ธนาธรสอนรัฐบาล! งบ4.5แสนล.พัฒนา5ด้าน ลั่นจีดีพีตํ่าแต่ไม่ใช่วิกฤต

“ธนาธร” สอนมวยรัฐบาลเศรษฐา ยันประเทศไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ  พร้อมโชว์กึ๋นใช้งบไม่ถึง 5 แสนล้านบาทพัฒนา 5 ด้าน ทั้ง “คมนาคม-สาธารณสุข-ประปา-การศึกษา-สิ่งแวดล้อม” ชี้เป็นการวางรากฐานเพื่อให้แข่งขันกับนานาชาติได้ “เด็ก ปชป.” ย้อนเกล็ดนำคำพูดแม้วกู้เงินมาแจกประชาชนปัญญาอ่อนตบปากเด็จพี่ “ศรีสุวรรณ” จัดเต็มนายกฯ  นิดร้อง ป.ป.ช.ฟันกู้มาแจกผิดทั้งรัฐธรรมนูญ-จริยธรรม

เมื่อวันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566  ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องในนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท  โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงความคืบหน้าว่า คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ได้พูดคุยกันในประเด็นต่างๆ ข้อเสนอว่าการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรอบด้านหรือไม่   ซึ่งการที่คณะกรรมการกฤษฎีการะบุว่าอยากจะช่วยดูรายละเอียด ถ้าเกิดมีความชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมาย ทุกฝ่ายจะได้สบายใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะปฏิเสธ ตอนนี้อยู่ในกระบวนการ คาดว่าน่าจะทำโดยเร็วที่สุด ถ้าสรุปได้ข้อชัดเจนอย่างไรจะดำเนินการตามนั้น ขณะเดียวกันเราพยายามรับฟังเสียงข้อเสนอแนะให้ครอบคลุมมากที่สุด  ถ้าหากรัฐบาลจะออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ทำได้ แต่เพียงอยากให้ทุกคนสบายใจ ซึ่งการเสนอเข้ารัฐสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาอย่างชัดเจน ตอนนี้เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ได้มีปัญหาอะไร  

ถามว่าขั้นตอนของกฤษฎีกาจะใช้เวลานานเท่าไหร่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า  ขึ้นอยู่กับกฤษฎีกา แต่คิดว่าเร็วที่สุด เพราะทุกคนรู้ว่าเป็นเรื่องด่วนที่ต้องทำ

เมื่อถามถึงเงื่อนไขว่าจะปรับเปลี่ยนอีกหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องฟังกฤษฎีกา ถ้าเกิดกฤษฎีกาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรก็ผ่านได้เลย แต่ถ้ามีข้อท้วงติงจะต้องประชุมกันอีก ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยจะปรับและนำเสนอได้เลยเช่นกัน

 เมื่อถามว่า หากท้ายที่สุดแล้วโครงการดังกล่าวไม่สามารถทำได้ ต้องยุติเลยหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าข้อกฎหมายจะออกมาเป็นแบบไหน การจะตัดสินใจอย่างไรขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางกฎหมาย 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ปฏิเสธแสดงความคิดถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยระบุว่า ขอให้เป็นฝั่งรัฐบาลเป็นผู้ชี้แจง แต่นโยบายของรัฐบาลทั้งหมดพรรค พท.สนับสนุนแน่นอน

ส่วนนายแทนคุณ จิตต์​อิสระ​ รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ ​พรรค​ประชา​ธิ​ปัตย์ ​กล่าวตอบโต้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษาฝ่ายการเมืองนายภูมิธรรม ที่ออกมาวิจารณ์นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชป. ว่าติเรื่องเงินดิจิทัลทุกดอก  ว่าเห็นใจนายพร้อมพงศ์ ที่ดิ้นเหมือนโดนน้ำมนต์ เพราะรับความจริงไม่ได้ที่ถูกเปิดโปงความกลับกลอกปอกลอกเชิงนโยบายที่ไม่ตรงปก บอกไม่กู้แต่กู้ บอกฟังเสียงประชาชนแต่ปิดปากห้ามวิจารณ์ ซึ่งนายเศรษฐาเคยพูดไว้ว่าหาเงินได้ ใช้เงินเป็น  แต่ความจริงกลับเป็นผลาญภาษีได้ ใช้อารมณ์เป็น (ใหญ่) 

“นายทักษิณ ชินวัตร เคยตำหนิว่ารัฐบาลปัญญาอ่อนเท่านั้นกู้เงินแจกประชาชน คำเตือนนายจุรินทร์เป็นยาขมที่คนทุจริตรับไม่ได้ แต่อยากให้ฟัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการพาประเทศล่มจมด้วยหนี้ ดั่งพระว่าคำเตือนเหมือนการชี้ขุมทรัพย์ ซึ่งนายจุรินทร์มีประสบการณ์การเมืองสูง มองกลเกมขาด มองชะตากรรมของนายพร้อมพงศ์ขาด ว่าหากดึงดันทำผิดกฎหมายอาจทำให้นายพร้อมพงศ์พร้อมพวกได้กลับเข้าเรือนจำอีกครั้งหลังออกมาไม่นาน หากทำชาติเสียหายครั้งนี้ ทรัพย์สินทั้ง ครม.ต้องถูกนำมาขายทอดตลาดเพื่อใช้หนี้ให้ประเทศ” นายแทนคุณระบุ

'ทอน' โผล่ยันไทยไร้วิกฤต

วันเดียวกัน ที่อาคารอนาคตใหม่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้จัดบรรยายสาธารณะในหัวข้อ “ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน” โดยนายธนาธรกล่าวในช่วงต้นว่า ในสิบปีที่แล้ว หากเทียบจีดีพีกับประเทศเพื่อนบ้าน จะเห็นว่าจีดีพีประเทศไทยถดถอยลง ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ถามว่าประเทศไทยเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจหรือไม่ เพราะจีดีพียังคงเติบโตบ้างในช่วงวิกฤตโควิด ซึ่งไม่คิดว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ปรากฏคือไทยแข่งขันกับโลกไม่ได้มากกว่า คำถามคือทำไมจีดีพีขึ้นช้า เพราะเราไม่มีขีดความสามารถมากเพียงพอในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาชาติ

นายธนาธรกล่าวต่อว่า หากมีงบ 5 แสนล้านบาท อยากพัฒนาในด้านการคมนาคม สาธารณสุข น้ำประปา การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความฝันที่ทะเยอทะยาน ในการพัฒนาให้เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งต้องตอบโจทย์กับการสร้างอาชีพให้ประชาชน และประเทศไทยสามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ โดย

ด้านแรกคือด้านสาธารณสุข สร้างระบบแพทย์ทางไกลทั่วประเทศ ซึ่งหากจะทำโครงการนี้ให้เกิดขึ้นจริง ต้องใช้งบประมาณ 66,000 ล้านบาท เช่น การติดตั้งอุปกรณ์ Telemedicine 4,900 ล้านบาท ทุกหมู่บ้าน เป็นการสร้างอาชีพให้กับกลุ่ม อสม. เป็นผู้ให้บริการ หากดำเนินการสำเร็จ จะช่วยลดความแออัดของโรงพยาบาล และจะได้การจ้างงานเพิ่ม 70,000 ตำแหน่ง มีข้อมูลสาธารณสุขขนาดใหญ่ และเกิดเทคโนโลยีในประเทศมากขึ้น

นายธนาธรกล่าวอีกว่า การคมนาคม สิ่งที่เรานำเข้ามากที่สุดในประเทศคือ พลังงาน เฉลี่ยแล้วเรานำเข้าพลังงาน เสียค่านำเข้าพลังงานปีละ 1.2 ล้านล้านบาท หากเราทำระบบขนส่งสาธารณะและชักจูงให้ประชาชนหันมาใช้ โดยงบประมาณในการลงทุนระบบขนส่งสาธารณะ แบ่งเป็น 1.งบลงทุนรถเมล์ไฟฟ้า EV 62,300 ล้านบาท 2.งบลงทุนจุดจอดรถและป้ายรถเมล์ 4,450 ล้านบาท 3.งบดำเนินการสนับสนุนค่าโดยสารและบำรุงรักษา 21,000 ล้านบาท รวมเป็น 88,000 ล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมรถเมล์ไฟฟ้ามีห่วงโซ่อุปทานที่ยาวมาก หากเราสามารถทำได้จะทำให้เกิดการสร้างงานได้เป็นจำนวนมาก

 “น้ำประปาดื่มได้ไม่ได้เป็นความรู้สึก แต่เป็นวิทยาศาสตร์ที่มีการตรวจวัดด้วยเครื่องมือคุณภาพทุกวัน ทั้งนี้ เรื่องน้ำประปาดื่มได้ใช้งบประมาณ 66,755 ล้านบาท สามารถพัฒนาแหล่งน้ำได้ 1,050 แห่ง ใช้งบแห่งละ 15.6 ล้านบาท คิดเป็น 16,380 ล้านบาท หรือสามารถใช้เป็นงบประมาณในการจัดการระบบผลิตน้ำ 3,250 แห่ง แห่งละ 15 ล้านบาท คิดเป็น 48,750 ล้านบาท หรือใช้ปรับปรุงระบบผลิตน้ำ 3,250 แห่ง แห่งละ 500,000 ล้านบาท คิดเป็น 1,625 ล้านบาท โดยประเทศไทยสามารถทำได้ และยังสามารถต่อยอดให้เกิดการจ้างงานได้ ผมกล้าพนันว่าอีก 20 ปีต่อจากนี้ ทั่วโลกในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาจะเปลี่ยนระบบมิเตอร์น้ำเป็นสมาร์ทมิเตอร์หมด" นายธนาธรกล่าว

นายธนาธรกล่าวด้วยว่า ด้านสิ่งแวดล้อม ในการจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ จำนวน 120,000 ล้านบาท จากการที่ไปสำรวจบ่อขยะกว่า 60 ที่ทั่วประเทศ กล้าพนันว่ามีมากกว่า 80% เป็นบ่อขยะที่ไม่ได้ตามมาตรฐานสุขอนามัย ส่วนตัวคิดว่าเราลงทุนกับขยะน้อยที่สุดในการสร้างบริการสาธารณะ ซึ่งในอดีตเคยมีหลายกลุ่มออกมาต่อต้านการก่อสร้างโรงเผาขยะ แต่คงหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่ได้ เนื่องจากหากใช้วิธีการฝังขยะไปเรื่อยๆ จะไม่มีพื้นที่เพียงพอ และท้ายที่สุดก็จะต้องวนกลับมาเผาอยู่ดี โดยหากเราอยากสร้างโรงเผาขยะที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพ และอยู่ร่วมกับคนได้ เหมือนกับต่างประเทศ เราก็ควรให้ประเทศต่างๆ ที่มีความรู้ในเรื่องนี้เข้ามาร่วมลงทุน ทั้งการสร้าง บริหาร และจัดการ โดยโรงขยะที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช้เครื่องมือให้นักการเมืองเข้าไปหากินกับขยะ

ใช้งบ 5 ด้านไม่ถึง 5 แสนล้าน

นายธนาธรกล่าวอีกว่า การลงทุนเรื่องการศึกษา ที่ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ลูกหลานเราก็ควรได้เข้าถึงคุณภาพการศึกษาที่เท่ากัน เพื่อจบออกไปแล้วเขาจะได้ไปแข่งขันกันอย่างยุติธรรม จึงมีข้อเสนอเรื่องงบประมาณที่ต้องใช้ยกระดับการศึกษาดังนี้ ระดับอาชีวะ จำนวน 430 แห่ง ใช้แห่งละ 20 ล้านบาท คิดเป็น 8,600 ล้านบาท ระดับโรงเรียนพื้นฐาน จำนวน 33,281 โรง โรงละ 3 ล้านบาท คิดเป็น 99,843 ล้านบาท และโรงเรียนขนาดเล็กจำนวน 15,874 โรง โรงละ 0.5 ล้านบาท คิดเป็น 7,937 โรง และเงินสำหรับสนับสนุนกองทุนเพื่อความเสมอภาคด้านการศึกษา 4,500 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 120,880 ล้านบาท

ประธานคณะก้าวหน้าสรุปทิ้งท้ายว่า  งบประมาณที่เราจะใช้ในด้านต่างๆ ทั้ง 5 ด้านที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นด้านคมนาคมในการพัฒนารถเมล์ไฟฟ้าทุกจังหวัด ที่จะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท ด้านสาธารณสุข ที่จะสร้างระบบแพทย์ทางไกลทั่วประเทศใช้งบประมาณ 60,000 ล้านบาท ด้านน้ำประปาดื่มได้ทั่วประเทศ จะใช้งบ 67,000 ล้านบาท ด้านสิ่งแวดล้อมด้านการจัดการขยะอย่างถูกสุขลักษณะทั่วประเทศ 120,000 ล้านบาท และด้านการศึกษา ในการลงทุนเพิ่มศักยภาพโรงเรียน จำนวน 121,000 ล้านบาท จะใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 456,000 ล้านบาท

นายธนาธรให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า การนำเสนอในวันนี้ต้องการให้สังคมแลกเปลี่ยนถกเถียงกัน ว่าภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด จะเอาไปใช้ทำอะไร จึงเสนอทางเลือกเป็นอาหารสมองให้กับสังคม หวังว่าสิ่งที่พูดจะนำไปแลกเปลี่ยนถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง และนี่จะเป็นผลดีต่อประชาธิปไตย

เมื่อถามว่า มองประเด็นการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลอย่างไร นายธนาธรกล่าวว่า อย่างที่เคยโพสต์แสดงความเห็น ส่วนตัวคิดว่าประเทศไทยวันนี้ไม่ได้มีวิกฤตเศรษฐกิจ แน่นอนเศรษฐกิจอาจไม่ดี แต่ก็ยังเติบโตอยู่ แต่หากเกิดจำเป็นต้องกู้เป็นจำนวน 5 แสนล้านบาท ไม่เห็นด้วย

เมื่อถามว่า มองว่าจะได้ผลลัพธ์มากน้อยแค่ไหน นายธนาธรกล่าวว่า ได้บรรยายไปแล้วว่าจะเอาไปทำอะไร ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ไม่คุ้มทุนใช่หรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า ไม่มีความจำเป็น ส่วนเรื่องการให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความนั้น ไม่แม่นข้อกฎหมาย ขอให้ไปถามทางตัวแทนพรรคก้าวไกลจะดีกว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่จำเป็น

“จำได้หรือไม่ครับ โควิดที่หนักมาก เรากู้ 1.5 ล้านล้านบาท ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมคิดว่าในวันนี้ หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่สูงมาก คิดว่าทั้งหมดกลับมาที่จุดเดิมที่นำเสนอ คือเกิดจากขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เราไม่มีการลงทุนอย่างเพียงพอในการที่จะทำให้ประเทศไทยแข่งขันได้ ดังนั้นถ้าอยากให้ประเทศไทยแข่งขันได้ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า จำเป็นจะต้องลงทุนเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขันทั้งหมดในวันนี้” นายธนาธรกล่าว

ขณะที่ นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เดินทางมายื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อนขอให้ไต่สวนและมีความเห็นเสนอไปยังอัยการและศาลฎีกา กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะเสนอให้มีการออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อมาแจกในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อันส่อไปในทางขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 140 ประกอบมาตรา 53 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 และถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย เพราะนายเศรษฐาเคยปราศรัยหาเสียงและให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่มีการกู้เงินมาใช้

จับผิดดิจิทัลวอลเล็ต

นายศรีสุวรรณระบุว่า การจะออกกฎหมายกู้เงินนั้น รัฐธรรมนูญ 2560 มีข้อกำหนดไว้ชัดเจนในมาตรา 140 ว่าจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายงบประมาณ กฎหมายเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังเท่านั้น เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วนเท่านั้น ส่วน พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ก็กำหนดไว้เป็นการเฉพาะในมาตรา 53 คือต้องเป็นกรณีเร่งด่วน เป็นเรื่องต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ และไม่อาจตั้งงบประมาณประจำปีได้ทันเท่านั้น ซึ่งการออก พ.ร.บ.เพื่อกู้เงินมาแจกในขณะนี้ จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายข้างต้นระบุไว้แต่อย่างใด

“เหตุผลประการเดียวที่นายเศรษฐาจำต้องกลืนน้ำลายตนเอง เพราะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เขียนไว้สวยหรูในหนังสือที่ชี้แจงต่อ กกต. ตามมาตรา 57 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ได้ แต่จำต้องหาเงินมาใช้ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวโดยการออก พ.ร.บ.กู้เงิน และขณะนี้มีความพยายามที่จะอ้างว่าประเทศมีวิกฤตจำต้องกู้เงินมากระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งๆ ที่สัปดาห์ที่แล้ว ฟิทช์เรตติ้งได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ BBB+ ดังนั้น การกู้เงินมาแจกจึงมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนในระยะยาวได้”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ประชาชนต้องรู้ทันเงินดิจิทัล เพราะมีประชาชนจำนวนไม่น้อยได้ยินนายเศรษฐาพูดว่า จะนำแอปเป๋าตังมาใช้ จึงคิดว่าเมื่อขายของแล้ว จะได้เงินเข้าบัญชีเหมือนรัฐบาลลุงตู่ ต้องขอย้ำว่าเขาพูดว่าจะเอาแอปเป๋าตังมาใช้ก็จริง แต่เขาเอามาใช้ร่วมกับบล็อกเชน ไม่ใช่เอามาใช้แล้ว จะมีเงินเข้าบัญชีเหมือนรัฐบาลลุงตู่ เงินของรัฐบาลเศรษฐา ที่เขาให้มาหรือร้านค้าขายของได้นั้น เป็นเงินดิจิทัล เป็นเงินบาทชั้นสอง ไม่ใช่เงินชั้นหนึ่ง (เงินสดจริงๆ) เพราะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และห้ามซื้อสินค้าอีกนับสิบรายการ จะกลายเป็นเงินชั้นหนึ่ง (เงินสด) ต้องรอแลก หลังซื้อขายหกเดือนไปแล้ว

“ที่นายเศรษฐาพูดว่า ร้านค้าย่อย ตลาดนัด แผงลอย เข้าร่วมได้ ไม่ต้องมีระบบแวต 7 เปอร์เซ็นต์ก็ร่วมได้นั้น ต้องฟังให้หมด เนื่องจากแม้ขายของได้ก็ขึ้นเงินไม่ได้ เพราะร้านย่อยไม่ได้อยู่ในระบบฐานภาษีที่ต้องเสียภาษี จึงขึ้นเงินไม่ได้ ที่สำคัญร้านใดแม้อยู่ในระบบภาษี ต้องรออีก 6 เดือนจึงขึ้นเงินได้”

นพ.วรงค์กล่าว่า สิ่งที่ยิ่งสับสนไปใหญ่คือ นายเศรษฐาพูดว่าเงินดิจิทัลนี้จะเริ่มแจก พ.ค.ปี 2567 และจะขยายจนหมดโครงการ เม.ย.2568 รวม 1 ปี แต่ล่าสุดนายจุลพันธ์กับพูดคนละอย่างบอกว่า รัฐบาลก็จะสร้างกลไกขึ้นมาเพื่อทำให้ดิจิทัลวอลเล็ตหมุนอยู่ในระบบให้นานขึ้น หมุนไปเรื่อยๆ ในระบบ 2-3 ปีตามเป้าหมายรัฐบาล เท่ากับว่าประเทศไทยจะมีเงินบาทสองประเภท อยู่ในระบบนานร่วมสามปี

“ผมไม่มั่นว่านักลงทุนต่างชาติจะเชื่อมั่นต่อค่าเงินบาทหรือไม่ สุดท้ายลึกๆ แล้ว ผมคิดว่าโครงการเงินดิจิทัลของรัฐบาลเศรษฐาคงล่ม เพราะถ้าเขาอยากให้เกิดจริงๆ เขาควรออก พ.ร.ก.กู้เงิน ไม่ใช่มาดึงเกมแล้วออกเป็น พ.ร.บ. ซึ่งใช้เวลานาน” นพ.วรงค์ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘เนวิน’รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดมิวสิคัลเทิดพระเกียรติ

“เนวิน” รวมใจชาวบุรีรัมย์ จัดเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา แสดง แสง สี เสียง มิวสิคัล “ลมหายใจของแผ่นดิน” โดยบุรีรัมย์ออร์เคสตรา แสดงความจงรักภักดี 28-30 ก.ค.2567 สนามช้างอารีนา บุรีรัมย์

นายใหญ่เมินห่วงปมเศรษฐา

“ทักษิณ” ไม่ห่วง “เศรษฐา”  ปมศาล รธน. มั่นใจพา พท.กลับมาผงาดได้ ไม่ขอแตะ “ลุงตู่” หลังมีกระแสคิดถึง