คนไทยถึงบ้านเกิด3,329รายแล้ว

"กลุ่มฮามาส" โวยอิสราเอลโจมตีรอบใหม่ในฉนวนกาซา มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 55 ราย เรียกร้องประชาคมโลกเพิ่มการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ขณะที่กองทัพอิสราเอลเตือนเลบานอน "เข้าสู่สงครามโดยไม่จำเป็น" ด้านแรงงานไทยเจ็บเพิ่ม 2 ราย เที่ยวบินรอบที่ 3 ของกองทัพอากาศไม่ต้องบินอ้อมโลกถึง บน.6 แรงงานก้มกราบแผ่นดินหลังถึงมาตุภูมิ นายกฯ ยันไม่นิ่งนอนใจ ทุกฝ่ายทำงานเต็มที่หวังช่วยตัวประกัน "กลุ่มมุสลิม" รวมตัวที่มัสยิดกลางสงขลา จี้อิสราเอลหยุดละเมิดสิทธิมนุษยชน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกาซาซิตี ฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 22 ตุลาคมว่า กลุ่มฮามาสออกแถลงการณ์ ว่าเครื่องบินรบของกองทัพอิสราเอลโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซาเมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 55 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งบ้านเรือนไม่ต่ำกว่า 30 หลังได้รับความเสียหาย

ขณะเดียวกัน กลุ่มฮามาสเรียกร้องประชาคมโลกเพิ่มการกดดันอิสราเอล ให้เปิดทางการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านด่านราฟาห์ทางตอนใต้ของอียิปต์ ซึ่งเปิดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามรอบนี้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่มีรถบรรทุกสิ่งของสามารถเดินทางผ่านได้ประมาณ 20 คันเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ยูเอ็นเตรียมการส่งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้เดินทางด้วยรถบรรทุก ผ่านด่านราฟาห์ที่อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์เพื่อเข้าสู่ฉนวนกาซา

การโจมตีดังกล่าวของอิสราเอลเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลัง พล.ร.ต.แดเนียล ฮาการี โฆษกกองทัพอิสราเอล กล่าวว่า จะมีการยกระดับปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในฉนวนกาซา เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้กับกลุ่มฮามาส และยืนยันว่าปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดิน “จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า”

นอกจากนี้ พล.ร.ต.ฮาการีเน้นย้ำให้ประชาชนในภาคเหนือของฉนวนกาซา เร่งอพยพลงมาทางใต้ “เนื่องจากยังมีโอกาส” โดยการประเมินของอิสราเอลพบว่า มีประชาชนอพยพออกจากพื้นที่แล้วราว 700,000 คน จากจำนวนทั้งหมดราว 1.1 ล้านคน ในภูมิภาคทางเหนือของฉนวนกาซา

อนึ่ง สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งปะทุเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในอิสราเอลมากกว่า 1,400 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 4,800 คน ด้านชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาเสียชีวิตมากกว่า 4,300 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 15,000 คน นอกจากนั้น มีนักรบกลุ่มฮามาสเสียชีวิตมากกว่า 1,500 ราย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ว่า กองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ทางตอนเหนือของประเทศ ที่มีพรมแดนติดกับทางตอนใต้ของเลบานอน และทวีความรุนแรงควบคู่ไปกับสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ซึ่งปะทุเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่ากลุ่มฮิซบุลเลาะห์กำลังดึงเลบานอนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับสงคราม “ที่เลบานอนไม่ได้อะไร ทว่ามีแต่จะเสีย”

ด้วยเหตุนี้ กองทัพอิสราเอลขอเรียกร้องไปยังเลบานอน ให้เร่งควบคุมสถานการณ์อันตรายจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ที่ส่งผลต่ออธิปไตยและการพัฒนาของเลบานอน  

ด้านรัฐบาลเลบานอนยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม  นายนาอิม กัสเซ็ม รองหัวหน้ากลุ่มฮิซบุลเลาะห์กล่าวว่า การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสคือสัญญาณบอกเหตุว่ากลุ่มฮิซบุลเลาะห์ต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

อิสราเอลถล่มมัสยิดอัล-อันซาร์

ขณะที่ นายโยอาฟ กัลลันต์ รมว.กลาโหมอิสราเอล เคยกล่าวว่า “ไม่มีความสนใจ” ที่จะทำสงครามกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ หลังเคยสู้รบกันอย่างหนักหน่วงมาแล้ว เมื่อปี 2549 ในสงครามระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน ซึ่งทุกฝ่ายมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบุลเลาะห์มากกว่า แต่หากกลุ่มฮิซบุลเลาะห์อยากทำสงคราม อิสราเอล “พร้อมเอาคืนอย่างสาสม”

ผู้สื่อข่าวอัลจาซีรารายงานว่า กองทัพอิสราเอลได้โจมตีทางอากาศถล่มมัสยิดอัล-อันซาร์ ในเมืองเจนิน เขตเวสต์แบงก์ ซึ่งตั้งอยู่ทางริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 22 ต.ค. ซึ่งทำให้ค่ายผู้ลี้ภัยซึ่งอยู่ใกล้กับมัสยิดแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากการโจมตีด้วย โดยเจ้าหน้าที่การแพทย์เผยว่าเป็นเหตุให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน

สภาพค่ายผู้ลี้ภัยแห่งหนึ่งในเมืองเจนินได้รับความเสียหาย หลังอิสราเอลโจมตีทางอากาศถล่มมัสยิดอัล-อันซาร์ ที่อยู่ใกล้กัน ในเมืองเจนิน เขตเวสต์แบงก์ เมื่อ 22 ตุลาคม 2566

ต่อมา กองทัพอิสราเอลอ้างเหตุผลที่โจมตีทางอากาศถล่มมัสยิดอัล-อันซาร์ ว่าเนื่องจากลุ่มฮามาสและกลุ่มอิสลามิกญิฮาดได้ใช้มัสยิดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางบัญชาการของแผนการโจมตีต่างๆ ต่ออิสราเอล ซึ่งการโจมตีมัสยิดอัล-อันซาร์ในครั้งนี้ทำให้สมาชิกกลุ่มก่อการร้ายสิ้นชีพหลายศพ

มีชาวปาเลสไตน์ในเมืองเจนินหลายคนเผยว่า พวกเขาเห็นเครื่องบินขับไล่ ตระกูล F ลำหนึ่งบินเหนือท้องฟ้าในเมืองเจนิน ก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น และเครื่องบินขับไล่ลำนั้นได้บินกลับออกไป ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติที่อิสราเอลส่งเครื่องบินรบเข้ามาโจมตีทางอากาศในดินแดนของชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์สดในรายการ “เนชั่นทันข่าวเช้า” ทางช่องเนชั่นทีวี ถึงแนวทางการช่วยเหลือตัวประกันคนไทย หลังเดินทางไปภารกิจต่างประเทศและได้หารือเรื่องนี้กับบรรดาผู้นำสำคัญว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีหลายส่วนที่ให้การช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้ยังมีการเจรจาอยู่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง รวมถึงยอดแรงงานไทยที่มีความประสงค์อยากเดินทางกลับมาก็เพิ่มมากขึ้น โดยในวันที่ 23 ต.ค. จะมีการประชุมใหญ่กันถึงเรื่องนี้ที่กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการต่างประเทศ ทูตไทยประจำประเทศอิสราเอล หน่วยงานความมั่นคง ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก รวมถึงใช้คอนเนกชันส่วนตัวมาช่วยในการเจรจา และคาดว่าจะมีความคืบหน้าในวัน 23 ต.ค.

 “ต้องขอร้องว่าการเจรจาบางเรื่อง ไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ขอให้มั่นใจว่าเราทำเต็มที่ อะไรทำได้เราทำเต็มที่อยู่แล้ว” นายเศรษฐากล่าว

แรงงานไทยเจ็บเพิ่มอีก 2 ราย

กระทรวงการต่างประเทศรายงานสถานะคนไทยที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลาง ประเทศอิสราเอล (ช่วงคืนวันที่ 21 ต.ค.) ว่า มีผู้เสียชีวิตคงเดิม 30 ราย แต่มีจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่ม 2 คน ทำให้มีจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บสะสม 18  คน และจำนวนผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันคงเดิม 19 คน สำหรับจำนวนผู้บาดเจ็บนั้น หลายรายได้เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว

ขณะที่ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า หลังจากที่กระทรวงแรงงานได้ส่งเจ้าหน้าที่ 10 คน ไปปฏิบัติภารกิจอพยพแรงงานจากอิสราเอลกลับไทย โดยปฏิบัติงานในพื้นที่จุดอพยพต่างๆ รวมทั้งที่สนามบิน เพื่อทำหน้าที่ประสาน อำนวยความสะดวกด้านเอกสาร รวมถึงการรวบรวมแรงงานไทยนั้น ได้รับรายงานว่ามีคนไทยเดินทางมายังศูนย์พักพิงฯ รวม 2,541 คน ขณะนี้นำคนไทยและแรงงานไทยกลับประเทศไทยได้แล้ว 3,329 คน และมีผู้ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์กลับ 8,475 คน และแจ้งไม่ประสงค์กลับ 123 คน

สำหรับคนไทยในอิสราเอลที่เดินทางกลับสู่ประเทศไทยในเที่ยวบินที่ 3 วันที่ 22 ต.ค. มีจำนวน 139 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 136 คน และผู้หญิง 3 คน  จะเป็นเที่ยวบินสุดท้ายที่บินตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติเบนกูเรียน ประเทศอิสราเอล และเป็นเที่ยวบินของกองทัพอากาศเที่ยวบินแรกที่บินผ่าน 6 น่านฟ้าของประเทศในอ่าวอาหรับ นายกรัฐมนตรีขอความอนุเคราะห์จาก ทางการซาอุดีอาระเบียและประเทศในอ่าวอาหรับ ขอบินผ่านน่านฟ้าโดยไม่ต้องอ้อมขึ้นทางเหนือ ทำให้ร่นระยะเวลาในการเดินทาง โดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง จากเดิมที่ต้องบินอ้อมใช้เวลาประมาณ 13 ชั่วโมงเศษ

สำหรับเที่ยวบินของกองทัพอากาศ ในรอบที่ 4 ซึ่งจะทำการบินในวันที่ 25 ต.ค. กระทรวงการต่างประเทศได้ปรับแผนพาคนไทยกลับบ้าน โดยใช้วิธีการอพยพคนไทยออกจากกรุงเทลอาวีฟด้วยสายการบินสไปซ์เจ็ท ไปส่งที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และจะให้เครื่องบินพาณิชย์รวมถึงเครื่องบินของกองทัพอากาศไปรับคนไทยกลับมาจากนครดูไบแทน

เมื่อเวลา 12.20 น. เครื่องบิน A340-500 ของกองทัพอากาศ เที่ยวบินที่ 3 RTAF229 ที่เดินทางไปอพยพคนไทยในอิสราเอล เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 โดยมีแรงงานไทยจากอิสราเอล 139 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 136 คน และผู้หญิง 3 คน โดยทันทีที่ลงจากเครื่องบิน แรงงานบางคนได้ก้มกราบผืนแผ่นดินไทย

นายนิทัศน์ พันธศรี ชาวจังหวัดหนองคาย ซึ่งไปทำงานทางตอนเหนือติดกับพื้นที่เลบานอน เปิดใจว่า ที่ก้มกราบแผ่นดินไทย เพราะปลาบปลื้ม หลังจากบ้านไป 3 ปี อยู่ที่นั่นต้องไปวิ่งหลบกระสุน และวันนี้รอดตายกลับมาได้

ด้านนายจรัส ส่วนศรี ชาวจังหวัดสิงห์บุรี หนึ่งในแรงงานไทยในอิสราเอล เปิดใจว่า ทันทีที่เดินทางถึงประเทศไทยได้ก้มลงกราบผืนแผ่นดิน ตนดีใจที่ได้เดินทางกลับมาด้วยความปลอดภัย และที่ก้มลงกราบนั้น เพราะแม่บอกมา ให้กราบแผ่นดินไทยทันทีที่ถึง จึงต้องการให้แม่สบายใจ

มุสลิมใต้ปลุกต้านอิสราเอล

น.อ.เจริญ วัฒนศรีมงคล ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ นักบินกองทัพอากาศภารกิจนำคนไทยกลับจากอิสราเอลรอบที่ 3 เปิดเผยว่า ตามแผนที่กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า ในรอบที่ 3 จะมีผู้เดินทางกลับ 140 คน แต่มี 1 คนไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนการบินเที่ยวที่ 3 ของกองทัพอากาศใช้เวลาสั้นลง ขาไปใช้เวลา 9 ชั่วโมง ขากลับใช้เวลา 8.30 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดเวลา และหยัดเชื้อเพลิง ลดความเหนื่อยล้าของแรงงานไทย

เวลา 14.30 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ นักเรียนอาชีวะที่ศึกษาฝึกงาน ในประเทศอิสราเอลได้เดินทางกลับถึงประเทศไทย โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก รมว.ศึกษาธิการ ติดตามดูแลความเป็นมาเป็นไป รวมถึงความปลอดภัยของนักเรียนวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีที่เดินทางไปศึกษาฝึกงานที่ประเทศอิสราเอล มีนักเรียนทั้งหมด 78 คน โดยแสดงความจำนงเดินทางกลับทั้งหมด 7 คน ส่วนที่เหลือ 71คน ยืนยันจะอยู่ศึกษาฝึกงานต่อ โดยที่ผู้ปกครองอนุญาต

ที่มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา  สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ร่วมกับสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สำนักจุฬาราชมนตรี และอีกหลายองค์กร ร่วมกันจัดงานรวมเป็นหนึ่งเพื่ออัลกุดส์ เพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยต่อการที่อิสราเอลละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์ พร้อมรับฟังการเสวนาในหัวข้อมัสยิดอัลอักซอ และการต่อสู้ในยุคสุดท้าย และรับชมนิทรรศการว่าด้วยอัลกุดส์ และมัสยิดอัลอักซอ เพื่อร่วมกันสร้างพลังแห่งการดุอาอ์ ขอพรให้แก่ชาวปาเลสไตน์ โดยในกิจกรรมมีการถือแผ่นป้ายข้อความเรียกร้องให้หยุดการรุกรานปาเลสไตน์ โดยพบว่ามีชาวไทยมุสลิมจากหลายจังหวัดเดินทางเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้จำนวนมาก และได้ออกแถลงการณ์ในนามสมัชชาประชาชนรวมเป็นหนึ่งเพื่ออัลกุดส์ เพื่อเรียกร้องไปยังคู่สงครามและประชาคมโลก ให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดการทำลายเป้าหมายที่เป็นพลเรือน และเปิดโอกาสให้ประชาคมโลกส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าสู่กาซาโดยเร็ว ให้อิสราเอลเคารพต่อสิทธิของชาวปาเลสไตน์ว่าด้วยอธิปไตยเหนือแผ่นดินมาตุภูมิของพวกเขา หยุดการละเมิดมัสยิดอัลอักซอและอัลกุดส์ รวมทั้งหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์ ประชาคมโลกต้องร่วมกันหยุดยั้งการรุกรานของอิสราเอล หยุดแผนการอพยพชาวกาซา ให้ไปอยู่แผ่นดินอื่นเพื่อให้แผ่นดินปาเลสไตน์ทั้งหมดตกเป็นของอิสราเอลอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นการอธรรม และละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และนำมาซึ่งสงครามที่ไม่รู้จบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง