ป.ป.ช. บี้ ‘กู้มาแจก’ จ่อให้รัฐบาลส่งข้อมูลวิเคราะห์โดยเฉพาะที่มาของเงิน

กรุงเทพฯ ๐ ป.ป.ช.ตามติดข้อมูลแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตหลัง "เศรษฐา" แถลง เตรียมพิจารณาในรายละเอียด ทั้งขั้นตอน ใช้วิธีการอะไรอย่างไร โดยเฉพาะแหล่งที่มาของเงิน ต้องขอข้อมูลจากรัฐบาลมาวิเคราะห์ ขณะที่ สว.สมชายแฉลึกๆ รัฐบาลคาดหวังอาศัยคณะกรรมการกฤษฎีกา รัฐสภา สส. สว. ศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยคว่ำร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน ส่วนนายกฯ จับคู่ซด “ศิริกัญญา” โต้กันนัว เพื่อไทยดาหน้าถล่มก้าวไกล

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง แถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่า ก่อนหน้านี้เราได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet ขึ้นมาแล้ว ซึ่งหลังจากรัฐบาลแถลงรายละเอียดมาแล้วเมื่อวันที่ 10 พ.ย. หลังจากนี้คณะกรรมการเพื่อศึกษาฯ จะนำรายละเอียดดังกล่าวมาดู ทั้งขั้นตอน ใช้วิธีการอะไรอย่างไร

ที่สำคัญคือแหล่งที่มาของเงิน โดยคณะกรรมการเพื่อศึกษาฯ จะนำรายละเอียดและข้อมูลมาวิเคราะห์กัน และอาจจะต้องขอข้อมูลและรายละเอียดจากรัฐบาล หรือกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าภาพมาประกอบด้วย ซึ่ง ป.ป.ช.มีอำนาจตามกฎหมายในการขอข้อมูลและรายละเอียดมาดูได้หากมีความสงสัย ส่วนผลการศึกษาของคณะกรรมการเพื่อศึกษาฯ จะเสร็จเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่ได้มาว่าครบถ้วนหรือไม่ โดยก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมกันไปบ้างแล้ว

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Somchai Swangkarn" เกี่ยวกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตว่า เอกสารประกอบนโยบายที่พรรคเพื่อไทยยื่นชี้แจงต่อ กกต.ถึงที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 560,000 ล้านบาท ว่าจะใช้การบริหารงานงบประมาณปกติ และการบริหารระบบภาษี ได้แก่ 1.ประมาณการรายได้ปี 2567 ที่เพิ่มขึ้น 260,000 ล้าน 2.ภาษีที่ได้เพิ่มขึ้น 100,000 ล้าน 3.การบริหารจัดการเงินกู้ 110,000 ล้าน 4.การจัดการงบประมาณสวัสดิการที่ซ้ำซ้อน 90,000 ล้าน นั้น สรุปว่าที่มาของเงินไม่ใช่การดำเนินการตาม 4 ข้อข้างต้น         

หากแต่ชัดเจนว่าเป็นการกู้มาแจก โดยการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 600,000 ล้านดังกล่าว ซึ่งไม่ตรงกับรายงานที่เคยแจ้งไว้เป็นหลักฐานต่อ กกต. ดังนั้นเป็นเรื่องที่ กกต. คงจะต้องตรวจสอบอีกครั้งให้ชัดเจนว่า เข้าข่ายผิดกฎหมายใดบ้างทั้งที่มาของเงินไม่เป็นตามที่แจ้งต่อ กกต.  หรือจะเข้าข่าย "สัญญาว่าจะให้" หรือไม่

เขาระบุว่า การเลือกวิธีการจะตราเป็นกฎหมายพิเศษเพื่อกู้เงินตามมาตรา 53 ของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 140 นั้นอาจทำได้ แต่ก็ใช่ว่ากฎหมายมาตรา 53 นี้จะอนุญาตให้ทำได้ทุกกรณี เพราะมีเงื่อนไขกำกับไว้ชัดเจนว่า ให้ทำได้โดยมี 4 เงื่อนสำคัญ คือ 1.เร่งด่วน 2.ต่อเนื่อง 3.เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ 4.ไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทัน

สรุปว่าไม่เข้าเงื่อนไขใดๆ เลย ทั้งเรื่องความเร่งด่วน หรือความต่อเนื่อง เพราะจ่ายเงินออกครั้งเดียว 5 แสนล้านไม่ต่อเนื่อง มีที่ต่อเนื่องคือการต้องใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย หรืออ้างว่าเพื่อแก้วิกฤตประเทศ ข้อเท็จจริงก็ไม่ได้มีวิกฤตร้ายแรง เช่น สงคราม, โรคระบาดโควิด, วิกฤตต้มยำกุ้ง ฯลฯ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

รัฐบาลสับปลับ

นายสมชายโพสต์ว่า "ลึกๆ แล้วคงมีการคาดหวังอาศัยให้คณะกรรมการกฤษฎีกา, รัฐสภา, สส., สว., ศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยโต้แย้งและล้มนโยบายแจกเงินดิจิทัลนี้ ด้วยการคว่ำร่าง พ.ร.บ.กู้เงินนี้แทน เหตุเพราะนโยบายที่เคยหาเสียงแล้วทำไม่ได้จริงกระมัง #เลิกดันทุรังเถอะ"

ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เป็นผลผลิตที่ฉาบฉวยจากพรรคเพื่อไทย ที่ไม่มีการคิดให้ละเอียดรอบด้าน ไม่คิดถึงความยั่งยืนของประเทศ ตั้งต้นไม่ได้  เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทั้งที่มาของเงิน วันหนึ่งไม่กู้ อีกวันหนึ่งกู้ วิธีการรับเงินจ่ายเงิน และจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรแน่นอน ประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการ อีกวันหนึ่งบอกต้องศึกษาก่อน สร้างความสับสนให้ประชาชนตลอด รวมถึงกระบวนการในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ก็จะเห็นว่ายังไม่มีความชัดเจนใดๆ สิ้นปีนี้การตั้งฉายาของสื่อคำที่น่าสนใจยิ่งคือ “รัฐบาลสับปลับ” ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

"สิ่งเดียวที่รัฐบาลนี้ทำสำเร็จคือ การทำลายหลักนิติธรรม เลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องการคุมขังนักโทษ ให้เชื่อหลักธรรมชาติว่าความลับไม่มีในโลก ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลต้องร่วมกันรับผิดชอบในเรื่องนี้ในวันข้างหน้า และเรื่องนี้ถือว่ารัฐบาลประสบผลสำเร็จ และถือได้ว่าเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ดีที่สุดของรัฐบาล ถ้าซอฟต์เพาเวอร์ประกอบด้วยวัฒนธรรมและค่านิยม เชื่อว่าประชาชนไม่อยากให้มีการสร้างวัฒนธรรมและค่านิยม 'แหกคุกโดยรัฐบาล' ซึ่งความเสียหายจะเกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรม ถ้ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ ไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าคุกมีไว้ขังคนจน ก็ควรตอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง" นายราเมศกล่าว

วันเดียวกันนี้ นายเศรษฐาทวีตผ่าน X ตอบโต้กรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ให้สัมภาษณ์ว่าโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ชัดเจนที่ไม่มีเรื่องแหล่งที่มาของเงิน  และฟันธงว่าไม่มีใครได้เงินดิจิทัล เป็นแค่การหาทางลงของรัฐบาลว่า "อย่าเอามาตรฐานความคิดของตัวเองมาหวังว่าคนอื่นเค้าจะเป็นเหมือนกัน อย่ามองความตั้งใจที่บริสุทธิ์ และความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน มาเป็นมุมการเมืองที่สร้างความสับสนให้กับประชาชนเลยครับ"

ต่อมา น.ส.ศิริกัญญาโพสต์ตอบโต้กลับไปว่า "Noble Effort คำเรียกตรรกะวิบัติชนิดหนึ่งที่ตีความผิดๆ ว่า อะไรสักอย่างย่อมถูกต้อง ดีงาม จริงแท้ หรือมีคุณค่า เพียงเพราะใครสักคนทุ่มเทแรงกายแรงใจ  หรือแม้แต่เสียสละเวลา ทรัพย์สิน หรือความสุขสบาย มาพากเพียรทำสิ่งนั้นๆ ด้วยเจตนาที่ดี"

ไม่ขัดวินัยการเงินการคลัง

นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นมุมมองของ น.ส.ศิริกัญญา บังคับไม่ได้ บางคนมีเงินเดือนไม่ได้หาเช้ากินค่ำ อย่าง สส.มีเงินเดือนเป็นแสนอาจมองไม่จำเป็น แต่อยากให้มองไปที่อาชีพอื่นด้วย ความตั้งใจของนายเศรษฐา รวมถึงการที่พรรคเพื่อไทยทำนโยบายออกมา เพื่อต้องการอัดเงินเข้าระบบ ตามที่นายกฯ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่าต้องการทำให้จีดีพีใน 4 ปีข้างหน้าโตขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี แต่ที่ผ่านมาจีดีพีโตแค่ 1% กว่า ถึง 2% เท่านั้น การจะให้จีดีพีโตตามเป้าทำได้หรือไม่ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ เราจึงมองว่าเรื่องนี้เร่งด่วน

เขากล่าวว่า ถ้า น.ส.ศิริกัญญาไปตามชานเมืองจะเห็นว่าประชาชนมีกำลังซื้อน้อยลง นโยบายนี้เราต้องการให้เงินไปสู่รากหญ้าแบบกระจายตัว ไม่ได้กระจุกตัว พรรคก้าวไกลอาจมองไม่เร่งด่วน แต่ของเพื่อไทย สส.เราเห็นว่าประชาชนลำบากกำลังซื้อน้อย รัฐบาลกำลังสร้างความมั่นใจให้คนไปกระตุ้นเศรษฐกิจ สิ่งที่ น.ส.ศิริกัญญาพูดไม่ผิด ถือเป็นมุมมอง แต่ความจำเป็นของประชาชนอีกมากที่กำลังรออยู่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องนำมาชั่งน้ำหนัก และรัฐบาลมีหน่วยงานของรัฐ ทั้งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยคอยให้ความเห็น การออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงินก็มาจากความเห็นของหน่วยงานเหล่านี้ เพราะสามารถตรวจสอบได้และไม่เกินเพดานหนี้สาธารณะ ไม่ขัดวินัยการเงินการคลัง ไม่ผิดที่จะมองมุมจากฝ่ายค้าน เรารับฟังและยืนยันรัฐบาลไม่ได้ดื้อ ตอนหาเสียงมาบอก 4 กิโลฯ เมื่อมีการท้วงติงเราก็รับฟัง สส.พรรคก้าวไกลเองก็บอกให้ใช้แอปเป๋าตัง เราก็รับฟัง หน่วยงานรัฐบอกให้ทุกคนไม่ไหว เราก็รับฟังและปรับเปลี่ยน จนเป็นที่มาของการแถลงของนายกฯ

เมื่อถามว่า น.ส.ศิริกัญญามองว่าการออกเป็น พ.ร.ก.ทำไม่ได้ แต่รัฐบาลยังเดินหน้าเพื่อให้เป็นทางลงของโครงการ นายดนุพรกล่าวว่า ถือเป็นการคาดเดา เรามีประสบการณ์ตอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ก็เคยเจอกรณีออกเงินกู้ทำรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ ขอบคุณที่พรรคก้าวไกลเป็นห่วง แต่ยืนยันเราไม่ได้หาทางลง เวลาประชุมผู้บริหารเราไม่ได้คิดหาวิธีนี้เป็นทางลงตามที่กล่าวมา เราพูดแต่ว่าจะทำอย่างไรให้โครงการสำเร็จ เพราะเป็นนโบยบายหลักในการหาเสียง เราเดินหน้าเพื่อให้โครงการเกิดขึ้นเต็มที่แน่นอน

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวตอบโต้ น.ส.ศิริกัญญาว่า ประชาชนดูออกว่าใครว้าวุ่นกว่ากัน การวิพากษ์วิจารณ์ถือเป็นสิทธิ แต่ไม่ควรเอามาตรฐานของตัวเองไปตัดสินคนอื่น รัฐบาลเศรษฐามาเพื่อทำให้ได้ ไม่ได้มาเพื่อจะบอกว่าทำไม่ได้ รัฐบาลยินดีรับฟังทุกคำแนะนำจากทุกภาคส่วนที่ยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน แต่ต้องไม่สร้างความสับสน ไม่คิดแต่การเอาชนะทางการเมือง แล้วทำประชาชนเสียโอกาส

เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย

น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากการแถลงของนายเศรษฐา ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายดังกล่าว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและ GDP ของประเทศให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5% และตัวเลขธนาคารแห่งประเทศไทยไตรมาสที่ 3 ยังสะท้อนว่า ทั้งภาคการลงทุนและการบริโภคตกลงทุกด้านเมื่อเทียบกับปี 2565 สอดรับกับการประเมินของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ระบุว่าครึ่งปีแรกของปี 2566 เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.2% สะท้อนว่าที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตอย่างแท้จริง เป็นเพียงภาพลวงตา

น.ส.ลิณธิภรณ์กล่าวต่ออีกว่า การที่ น.ส.ศิริกัญญา และ สส.พรรคก้าวไกลอีกหลายท่านออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าว เข้าใจดีว่าถือเป็นบทบาทของฝ่ายค้านที่ต้องการตรวจสอบ แต่ต้องไม่ลืมว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าว รัฐบาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน โดยศึกษาทั้งทางกฎหมายและการเงิน รวมทั้งยังคงมุ่งรักษาวินัยทางการเงินและการคลัง

การวิจารณ์ดังกล่าวนอกจากจะสะท้อนว่า ผู้พูดไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดของคำแถลงอย่างถ่องแท้แล้ว ยังสะท้อนว่าผู้พูดมองแต่มุมของตนเอง ไม่ได้มองเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง เพราะหากมองโดยปราศจากอคติ มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย สภาวะสงครามที่เกิดขึ้นล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้ยาก.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สุริยะใส' เขย่า 'แจกเงินหมื่น' หอกทิ่มแทง วัดใจจุดเปลี่ยนรัฐบาลแพทองธาร

“สุริยะใส” ชี้จุดสลบใหญ่เรื่องเศรษฐกิจ นโยบายเรือธงอย่างดิจิทัล แจกเงินหมื่นเป็นหอกทิ่มแทง วัดใจจุดเปลี่ยนของรัฐบาลแพทองธาร