ข่าวดีช่วยตัวประกัน ไร้ดับ-เจ็บเพิ่มเสริม2แอร์ไลน์ขนคนไทย/ไบเดนไปอิสราเอล

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ต.ค. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ จะเดินทางเยือนอิสราเอลในวันพุธเพื่อแสดงการสนับสนุนในฐานะพันธมิตรเหนียวแน่น ในขณะที่รัฐบาลวอชิงตันพยายามป้องกันไม่ให้สงครามกับฮามาสทวีความรุนแรงขึ้นในฉนวนกาซา ซึ่งอาจส่งผลลุกลามไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง

สถานการณ์ความสูญเสียล่าสุด อิสราเอลสูญเสียผู้คนไปกว่า 1,400 ราย จากการโจมตีทางอากาศและภาคพื้นดินตลอด 12 วันที่ผ่านมา โดยฝีมือกลุ่มฮามาส ขณะที่ผู้คนในฉนวนกาซาโดนโจมตีคืนโดยกองกำลังอิสราเอล สูญเสียชีวิตผู้คนไปแล้วกว่า 2,700 รายเช่นกัน อิสราเอลให้คำมั่นว่าจะทำลายกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก และจะพยายามช่วยเหลือตัวประกันจำนวน 199 คน ที่ถูกจับตัวไปในฉนวนกาซา

โฆษกกองทัพอิสราเอลกล่าวว่า กองกำลังของตนจะเริ่มกิจกรรมทางทหารที่ได้รับการเตรียมพร้อม เมื่อจังหวะเวลาเหมาะสมกับเป้าหมาย และออกตัวว่า หากตัวประกันเสียชีวิต ถือป็นความรับผิดชอบของกลุ่มฮามาส

ชาวอิสราเอลยังคงรู้สึกไม่สบายใจจากการโจมตีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของประเทศ ซึ่งทำให้เกิดการระดมพลกองหนุนจำนวนมาก และการอพยพประชาชนประมาณ 500,000 คน ออกจากพื้นที่ใกล้ฉนวนกาซาและเลบานอน

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ซึ่งประจำการอยู่ก่อนแล้วในอิสราเอล กล่าวว่า การเยือนของไบเดนจะเป็นการแสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับอิสราเอล และความมุ่งมั่นที่แข็งแกร่งต่อการสร้างสันติภาพอย่างมั่นคง นอกจากนี้สหรัฐยังประจำการเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก เพื่อยับยั้งการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่ออิสราเอล

อิหร่าน ศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้ทำการรุกรานฉนวนกาซา และพร้อมเข้าแทรกแซง หากอิสราเอลยังคงทิ้งระเบิดฉนวนกาซาต่อไป

แม้สหรัฐส่งสัญญาณสนับสนุน แต่อีกด้านหนึ่งไบเดนก็พยายามจะควบคุมการตอบสนองทางทหารของอิสราเอลอย่างเงียบๆ เช่นกัน ในขณะที่นานาชาติเริ่มกังวลเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงของสงครามต่อพลเรือนชาวปาเลสไตน์

ชาวปาเลสไตน์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือนถูกสังหารในพื้นที่ปิดตายที่ถูกเผาทำลาย ขณะผู้รอดชีวิตมีอาหาร, น้ำ และเชื้อเพลิงเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่นับสภาพจิตใจที่ย่อยยับจากการเฝ้าดูญาติและเพื่อนพ้องตายต่อหน้าตา กับบรรยากาศเมืองที่เต็มไปด้วยเลือดและกลิ่นคนตายอยู่ทุกหนทุกแห่ง”

หน่วยงานผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ของสหประชาชาติ ระบุว่า ชาวปาเลสไตน์มากกว่า 1 ล้านคน หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรกาซาทั้งหมด 2.4 ล้านคน ได้หลบหนีกระจัดกระจายออกจากพื้นที่ไปแล้วโดยไม่รู้จุดหมาย พร้อมเตือนว่ากาซากำลังมุ่งสู่หายนะที่แท้จริง

ก่อนหน้านี้ อิสราเอลเรียกร้องให้ผู้อยู่อาศัยในฉนวนกาซาตอนเหนืออพยพหนีไปทางใต้ โดยหวังว่าจะเคลียร์พื้นที่ของพลเรือนได้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีภาคพื้นดินที่เต็มไปด้วยอันตราย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการสู้รบยาวนานในเมืองแห่งนี้

จนถึงขณะนี้อียิปต์ยังคงปิดจุดผ่านแดนเพียงแห่งเดียวในกาซา ซึ่งไม่ได้ถูกควบคุมโดยอิสราเอล ทำให้ขัดขวางการลี้ภัยของชาวปาเลสไตน์-อเมริกันหลายพันคนที่หวังจะหนีออกจากฉนวนกาซา และปิดกั้นการขนส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ต้องการเข้าไปยังพื้นที่สู้รบเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

ปัจจุบันยังคงมีพลเมืองติดอยู่ในพื้นที่ ซึ่งประเทศอาหรับที่อยู่ใกล้เคียงก็กังวลเช่นกันว่าหากชาวปาเลสไตน์ออกจากดินแดนนี้ไปแล้ว พวกเขาอาจถูกเนรเทศอย่างถาวร

สัญญาณดีช่วยตัวประกัน

ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นตัวประกันในอิสราเอลว่า เมื่อคืนวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทางการไทยสามารถจัดเครื่องบินได้เพิ่มมากขึ้น สามารถนำคนไทยกลับมาได้เพิ่มอีก 600 คน แต่ยังไม่หยุดแค่นี้ เราพยายามหาทางนำคนไทยกลับมาให้มากและเร็วกว่านี้ ปัจจุบันมีคนไทยแสดงเจตจำนงที่จะเดินทางกลับเพิ่มมากขึ้นเกือบ 8,000 คน และที่เราสบายใจขึ้นคือไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเพิ่มเติม

"ทางการไทยยังได้ทำงานร่วมกับหลายๆ ประเทศ ในการเจรจากับฮามาสเพื่อให้ปล่อยตัวคนไทย ซึ่งรายละเอียดคงบอกไม่ได้ บอกได้แค่เพียงว่าเป็นทิศทางบวก และอีกเรื่องหนึ่งก่อนหน้านี้ผมได้ระบุว่า ทางการอิสราเอลระบุว่าในพื้นที่อันตรายสามารถนำคนไทยออกมาได้แล้ว 99% แต่ส่วนตัวเข้าใจว่ายังไม่ถึง ยังมีคนติดค้างอยู่บ้าง เราจึงมีความพยายามที่จะกดดันและทำงานร่วมกันเพื่อนำคนออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ในการอพยพคนไทยถึงวันนี้เป็นไปด้วยดี" นายเศรษฐากล่าว

ถามถึงข้อสงสัยการบินอ้อมเพื่อรับคนไทย นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องที่เราต้องบินอ้อม เพราะเครื่องบินที่เราเช่าเหมาลำไม่มีสนธิสัญญาการบินข้ามน่านฟ้าระหว่างประเทศ ไม่ได้เกี่ยวว่าประเทศนั้นๆ ไม่ต้อนรับ จะใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือ 2 ชั่วโมง หรือมากกว่าก็ไม่ได้ทำให้เป็นประเด็น เพียงแต่เราต้องการเครื่องบินมากกว่า

ซักว่า ในการเช่าเครื่องบินแอร์บัส 380 ซึ่งมีที่นั่งจำนวนมากเพื่อไปรับคนไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีความคืบหน้าโดยมีการติดต่อไป 2 สายการบิน คือสายการบินเอมิเรตส์กับกาตาร์แอร์ไลน์ ซึ่งเรามีความสัมพันธ์กันอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็พยายาม มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่ก็ต้องไปดูโลจิสติกส์ในด้านอื่นด้วย วันนี้ได้รับทราบความคืบหน้าว่าเริ่มต้นการเจรจา

เมื่อถามว่า รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานมีแนวทางการช่วยเหลือแรงงานที่กลับมายังเป็นหนี้ก้อนโตหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เดี๋ยวจะกลับไปพูดคุยกับ รมว.แรงงาน ว่าจะช่วยเหลืออะไรได้บ้างในแง่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการไปทำงาน ขั้นต่อไปก็จะดูว่าจะสามารถเยียวยาอะไรได้บ้าง เดี๋ยวขอไปพูดคุยก่อน ตนเห็นใจและเข้าใจ

ขณะที่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้สถานทูตไทยในอิสราเอลพร้อมด้วยกระทรวงแรงงานได้รับผู้ใช้แรงงานไทยมาอยู่ที่กรุงเทลอาวีฟ โดยวันหนึ่งเรามีไม่น้อยกว่า 2 ไฟลต์บินที่จะรับผู้ใช้แรงงาน 300-400 คน ขณะนี้เราเริ่มกระบวนการระดมเจ้าหน้าที่ไปกรุงเทลอาวีฟเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นการเคลื่อนย้ายผู้ใช้แรงงานน่าจะทำได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ซึ่งนายกฯ ให้นำผู้ใช้แรงงานที่ลงทะเบียนล่าสุดทั้งหมด 7,500 คน กลับให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือน ต.ค.นี้ แต่อยู่ที่ว่าจำนวนเครื่องบินที่จะไปช่วยนั้นเรามีมากน้อยเพียงพอหรือไม่

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ในส่วนแรงงานไทยที่เสียชีวิต เราคงทำโดยลำพังไม่ได้ เพราะอยู่ที่ทางรัฐบาลของอิสราเอล อยู่ระหว่างการพิสูจน์อัตลักษณ์ว่าคนที่เสียชีวิตในอิสราเอลขณะนี้เป็นของประเทศใดบ้าง ซึ่งในนั้นมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนไทย เมื่อมีการพิสูจน์อัตลักษณ์เรียบร้อยก็น่าจะมีการส่งกลับมา เพราะขณะนี้เรามีไฟลต์บินมาเมืองไทยทุกวัน เชื่อว่าอีกไม่เกิน 1 สัปดาห์ น่าจะมีการลำเลียงศพกลับมาได้บ้างสำหรับคนที่พิสูจน์อัตลักษณ์เสร็จ

ถามถึงการจับแรงงานไทยเป็นตัวประกัน รมว.แรงงานกล่าวว่า ตอนนี้เท่าที่ทราบประมาณ 18 คน และยังไม่มีข่าวคราว แต่เชื่อว่าจากการที่นายกฯ เดินทางไปประเทศจีนจะมีการเจรจาผ่านอีกหลายๆ ประเทศ และเมื่อกลับจากประเทศจีนแล้วนายกฯ จะเดินทางต่อไปยังซาอุดีอาระเบีย ซึ่งคงจะมีการหารือกันในเรื่องของการช่วยเหลือตัวประกันผ่านประเทศที่สาม สี่ ห้า ก็แล้วแต่ว่าประเทศไหนที่คิดว่าจะมีโอกาสช่วยเราได้เราจะหารือหมด

ซักถึงกรณีมีนายจ้างกักตัวผู้ใช้แรงงานไม่ให้กลับมา หรือยังคงให้ไปทำงานในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ รมว.แรงงานกล่าวว่า เรื่องนี้นายกฯ ได้สั่งการไปแล้วว่าขอความกรุณาจากนายจ้างที่เป็นชาวอิสราเอล ซึ่งในช่วงเวลาขณะนี้ไม่ควรที่จะให้คนงานยังต้องทำงาน เพราะอยู่ในภาวะที่มีความไม่สงบ สิ่งเหล่านี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการไปแล้ว จึงอยู่ที่เอกอัครราชทูตจะต้องประสานกับทางรัฐบาลอิสราเอล และนายจ้างของอิสราเอล

แรงงานขอกลับไทยแตะ 8 พัน

มีรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศแจ้งสถานะคนไทยที่ได้รับผลกระทบในอิสราเอล ยังคงมียอดเท่าเดิม คือ ผู้เสียชีวิต 29 ราย ผู้บาดเจ็บ 16 ราย และผู้ถูกจับกุม 17 ราย ทั้งนี้ แรงงานไทยที่ลงทะเบียนประสงค์ขอกลับไทย มีจำนวน 7,936 คน และไม่ขอกลับ 101 คน

กระทรวงการต่างประเทศแจ้งด้วยว่า เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2566 สำนักงานประชากรและตรวจคนเข้าเมือง (Population and Immigration Authority - PIBA) ของอิสราเอล ได้มีหนังสือเวียนแจ้งว่า แรงงานไทยในภาคเกษตรกรรมของอิสราเอลที่มีอายุงานไม่เกิน 5 ปี 3 เดือน และเดินทางกลับประเทศไทยในช่วงสงครามครั้งนี้ สามารถเดินทางกลับไปทำงานในอิสราเอลหลังจากนี้ได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่าอนุญาตกลับเข้าประเทศ (Re-entry visa) แต่ขอให้แรงงานติดต่อบริษัทจัดหางานของตนก่อนเดินทางกลับเข้าไปในอิสราเอลอีกครั้ง

สำหรับเที่ยวบินอพยพแรงงานไทยจากอิสราเอล ในช่วงวันที่ 17 และ 18 ต.ค.66 ดังนี้ เที่ยวที่ 6 เที่ยวบิน LY085 ออกจากอิสราเอล 17 ต.ค.66 เวลา 06.20 น. ถึงไทย 17 ต.ค.66 เวลา 19.05 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเที่ยวที่ 7 เที่ยวบิน TG8951 ออกจากอิสราเอล 17 ต.ค.66 เวลา 12.00 น. ถึงไทย 18 ต.ค.66 เวลา 03.30 น. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

วันเดียวกัน พล.อ.ต.บุญเลิศ อันดารา โฆษกกองทัพอากาศ (ทอ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่กองทัพอากาศเรียกกำลังพลสำรอง ซึ่งเป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศมาปฏิบัติภารกิจช่วยอพยพคนไทยจากอิสราเอลว่า พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผบ.ทอ.ได้ลงนามคำสั่งเรียกกำลังพล เพื่อปฏิบัติราชการในการอพยพคนไทยในอิสราเอล ตั้งแต่วันที่ 16-31 ต.ค.66 จำนวน 2 คน ได้แก่ น.ต.ชนัน เชื้อเย็น ปัจจุบันทำงาน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งกัปตันเครื่องบินแอร์บัส A330/350 และ น.ต.เจริญชัย กังสมุทร ปัจจุบันทำงาน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในตำแหน่งกัปตันเครื่องบิน แอร์บัส A330/350 การบินไทย ซึ่งทั้ง 2 คนมีประสบการณ์ในการบินเครื่องบินแอร์บัส A-340 มาก่อน

"ขณะนี้นักบินทั้ง 2 คนได้เข้ามารายงานตัวกับกองทัพอากาศเรียบร้อยแล้ว เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในภารกิจครั้งนี้ เพราะการบินไปประเทศอิสราเอลแต่ละเที่ยวบินจะต้องใช้นักบินทั้งหมด 9 นาย แต่กองทัพอากาศมีนักบินเครื่องบินแอร์บัส A-340 เพียง 17 นาย ทำให้ไม่เพียงพอหากต้องทำการบินเพิ่มขึ้น ส่วนจะมีการเรียกกำลังพลสำรองที่เป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่นั้น เราจะต้องดูสถานการณ์ก่อน" พล.อ.ต.บุญเลิศกล่าว

ถามว่า การบินไปประเทศอิสราเอลครั้งถัดไปจะต้องยังคงบินอ้อมอยู่หรือไม่ โฆษก ทอ.กล่าวว่า เรื่องเส้นทางการบินเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ในการดำเนินการประสานงานขอบินผ่านน่านฟ้าในแต่ละประเทศ ซึ่งตอนนี้เส้นทางการบินไปอิสราเอล กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานขอให้เครื่องบินกองทัพอากาศไทยบินผ่านน่านฟ้า 10 ประเทศ

"ในวันที่ 18 ต.ค. เวลา 09.00 น. เครื่องบินแอร์บัส A-340 กองทัพอากาศ จะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กทม. เพื่อทำการบินไปรับคนไทยที่อิสราเอลอีกครั้ง" โฆษก ทอ.กล่าว

ด้าน นายตวง อันทะไชย สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา วุฒิสภา กล่าวเรียกร้องรัฐบาลไม่ควรเลือกข้างในสถานการณ์ดังกล่าว อาจจะส่งผลต่อความปลอดภัยต่อตัวประกัน และความมั่นคงระหว่างประเทศด้วย ส่วนความปลอดภัยของแรงงานไทยในอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงนั้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรทบทวนทั้งในประเด็นของค่าแรงและความปลอดภัย

เมื่อถามถึงกลุ่มนักศึกษาไทยทั้ง 79 คน ที่ยังอยู่ในอิสราเอล นายตวงกล่าวว่า นักเรียนในวิทยาลัยเกษตรของอิสราเอลที่ยังเหลืออยู่ 79 คน ซึ่งเป็นคนที่อยู่หน้างาน จะทำอย่างไรให้ช่วยพวกเขากลับมาให้ได้ และไม่รู้ว่าในจำนวนนี้มีคนที่ถูกกลุ่มฮามาสจับตัวไปหรือไม่ ดังนั้นรัฐบาลควรต้องประสานต่อ

จ.บุรีรัมย์ นายบุญรอด เรือโป๊ะ อายุ 58 ปี และนางสถาพร เรือโป๊ะ อายุ 54 ปี ชาวบ้านหนองนา ต.ลำไทรโยง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของนายเสรี เรือโป๊ะ อายุ 29 ปี หนึ่งในแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอล ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ เนื่องจากครอบครัวและตัวลูกชายมีความประสงค์จะเดินทางกลับไทย เพราะเกรงจะได้รับอันตรายจากสถานการณ์สู้รบที่ยังคงรุนแรงและขยายพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากจำนวนแรงงานในอิสราเอลที่แจ้งความประสงค์จะเดินทางกลับมีมากกว่า 7,000 คน และไม่รู้เมื่อไหร่จะถึงคิวลูกชายที่จะได้เดินทางกลับ ด้วยความกังวลใจและเป็นห่วงลูกชายมาก พ่อและแม่จึงตัดสินใจไปหยิบยืมเงินเพื่อนบ้าน 60,000 บาท ส่งไปให้ลูกชายเป็นค่าตั๋วเครื่องบินพาณิชย์เพื่อเดินทางกลับเอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง