ขู่ไม่จบ!ยึดคืนกรมใหญ่

"ภูมิธรรม" ออกโรงสยบคลื่นใต้น้ำเกษตรฯ ควง "ธรรมนัส" โชว์สื่อบอกเรื่องนี้จบแล้ว ขณะที่ สส.ก้าวไกลปัดพัลวันคุกคามทางเพศ โยนเข้า กกต.ชี้ขาด อ้างหวังได้รับการพิสูจน์ความจริงโดนดิสเครดิต ขณะที่คดี "พิธา" อืดต่อเนื่อง ลากยาวทั้งหุ้นสื่อ-แก้ ม.112                ศาลรธน.สั่งไต่สวนพยาน 4 ปาก ปมสถานะรมต. "ศักดิ์สยาม" 14 ธ.ค.

 เมื่อวันที่ 1 พ.ย. เวลา 11.50 น. ที่ตึกภักดีบดินทร์ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ได้โอบหลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ มาให้สัมภาษณ์ร่วมกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กรณีที่นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ ออกมาระบุปัญหาการทำงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายภูมิธรรมกล่าวว่า เรื่องในกระทรวงได้คุยเรียบร้อยไม่มีปัญหา ถือเป็นเรื่องธรรมดาของการทำงาน ที่อาจคงมีเรื่องนี้บ้างในแต่ละครั้งแต่ละตอน แต่เป็นเรื่องธรรมดา พร้อมหันไปถาม ร.อ.ธรรมนัสว่าถูกหรือไม่ ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส ตอบกล่าวว่าครับ นายภูมิธรรมจึงกล่าวกับสื่อว่า ยืนยันเรื่องนี้จบนะ และต่างฝ่ายต่างไหว้ซึ่งกันและกันก่อนแยกออกจากกัน

จากนั้นเวลา 12.10 น. ร.อ.ธรรมนัส ระบุว่า เมื่อเกิดประเด็น นายไชยาก็ได้โทรศัพท์มาขอโทษที่ทำให้เป็นประเด็น ทั้งนี้ตนอยากจะเรียนสื่อมวลชนว่า เวลาจะถามประเด็นเรื่องการมอบดูแลเรื่องงบประมาณและบุคคล ไม่มีกระทรวงไหนเขาทำกัน เพราะเวลาเกิดประเด็นปัญหาขึ้นคนที่รับผิดชอบคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เป็นเรื่องประเพณีปฏิบัติ สมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ก็สามารถทำงานได้ภายใต้กรอบงานที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นปัญหาที่รัฐมนตรีใหม่หลายคนยังไม่เข้าใจ คือความรับผิดชอบภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายไชยาออกมาพูดอีกจะทำอย่างไร ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า “ผมได้คุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรค คุยกับนายกรัฐมนตรีแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจก็คงจะต้องมีมาตรการอื่นในการเปลี่ยนแปลงผู้ดูแลกรมต่างๆ โดยผมอาจจะดูว่ากรมไหนที่ใหญ่ๆ ผมอาจจะเอามาดูแลเอง”

ที่รัฐสภา นายไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าที่ประชุมของ สส. และกรรมการบริหารของพรรคก้าวไกล ถึงกรณีที่ถูกกล่าวหาคุกคามทางเพศว่า ต้องขอโทษประชาชนที่ไม่ได้ออกมาชี้แจง ด้วยเหตุผลว่าการที่ตนจะออกมาชี้แจงอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะกระทบทีมงานที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา รวมถึงส่งผลต่อพรรค ตนจึงไม่สามารถออกมาพูดอะไรได้เลย และหลักฐานหลายอย่างมาจากข้อความส่วนตัว

นายไชยามพวานกล่าวว่า ทราบว่าเมื่อเราเงียบ จะทำให้หลายๆ ฝ่ายลำบาก ซึ่งกระบวนการที่กำลังจะเข้าต่อไปคือกระบวนการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เนื่องจากมีผู้ยื่นไปร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้มีความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย หากพรรคตัดสินเบาหรือหนัก ก็จะเป็นข้อครหา หากให้ กกต.เป็นคนกลางมาตัดสิน  ตัวผู้ร้องจะได้มีความมั่นใจที่มากขึ้น

"ผมบริสุทธิ์ใจที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของ กกต. และยืนยันว่าจะสิ่งที่ผู้ร้องร้องทุกกรณี ผมไม่ได้มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศ และยังทำงาน 7 วันอย่างหนักหน่วง ถึงแม้จะไม่ได้โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ผมยังพยายามแก้ปัญหาในพื้นที่ ต้องขอโทษจริงๆ ที่เงียบหายไป และทำให้ทุกคนลำบากใจ เราทราบดีแล้วว่าการเงียบหายไม่ได้ส่งผลดีกับใคร และผมพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการของชั้น กกต. อย่างสุดความสามารถ" นายไชยามพวาน  ระบุ

เมื่อถามว่า ได้ชี้แจงกับกรรมการบริหารพรรคอย่างไรบ้าง นายไชยามพวานกล่าวว่า เป็นข้อกล่าวหาที่ยังไม่ได้มีหลักฐานที่เป็นเอกสาร ซึ่งเป็นข้อกล่าวหา เราตั้งใจที่จะคลี่คลายทีละข้อ สำคัญที่สุดคือตนได้เข้าไปสู่กระบวนการ กกต.เพื่อพิสูจน์ความจริง

เมื่อถามย้ำว่า ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าทำหน้าที่ สส.และต่อสู้กับข้อกล่าวหาดังกล่าว นายไชยามพวานกล่าวว่า ในฐานะลูกผู้ชายและเป็น สส. เราจะสู้กับข้อเท็จจริง แต่ขอยืนยันว่าจะไม่มีทางฟ้องผู้ร้องแน่นอน หากทางพรรคมีมติทางใดทางหนึ่งในการลงโทษ ก็เป็นกระบวนการลงโทษของพรรค อยากให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าได้รับความเป็นธรรมอย่างแท้จริง การเข้าสู่กระบวนการที่มีคนกลางดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ทำตามที่เป็นข่าวหรือไม่ นายไชยามพวานกล่าวว่า ยืนยันว่าในทุกข้อกล่าวหาที่ร้องเรียนตนออกมา  คนไม่ได้มีพฤติกรรมตามที่ผู้ร้องเรียนร้องเรียนมาในทุกข้อกล่าวหา เมื่อถามว่า ท้ายที่สุดหากพรรคมีมติขับออกจากพรรคก็น้อมรับหรือไม่ นายไชยามพวานกล่าวว่า ยืนยันว่าวันนี้ตั้งใจมาชี้แจง และลงไปหาสื่อมวลชนก็หาไม่เจอ หากเข้าสู่กระบวนการ กกต.แล้วบอกว่าผิด ตนก็พร้อมที่จะลาออกจากพรรคก้าวไกล แต่หากตัดสินว่าถูก ก็ต้องว่าไปตามถูก

ส่วนมองว่าเป็นการดิสเครดิตบุคคล และพรรคหรือไม่นั้น นายไชยามพวาน กล่าวว่า ก็อย่างที่เห็นว่ามีกระบวนการดิสเครดิตทั้งตนเองและพรรค ตนไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะมีหลักฐานอยู่ และตนอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับ กกต. ก่อนนำไปสู่การพิสูจน์ว่าการพยายามดิสเครดิตเป็นเรื่องจริง ยืนยันว่าในสิ่งที่ผู้ร้องร้องมานั้น ตนไม่มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศทั้ง 3 ข้อร้องเรียน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีรายงานข่าวจาก กกต.แจ้งว่า น.ต.ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ได้แจ้งยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) เป็นที่เรียบร้อยกับทางพรรค ทสท. เมื่อวันที่ 27 ต.ค.ที่ผ่านมา

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6)ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ จากกรณีเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ อยู่ในวันสมัครรับเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งคดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 19 ก.ค.2566 และนายพิธา ผู้ถูกร้องได้ยื่นขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาจำนวน 2 ครั้ง ครั้งละ 30 วัน

ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตตามคำขอนายพิธา ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาแล้ว 11 ครั้ง เรียกให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและจัดส่งเอกสารหลักฐานจำนวน 12 ราย ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย แต่เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้รอคำชี้แจงและพยานหลักฐานจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งศาลเรียกไปก่อนหน้านี้ และเรียกให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งคำชี้แจงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมด้วย โดยกำหนดนัดพิจารณาคดีต่อในวันพุธที่ 15 พ.ย.2566 เวลา 09.30 น.

ส่วนคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความของพระพุทธะอิสระ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น   ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 2 ที่เสนอร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ.... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งและยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ และต่อมาผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีระบุพยานบุคคล ฉบับลงวันที่ 9 ต.ค.2566 และบัญชีระบุพยานบุคคลเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ฉบับลงวันที่ 18 ต.ค.2566 นั้น

คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 12 ก.ค.2566 และดำเนินกระบวนพิจารณารวบรวมพยานหลักฐานมาแล้ว 37 ครั้ง มีการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือแล้ว จึงกำหนดและพิจารณาคดีต่อในวันพุธที่ 15 พ.ย.2566 เวลา 09.30 น.

ศาลรัฐธรรมนูญยังได้มีการพิจารณาคดีที่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องของ สส. จำนวน 54 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ จากกรณีนายศักดิ์สยามยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วน และยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น อย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้นายศักดิ์สยามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน และอาจเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยามสิ้นสุดลงตามกฎหมายดังกล่าวนั้น คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 66 และสั่งให้นายศักดิ์สยามหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ดำเนินกระบวนพิจารณาและรวบรวมพยานหลักฐานมาแล้วจำนวน 48 ครั้ง และเห็นควรไต่สวนพยานบุคคลต่อไป จึงกำหนดวันนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 4 ปาก ในวันพฤหัสบดีที่ 14 ธ.ค.2566 เวลา 09.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีชั้น 3 สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ภูมิธรรม' จ่อบิน ตรวจบึงบอระเพ็ด แม่น้ำน่าน-เจ้าพระยา จ.สุโขทัย - ชัยนาท 31 ส.ค. นี้

'ภูมิธรรม' เตรียมบิน ตรวจบึงบอระเพ็ด แม่น้ำน่าน แม่น้ำเจ้าพระยา และเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมประชุมแนวทางการบริหารจัดการน้ำ จ.สุโขทัย - ชัยนาท 31 ส.ค. นี้

ช่วยนักโทษติดคุกหมด เสรีพิศุทธ์ถอนตัวงัดหลักฐานมัดแก๊งชั้น14/ปชป.มีมติร่วมรบ.

"นายกฯ อิ๊งค์" อารมณ์ดีนัดสื่อให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง 30 ส.ค. "ภูมิธรรม" มั่นใจเสถียรภาพรัฐบาล หลังดึง

“ภูมิธรรม” เคาะ 68 มาตรการ คุมเข้มนำเข้าสินค้าและบริการไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมายจากต่างประเทศ

“ภูมิธรรม” เคาะ 68 มาตรการ คุมเข้มนำเข้าสินค้าและบริการไม่ได้มาตรฐานและผิดกฎหมายจากต่างประเทศ พร้อมปรับกฎระเบียบรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก