เคาะช่วยชาวนาไร่ละพัน ‘ปานปรีย์’แย้มข่าวดีขรก.

“ภูมิธรรม” นั่งหัวโต๊ะประชุม นบข. ไฟเขียวแจกเกษตรกรไร่ละพันไม่เกิน 20,000 บาทเป็นครั้งสุดท้าย   ชง ครม. 14 พ.ย.นี้ “ปานปรีย์” แย้มขึ้นเงินข้าราชการมีข่าวดี เน้นพวกแรกเข้าก่อน กกพ.ชง 3 แนวทางปรับค่าเอฟที สูงสุด 5.95 บาท/หน่วย

เมื่อวันศุกร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2566 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ก่อนให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ วงเงินไม่เกิน 20,000 บาท วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 56,321.07 ล้านบาท โดยจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 14 พ.ย.2566 ซึ่งไม่ถือว่าผิดวินัยการเงินการคลัง และหากผ่านการพิจารณาจะสามารถเริ่มดำเนินการทันที

“ชาวนาที่จะร่วมโครงการต้องขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร ปลูกข้าวปี 2566/2567 ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 4.68 ล้านครัวเรือน และมีระยะเวลาโครงการ 1 ตุลาคม 2566 ไปจนถึง 30 กันยายน 2567 โดยปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ใช้โครงการนี้ ไม่ใช่เพราะเป็นภาระงบประมาณ แต่เป็นเพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมเกษตรกรให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวที่มีคุณภาพสูง ใช้แนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” นายภูมิธรรมระบุ

ขณะที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นประธานการประชุมหารือข้อราชการเรื่องการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ โดยกล่าวภายหลังการประชุมว่า ทิศทางออกมาดี แต่รายละเอียดต้องทำเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง คาดว่าก่อนสิ้นเดือน พ.ย.เสร็จแน่นอน             

ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่มีข่าวว่าจะขึ้นเงินเดือนเฉพาะข้าราชการชั้นผู้น้อย ส่วนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะขึ้นแบบน้อยมาก มีหลักและแนวทางอย่างไร นายปานปรีย์ กล่าวว่า คงต้องดู เพราะมันมีในส่วนข้าราชการแรกเข้าที่เราต้องปรับฐานเงินเดือน เพื่อให้คนที่เข้ามาใหม่สนใจเข้าสู่ระบบราชการมากขึ้น เพราะถ้าฐานเงินเดือนต่ำ เราอาจได้คนที่ไม่มีคุณภาพ และในที่สุดคนที่จะเข้ามารับราชการอาจตัดสินใจเลี้ยวไปทางภาคเอกชน ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงมาดูด้วยว่าเงินเดือนเอกชนที่จบปริญญาตรีเขาเริ่มต้นจากตรงไหน และดูความเหมาะสมในส่วนของราชการว่าควรจะเป็นเท่าไหร่             

เมื่อถามว่า ควรต้องปรับเป็น 25,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า ยังไม่ใช่ ต้องดูรายละเอียด อย่าเพิ่งสรุปว่าจะเป็นเท่าไหร่

ผู้สื่อข่าวถามว่า อย่างข้าราชการชั้นผู้น้อยที่บรรจุตั้งแต่ระดับ 3-7 ที่ไม่ใช่ระดับผู้บริหาร จะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ใช่หรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า การหารือยังไปไม่ถึงตรงนั้น ตอนนี้กำลังดูในส่วนของข้าราชการแรกเข้าก่อน เมื่อถามย้ำว่า การขึ้นจะเป็นการขึ้นทั้งระบบใช่หรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า ขอให้รอฟังก่อน 

เมื่อถามว่า เท่าที่ได้รับฟังข้อมูลครั้งนี้  โอกาสเป็นไปได้ที่จะขึ้นมีสูงหรือไม่ นายปานปรีย์กล่าวว่า ก็เป็นไปตามนโยบาย  ซึ่งจะขึ้นมากหรือขึ้นน้อยก็ค่อยว่ากัน

วันเดียวกัน นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวถึงผลประชุม กกพ.ว่า เห็นชอบผลการคำนวณประมาณการค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) สำหรับงวดเดือน ม.ค.-เม.ย.2567 พร้อมให้สำนักงาน กกพ.นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไปรับฟังความคิดเห็น 3 แนวทาง ผ่านเว็บไซต์สำนักงาน กกพ. ตั้งแต่วันที่ 10-24 พ.ย.2566

สำหรับ 3 แนวทาง คือ 1.ให้มีการจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างกับ กฟผ. ทั้งหมด  95,777 ล้านบาทในงวดเดียว คิดเป็นต้นทุน 2.16 บาท/หน่วย รวมกับค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.-เม.ย.2567 ที่ 64.18 สตางค์/หน่วย และรวมกับค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนเพิ่มขึ้น 1.96 บาท/หน่วย เป็น 5.95 บาท/หน่วยจากงวดปัจจุบัน (เดือน ก.ย.-ธ.ค.2566) อยู่ที่ 3.99 บาท/หน่วย

2.จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างกับ กฟผ. 95,777 ล้านบาท ภายใน 1 ปี แบ่งเป็น 3 งวด งวดละ 31,926 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุน 1.14 บาท/หน่วย รวมกับค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุน 64.18 สตางค์/หน่วย และรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนเพิ่มขึ้น 94 สตางค์/หน่วย เป็น 4.93 บาท/หน่วย จากปัจจุบันอยู่ที่  3.99 บาท/หน่วย

และ 3.ให้จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างกับ กฟผ. 95,777 ล้านบาท ภายใน 2 ปี แบ่งเป็น 6 งวด งวดละ 15,963 ล้านบาท คิดเป็นต้นทุน 89.55 สตางค์/หน่วย รวมกับค่าเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุน 64.18 สตางค์/หน่วย และรวมกับค่าไฟฟ้าฐาน 3.78 บาท/หน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บกับประชาชนเพิ่มขึ้น 69 สตางค์/หน่วย เป็น 4.68 บาท/หน่วย

“คาดการณ์ว่าค่าไฟฟ้าปี 2567 จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นในกรอบกว่า 60 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าปี 2567 ทั้งปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่หากมีข้อเสนอให้ค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 3 แนวทางที่กำหนดข้างต้น หรือต่ำกว่า 4 บาท กกพ.ก็ต้องกลับมาหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางปฏิบัติ เพราะจะเป็นการผลักภาระให้ กฟผ.แบกหนี้ต้นทุนเพิ่มขึ้นต่อไป รวมถึงผู้นำเข้าก๊าซด้วย ยกเว้นมีแนวทางการปรับโครงสร้างก๊าซธรรมชาติทั้งระบบให้ราคาเท่ากัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากบางทางเลือกไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของ กกพ. ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดผลกระทบกับหน่วยงานใดหรือไม่ ต้องหารือร่วมกัน” นายคมกฤชกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.จับตาศึก ‘อบจ.ราชบุรี’

ประธาน กกต.ยันจับตาเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีวันอาทิตย์นี้ เตือนอย่าทำอะไรผิดกฎหมาย “2 ผู้สมัคร” แห่หาเสียงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะเด็กค่าย ปชน.

ไปข้างหน้าเพื่อชาติ! อิ๊งค์วอนเสื้อแดงให้เข้าใจ ราชทัณฑ์ดิ้นโต้เสรีพิศุทธ์

"นายกฯ อิ๊งค์" เผย ครม.นิ่งแล้ว รอตรวจประวัติเสร็จทำงานได้ทันที แจงจับมือ "ประชาธิปัตย์" เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล บอกเข้าใจหัวอกคนเสื้อแดง วอนก้าวไปข้างหน้าเพื่อชาติ

'ภูมิธรรม' จ่อบิน ตรวจบึงบอระเพ็ด แม่น้ำน่าน-เจ้าพระยา จ.สุโขทัย - ชัยนาท 31 ส.ค. นี้

'ภูมิธรรม' เตรียมบิน ตรวจบึงบอระเพ็ด แม่น้ำน่าน แม่น้ำเจ้าพระยา และเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมประชุมแนวทางการบริหารจัดการน้ำ จ.สุโขทัย - ชัยนาท 31 ส.ค. นี้