห็นด้วย ควรจะใช้นโยบายเดิมๆ เช่นนโยบายโอนเข้าบัญชีทันที เช่นเป๋าตังของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทุกคนมีอยู่แล้ว ทั้งเป็นระบบที่ดีอยู่แล้วมาใช้ ไม่ต้องเกี่ยงว่าเป็นนโยบายเดิมของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งนำมาใช้ก็ไม่น่าจะเสียหาย ดังนั้น อยากให้รัฐบาลปรับรูปแบบการใช้จ่ายเงินในรูปแบบโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพราะเชื่อว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน ไม่สามารถนำเงินมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง หรือร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการก็อาจมีจำนวนจำกัด” น.ส.เสาวนีย์กล่าว

ด้านนายฉลาด ขามช่วง สส.เพื่อไทย จ.ร้อยเอ็ด เขต 2 ซึ่งเป็นแกนนำพากลุ่มมวลชนเดินรณรงค์ กล่าวว่า การที่มีคนมาแสดงออกไม่เห็นด้วย คัดค้านโครงการนี้ ก็เป็นสิทธิทำได้ แต่ก็เปลี่ยนแปลงโครงการนี้ ที่รัฐบาลเห็นว่าดีอยู่แล้วไม่ได้ ไม่เห็นด้วยไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร หากไม่ชอบก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่โครงการนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีเงินโอนเข้าบัญชีก็เป็นสิทธิที่จะไม่ใช้ เมื่อไม่เบิกหรือถอนออกมาใช้ภายใน 6 เดือน ก็จะโอนกลับคืนคลัง และขอยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่มีการยกเลิก

ขณะเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เปิดเผยว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 245 บัญญัติไว้ว่า เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทําที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อพิจารณาในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบนั้น ให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี เพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย

 “การที่รัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านมาแจก จึงน่าจะขัดต่อกฎหมายการเงินการคลัง ม.53 โดยชัดแจ้ง และอาจจะทำให้วินัยการเงินการคลังของชาติเสียหายอย่างร้ายแรง องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงจะนำความไปร้องต่อผู้ว่าฯ สตง.ในการปฏิบัติตาม ม.245 ข้างต้นโดยเคร่งครัด ในวันจันทร์ที่ 20 พ.ย.66 ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน” นายศรีสุวรรณกล่าว

ไม่เห็นด้วยซื้อได้เฉพาะของบางอย่าง

วันเดียวกันนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “OK ไหม กับ นายกฯ สรุปเอง เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทสรุปของนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต

นิด้าโพลระบุว่า จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงคุณสมบัติการได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 79.85 ระบุว่ามีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ รองลงมา ร้อยละ 11.68 ระบุว่าไม่แน่ใจว่าตนเองมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์หรือไม่ และร้อยละ 8.47 ระบุว่าไม่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์

เมื่อถามตัวอย่างที่ระบุว่าไม่แน่ใจว่า ตนเองมีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์หรือไม่ และไม่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ (จำนวน 264 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความรู้สึกที่จะไม่ได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เนื่องจากคุณสมบัติไม่ครบตามเกณฑ์ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 68.18 ระบุว่าไม่โกรธเลย รองลงมา ร้อยละ 11.36 ระบุว่าไม่ค่อยโกรธ, ร้อยละ 8.71 ระบุว่าค่อนข้างโกรธ, ร้อยละ 7.58 ระบุว่าโกรธมาก และร้อยละ 4.17 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ต้องเป็นคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป มีรายได้ไม่ถึง 7 หมื่นบาทต่อเดือน และ/หรือมีเงินฝากทุกบัญชีรวมกันต่ำกว่า 5 แสนบาท พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.53 ระบุว่าเห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 20.31 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย, ร้อยละ 12.67 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.69 ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อเงื่อนไขการใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยสามารถใช้ซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 34.66 ระบุว่าไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 28.47 ระบุว่าเห็นด้วยมาก, ร้อยละ 20.69 ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 16.03 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อแหล่งที่มาของงบประมาณในการจัดทำนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่รัฐบาลจะออกพระราชบัญญัติกู้เงิน 500,000 ล้านบาท และงบประมาณประจำปีอีก 100,000 ล้านบาท พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 50.69 ระบุว่าไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 18.70 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย, ร้อยละ 14.89 ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 13.35 ระบุว่าเห็นด้วยมาก และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ภายหลังการแถลงของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 29.92 ระบุว่าไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 25.97 ระบุว่าเห็นด้วยมาก, ร้อยละ 25.11 ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย, ร้อยละ 18.24 ระบุว่าไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.76 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง