แม่ค้าบ่นเศรษฐาของแพง ค่าครองชีพพุ่งทุบเงินฝาก

นายกฯ เดินเยี่ยมร้านขายอาหารทำเนียบฯ แม่ค้าโอดของแพงทุกอย่าง เจ้าตัวเผยทำไอเอฟควบคุมน้ำหนักรักษาสุขภาพ อึ้ง! คนไทย 81  ล้านรายมีเงินฝากต่ำกว่า 50,000 บาท   “สคฝ.” ชี้พิษค่าครองชีพพุ่งต้องทุบกระปุกเอาเงินมาใช้ ดีเดย์ 7 พ.ย. พลังงานประกาศลดราคาเบนซินทุกประเภท ย้ำแก๊สโซฮอล์ 91 ลงไป 2.50 บาท/ลิตร

เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลา 09.40 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ภายหลังเสร็จสิ้นเป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้เดินเท้าเพื่อกลับมายังห้องทำงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยระหว่างทางได้แวะเยี่ยมชมและทักทายบรรดาร้านค้าที่ขายอาหารภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยนายเศรษฐาได้สอบถามและพูดคุยกับบรรดาแม่ค้าว่า สินค้าอะไรที่แพงขึ้น  ราคาน้ำตาลทรายเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งบรรดาแม่ค้าบอกว่า ราคาค่อนข้างแพง  ทำให้นายกฯ ตอบว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ได้นำน้ำตาลทรายเข้าเป็นสินค้าควบคุมแล้ว นอกจากนี้ บรรดาแม่ค้ายังได้ร้องเรียนว่าตอนนี้ราคาไข่ไก่แพงมาก ฟองละ 4.50 บาท ซึ่งนายเศรษฐาบอกได้รับทราบ ขณะเดียวกันยังถามเกี่ยวกับเรื่องของราคาน้ำมันพืชด้วยว่าแพงหรือไม่ ซึ่งบรรดาแม่ค้าบอกว่า สินค้าราคาแพงขึ้นเกือบทุกประเภท

จากนั้นบรรดาแม่ค้าได้เชิญชวนให้นายกฯ รับประทานอาหารเช้าที่ร้าน นายเศรษฐากล่าวขอบคุณ พร้อมระบุว่า ตอนนี้ทานไม่ได้ เนื่องจากช่วงนี้งดอาหารเช้าเพื่อรักษาสุขภาพ “สุขภาพจะได้ดี พักลำไส้บ้าง โดยช่วงเช้าผมก็จะดื่มน้ำและกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาลเพียงอย่างเดียว” 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นลักษณะการทำไอเอฟใช่หรือไม่ นายเศรษฐายอมรับว่า ประมาณนั้น โดยใช้สูตร 16 ต่อ 8 เนื่องจากเวลาออกกำลังกายมีน้อย ทำเท่าที่ทำได้ ตอนนี้ทำได้เพียงการอดอาหารเช้า

 หลังจากนั้น นายกฯ ยังได้เยี่ยมชมร้านกาแฟ 60+ ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่เปิดโอกาสให้ผู้พิการได้มาประกอบอาชีพ โดยได้สอบถามถึงการเข้ามาทำงาน พร้อมสั่งกาแฟอเมริกาโน่เย็นไม่ใส่น้ำตาล โดยได้ขนมเค้กช็อกโกแลตด้วย จึงได้หยอดทิปบ็อกซ์ให้กับร้านจำนวนเงิน 1,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รวมทั้งสั่งให้คณะทำงานสั่งไอศกรีมวนิลามารับประทาน ร่วมกับเค้กช็อกโกแลต ในช่วงเที่ยงด้วย

ต่อมาเวลา 13.05 น. นายกฯ ได้เดินทางออกจากทำเนียบฯ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าไปไหน ซึ่งคนใกล้ชิดแจ้งว่า นายเศรษฐาไปประชุมข้างนอก อย่างไรก็ตาม ช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ นายกฯ จะใช้เวลานอกราชการเป็นการส่วนตัว ไปเตะฟุตบอลออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลาย หลังจากที่โหมงานหนักทุกวันตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งนายกฯ ที่ราชกรีฑาสโมสรโปโลคลับ ย่านบ่อนไก่ 

วันเดียวกัน นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่า ณ สิ้นเดือน ส.ค. 2566 มีจำนวนผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครอง อยู่ที่ 93.46 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 0.05 ล้านราย คิดเป็นการเติบโต 3.37% โดยปัจจุบันวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามที่กฎหมายกำหนดที่ 1 ล้านบาท ยังคงสามารถคุ้มครองผู้ฝากเงินได้เต็มจำนวน ครอบคลุมผู้ฝากเงินรายย่อยส่วนใหญ่ของประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 98.08% ของผู้ฝากเงินที่ได้รับความคุ้มครองทั้งระบบ

ขณะที่จำนวนเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง อยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาท ลดลง 1.32% ซึ่งเกิดจากปัจจัยความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยในรายละเอียดพบว่า จำนวนผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากไม่เกิน 50,000 บาท ในเดือน ส.ค.2566 อยู่ที่ 81 ล้านราย เติบโต 4.45% ซึ่งในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีเงินฝากไม่ถึง 5,000 บาท แต่จำนวนเงินฝากกลับเริ่มมีการหดตัวตั้งแต่ปี 2565 ที่ติดลบ 0.63% และในเดือน ส.ค.2566 ติดลบ 3.61%

ทั้งนี้ ผู้มีเงินฝากมากกว่า 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท มีการปรับตัวลดลง ทั้งจำนวนเงินฝากและจำนวนผู้ฝากตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ฝากที่มีเงินฝากไม่มากนัก จึงต้องนำเงินออมมาใช้จ่าย จนอาจทำให้สุขภาวะที่ดีทางการเงินอ่อนแอลงได้ เช่นเดียวกับผู้มีเงินฝากตั้งแต่ 1,000,000- 5,000,000 บาท ก็เริ่มมีตัวเลขเงินฝากลดลงในปีนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเกิดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แรงกดดันจากภาวะสงคราม ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ ของโลก ต่างกำหนดนโยบายการเงินที่เข้มงวด เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง ส่งผลโดยตรงต่อการบริโภคและการลงทุน

 “ณ สิ้นเดือน ส.ค.2566 เงินฝากที่ได้รับความคุ้มครอง อยู่ที่ 15.96 ล้านล้านบาทนั้น ลดลงจากสิ้นปี 2565 จำนวน 212,688 ล้านบาท หรือ 1.32% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ที่จำนวนเงินฝากมีการติดลบของการเติบโต เนื่องจากปัจจัยด้านสภาวะเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนสูง เช่น ทองคำ และคาดว่าในปีนี้จะมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาพรวมสินเชื่อที่ยังเติบโตในกรอบต่ำ” นายทรงพลระบุ

นายทรงพลกล่าวว่า จำนวนเงินฝากที่ลดลงในปัจจุบัน หวังว่าจะเป็นจุดที่ไม่ควรจะลดลงไปต่ำกว่านี้แล้ว ส่วนแนวโน้มในปี 2567 จากการที่หลายหน่วยงานได้ประเมินว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวได้ดีขึ้น เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยที่ดีช่วยสนับสนุนให้ประชาชนมีรายได้ที่ดีมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวเลขเงินฝากให้ปรับตัวดีขึ้นด้วย

ทางด้าน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตในสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันประเภทน้ำมันเบนซินลง 15 สตางค์-1 บาทต่อลิตร ตามสัดส่วนเนื้อน้ำมันเบนซินที่ผสม ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย.66-31 ม.ค.2567 นั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้เห็นชอบให้ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ 91 ลง 2.50 บาทต่อลิตร และยังลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ลงตามอัตราภาษีที่เปลี่ยนแปลง ตามแนวนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ทั้งนี้ การปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินในครั้งนี้ มีรายละเอียดดังนี้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ลดลง 2.50 บาทต่อลิตร, น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ลดลงประมาณ 1 บาทต่อลิตร, น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 และ E85 ลดลงประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร แม้ว่าปัจจุบันฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะยังคงติดลบ แต่สถานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นหลังจากได้เงินกู้ยืมเข้ามาเติมในระบบ สำหรับฐานะเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 29 ต.ค.2566 ติดลบ 74,292 ล้านบาท แบ่งเป็นติดลบจากบัญชีน้ำมัน 28,938 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG 45,354 ล้านบาท

"ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความผันผวนด้วยปัจจัยกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก และความกังวลในเศรษฐกิจที่ยังคงถดถอย ตลอดจนความไม่สงบจากสงคราม ทำให้สภาพคล่องของกองทุนยังมีรายรับน้อยกว่ารายจ่าย อย่างไรก็ตาม เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการดำรงชีพของประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จึงทำการปรับลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินดังกล่าว" นายประเสริฐกล่าว

อย่างไรก็ตาม การลดราคาน้ำมันเบนซินทุกประเภทในครั้งนี้ อยากขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการ เตรียมน้ำมันแต่ละชนิดให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ รวมทั้งขอให้ประชาชนตรวจสอบการเติมน้ำมันให้เหมาะสมกับรถยนต์ที่ใช้ โดยดูได้จากฝาช่องเติมน้ำมัน คู่มือการใช้รถยนต์ หรือสอบถามที่ศูนย์บริการ เพราะหากเติมผิดประเภทอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พ่อนายกฯขู่เช็กบิล! พรรคร่วมโดดประชุมครม.-นักร้อง/ขอพระเจ้าอยู่ต่ออีก17ปี

"เพื่อไทย" คึก! 3 นายกฯ ร่วมทีมขึ้นรถไฟสัมมนาพรรคที่หัวหิน "นายกฯ อิ๊งค์" ขอ  สส.ไม่แบ่งขั้ว-อายุ ยอมรับ 3 เดือนโฟกัสงานรัฐบาล

หัวลำโพงคึกคัก! 'อิ๊งค์' นำทีม พท. สัมมนาหัวหิน ตื่นเต้นขึ้นรถไฟรอบ 20 ปี

’แพทองธาร‘ นำทีม ’เพื่อไทย’ ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ มุ่งหน้าสัมมนาหัวหิน ‘เศรษฐา-โอ๊ค-เอม’ ร่วมด้วย ตื่นเต้นนั่งรถไฟรอบ 20 ปี