โจ๊กโยนเผือกร้อนส่วยให้บิ๊กต่อ

"ชัชชาติ" เพิ่งตื่น ผุดไอเดียล้อมคอกรถบรรทุกวิ่งกลางกรุงติดจีพีเอสทุกคัน ขณะที่ "บิ๊กโจ๊ก" โยนเผือกร้อนปมส่วยถาม ผบ.ตร.ใครรับผิดชอบ คืบหน้าสอบคนขับโดนแล้ว 2 ข้อหา จ่อเค้นปากเจ้าของรถหลังชิ่งตั้งหลัก อ้างติดสติกเกอร์สะดวกเข้าตักดินในไซต์งาน 

เมื่อวันศุกร์ เวลา 12.00 น. ที่กรมทางหลวง แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วยนายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  ประชุมร่วมกันในการแก้ไขปัญหารถบรรทุกวิ่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยนายชัชชาติเปิดเผยว่า การหารือในวันนี้เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหารถบรรทุกที่วิ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งปัญหาหลักๆ จะมี 2 เรื่องคือ 1.วิ่งนอกเวลา และ 2.น้ำหนักของรถบรรทุกที่เกินกว่าอัตราที่กำหนด เพราะที่ผ่านมาทาง กทม.ไม่เคยจับรถบรรทุกที่ผิดกฎระเบียบมาก่อน และเมื่อคืนที่ผ่านมามีการไปตรวจก็พบว่ารถบรรทุกคันดังกล่าวมีน้ำหนักเกิน จึงได้สั่งการให้มีการตั้งศูนย์ตรวจน้ำหนักรถบรรทุกในพื้นที่ กทม. และได้ขอความร่วมมือทางกรมทางหลวงและเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินการ พร้อมขอให้มีการตั้งด่านชั่งก่อนเข้าพื้นที่ กทม.อีกด้วย

“ขณะนี้กำลังประสานกับทางกรมขนส่งทางบกในการให้ติดจีพีเอสรถบรรทุกทั่วประเทศ เพื่อจะสามารถตรวจสอบว่ารถบรรทุกดังกล่าวนั้นขับเกินเวลาหรือไม่ และจะสามารถตรวจได้ว่าน้ำหนักเกินหรือไม่ แต่ประเด็นนี้ยังเป็นเพียงข้อเสนอแนะเท่านั้น ยังต้องมีการหารือร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน” นายชัชชาติ ระบุ

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากทาง กทม. พบว่ามีไซต์งานก่อสร้างทั่ว กทม.กว่า 300 แห่ง และจะสุ่มออกตรวจร่วม หารถบรรทุกที่น้ำหนักเกินและปฏิบัติผิดระเบียบจะต้องถูกยึดรถและดำเนินคดีทันที ส่วนกรณีเรื่องส่วยสติกเกอร์ ตนเองไม่ได้รับผิดชอบในส่วนงานนี้ ต้องไปถามทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่ามอบหมายใครให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว

ด้านนายสราวุธกล่าวว่า กรมทางหลวงกำลังอยู่ระหว่างศึกษาทำด่านชั่งน้ำหนักถาวรเพิ่มอีก 85 ด่านในอนาคต  ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนในเส้นทางอื่นๆ โดยตรวจจับได้ถึงปีละ 3,000-4,000 คัน และยังพบว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมายอยู่ ซึ่งที่ผ่านมาใช้  AI ที่มีอยู่แล้ว 42 แห่งทั่ว กทม.เข้ามาช่วยตรวจจับ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ตำรวจได้รับข้อมูลจากทาง กทม. พบว่ามีไซต์งานก่อสร้างทั่ว กทม.กว่า 300 แห่ง และจะสุ่มออกตรวจร่วม หารถบรรทุกที่น้ำหนักเกินและปฏิบัติผิดระเบียบจะต้องถูกยึดรถและดำเนินคดีทันที ส่วนกรณีเรื่องส่วยสติกเกอร์ ตนไม่ได้รับผิดชอบในส่วนงานนี้ ต้องไปถามทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่ามอบหมายใครให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว

ที่ สน.พระโขนง พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รรท.รอง ผบช.น. ประชุมร่วมคณะทำงานติดตามความคืบหน้าทางคดี รถบรรทุกตกบ่อร้อยสายไฟ สุขุมวิท ระบุว่า ได้แจ้งข้อหากับคนขับรถ 2 ข้อหา คือขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินเสียหาย และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ สำหรับเจ้าของรถ ตำรวจติดต่อมาสอบปากคำในวันนี้ ส่วนสาเหตุที่เชิญมาล่าช้า เนื่องจากเจ้าของรถอ้างว่าตกใจ และยังไม่พร้อมให้ข้อมูล

พล.ต.ต.พัลลภระบุว่า ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยภาพคลิปวิดีโอว่า ในช่วงกลางดึกของคืนวันเกิดเหตุ มีคนงานนำถังแกลลอนมาถ่ายน้ำมันออกจากรถบรรทุกคันเกิดเหตุที่จอดไว้ตรงข้าม สน.พระโขนงนั้น ติดตามตัวบุคคลในคลิปมาสอบปากคำแล้ว ยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะอำพรางทำให้น้ำหนักรถลดลง แต่ก็ยังต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังจากนี้จะตรวจสอบประเด็นความผิดอื่นๆ โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ทั้งเรื่องการดัดแปลงต่อเติมอุปกรณ์เสริมพ่วงส่วนอื่นๆ และในส่วนของบ่อพัก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง จะต้องให้ทางสภาวิศวกรรมเข้ามาตรวจสอบ

“ส่วนเรื่องส่วยสติกเกอร์ ทาง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบก.น. ได้กำชับ และมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้แล้ว รวมถึง ผบ.ตร.ได้มีคำสั่งมอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติตรวจสอบเรื่องนี้ควบคู่กันไปด้วย แต่การสอบสวนเบื้องต้นทางคนขับรถให้การว่าทางผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกได้ติดสติกเกอร์ทำสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นรถของตัวเอง ที่จะเข้ามาตักดินภายในไซต์งาน เนื่องจากมีรถจำนวนหลายคัน หากพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตรับผลประโยชน์ จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ขณะที่รถคันอื่นๆ ของผู้ประกอบการเจ้าของรถบรรทุกที่มีรายงานข่าวว่ามีจำนวนอยู่ประมาณ 6 ถึง 7 คัน จะมีการเข้มงวดตามเส้นทางเพิ่มมากขึ้น” พล.ต.ต.พัลลภระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง