‘เศรษฐา’เสี้ยมปชช.แตก

ไทยโพสต์ ๐ ประชานิยมเดือด!   ประชาชนส่อจะตีกันเอง "เศรษฐา" ทวีตข้อความ ขอคนชอบดิจิทัลวอลเล็ตส่งเสียง อย่ายอมให้คนไม่เห็นด้วยโดยไม่มีเหตุผลยับยั้งโครงการนี้ ให้พูดว่ามีความสุข ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำให้ เผยธาตุแท้ ไม่เห็นด้วยกับคนที่ค้าน แต่รับฟังความคิดเห็น "จุลพันธ์" บอกเป็นไปได้ว่าอาจจะใช้น้อยกว่า 5.6 แสนล้านบาท เพราะประชาชนที่ได้สิทธิ์อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี จะเหลืออยู่ราว 54.8 ล้านคน

     เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้ทวีตข้อความถึงความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า ทราบดีว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เราในฐานะรัฐบาลของประชาชน จึงรับฟังทุกความเห็นเพื่อเอามาปรับให้ดีและตรงใจทุกคน อยากให้เราลองนึกภาพไปด้วยกันว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ มีเงินเข้ามาในระบบ 560,000 ล้านบาท ถ้าท่านเป็นภาคอุตสาหกรรม ท่านจะผลิตสินค้ามารองรับไหม จะต้องซื้อวัสดุเพื่อมาผลิตสินค้าเตรียมขายหรือไม่ จะมีการจ้างคนเพิ่มไหม แล้วเงินจะเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของพี่น้องประชาชนเท่าไหร่ เราตั้งใจให้เงินถูกเอาไปใช้ในพื้นที่ตามบัตรประชาชนของท่าน เพื่อช่วยพัฒนาชุมชนที่ท่านอยู่ ไม่ใช่พัฒนาเมืองใหญ่อย่างเดียว

     “หากท่านเห็นตรงกันกับผม และชอบโครงการนี้อยู่ ท่านอย่ายอมให้คนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีเหตุผลมายับยั้งโครงการนี้ และขอให้ส่งเสียงบอกกับพวกเราบ้างว่า ท่านมีความสุข และดีใจที่รัฐบาลนี้ทำให้  เราเองก็อยากได้กำลังใจจากทุกคน  เพราะพวกเราตั้งใจมาทำงานให้พี่น้องประชาชนจริงๆ ครับ” นายกรัฐมนตรีระบุ

     นอกจากนี้ ในการลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก นายเศรษฐายังพูดว่า มีหลายท่านไม่เห็นด้วย ตนก็ไม่เห็นด้วยกับคนที่ไม่เห็นด้วย แต่เรารับฟังความคิดเห็น  เพราะเราเป็นรัฐบาลของประชาชน รับฟังแล้วปรับให้ดี ให้เป็นนโยบายที่โดนใจทุกคน คิดดูวันที่ 1 ก.พ. มีเงิน 5.6 แสนล้านเข้าไปในระบบ ถ้าเป็นภาคอุตสาหกรรมจะเตรียมสินค้าออกมารองรับหรือไม่ จะมีการจ้างคนเพิ่มหรือไม่ เงินจะอยู่ในกระเป๋าประชาชนมากขึ้นแค่ไหนอย่างไร

     “ท่านอย่ายอมให้คนที่ไม่เห็นด้วยโดยไม่มีเหตุผลมายับยั้งโครงการนี้ ถ้าชอบก็ขอให้พูดบ้าง ให้เปล่งเสียงออกมาบ้าง เรื่องลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ต้องพูด อย่างภาคอุตสาหกรรมที่ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ท่านต้องออกมาพูดว่า ท่านมีความสุข  ดีใจที่รัฐบาลนี้ทำให้ เราเองก็เป็นคนเหมือนกัน ต้องการขวัญและกำลังใจเหมือนกัน บางคนที่มาด้วยกันวันนี้ก็อยากอยู่บ้าน แต่วันนี้เข้าใจปัญหาประชาชน ก็มารับฟังปัญหา เราไม่ได้มาหาเสียง แต่เรามาทำงานจริง" นายเศรษฐากล่าว

     นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง  ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เปิดเผยว่า กระแสข่าวว่าจะมีการปรับลดวงเงินโครงการจาก 5.6 แสนล้านบาท เหลือ 4 แสนล้านบาท และ ปรับกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ได้รับเงินดิจิทัลเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ยังไม่มีการหารือในชั้นคณะอนุกรรมการ และไม่มีข้อสรุปใดๆ ทั้งสิ้น

     "ประเด็นลดวงเงินเหลือ 4 แสนล้านบาท ผมไม่เคยพูด ไปเอาตัวเลขมาจากไหน นโยบายนี้เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่นโยบายดูแลกลุ่มผู้ยากไร้ นโยบายสงเคราะห์ แต่เป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้ทั่วถึง แต่เมื่อมีเสียงคัดค้าน ข้อเสนอแนะ ก็พร้อมรับฟัง เช่น มาตรการสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ เพราะจะเป็นการนำเงินดิจิทัลไปทดแทนวงเงินใช้จ่ายปกติเท่านั้น ก็ต้องเอาประเด็นนี้มาพิจารณา" นายจุลพันธ์ กล่าว

อาจใช้น้อยกว่า 5.6 ล้านบาท

     รมช.การคลังกล่าวอีกว่า หากมีการแบ่งว่าใครควรได้รับสิทธิ์ จะพิจารณาอย่างไรว่าใครรวยใครจน พิจารณาจากการยื่นภาษีกรมสรรพากร หรือพิจารณาจากเงินฝากในบัญชี ซึ่งก็ต้องระมัดระวังเรื่องกฎหมายพีดีพีเอ หรือพิจารณาจากการถือครองที่ดิน สุดท้ายทั้งหมดคงต้องมีกลไกทางวิทยาศาสตร์บอกว่าใครรวยจริง คณะอนุกรรมการในชุดต่างๆ ต้องไปพิจารณา แล้วกลับมาเสนออีกครั้งในสัปดาห์หน้า

     สำหรับกระบวนการได้สิทธิ์ดิจิทัลวอลเล็ต ยืนยันว่าไม่ใช่ลงทะเบียน แต่ต้องมีกระบวนการพิสูจน์ตัวตน เพราะเป็นไปตามระเบียบและกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเป็นการใช้เงินดิจิทัลเทียบเงินบาท จากข้อมูลในมาตรการต่างๆ ที่ผ่านมา มีประชาชนยืนยันตัวตนแล้วกว่า 40 ล้านคน ยังเหลืออีกกว่า 10 ล้านคน ต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เป็นการยืนยันรับสิทธิ์ ไม่ใช่การพิสูจน์สิทธิ์

     "ต้องใช้บัตรประชาชนในการยืนยันสิทธิ์ และต้องมีบัญชีเงินฝากส่วนตัวผูกบัญชีไว้ ซึ่งกระบวนการยืนยันตัวตนจะต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะมีการโหลดแอปพลิเคชันดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งกระบวนการต่างๆ คณะทำงานต้องไปทำรายละเอียดมา"

     รมช.การคลังยังกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอให้ปรับลดวงเงิน แต่กลไกต้องอยู่ในกรอบเหมาะสม และไม่กระทบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ละสัปดาห์ก็แบ่งงานกันไปทำชัดเจน เพื่อสามารถมาทำโครงการได้โดยไม่ให้มีผลกระทบน้อยสุด ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะใช้น้อยกว่า 5.6 แสนล้านบาท

     เบื้องต้น จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า 1.ประชาชนที่ได้สิทธิ์ อายุไม่ต่ำกว่า 16 ปี จะเหลืออยู่ราว 54.8 ล้านคน จาก 56 ล้านคน 2.การพิจารณาอยู่ใครจำเป็นไม่จำเป็นไม่มีใครตอบได้ ต้องฟังเสียงนักวิชาการ ประชาชน และรอคณะอนุกรรมการฯ ไปพิจารณาดูว่าคนกลุ่มไหนไม่ควรต้องได้สิทธิ์ และให้คำตอบมาก่อน และ 3.กระบวนการครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่ได้สิทธิ์จะใช้สิทธิ์กันครบ

     อย่างไรก็ดี รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอ และปฏิบัติตามแนวทางที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และ กลุ่มนักวิชาการท้วงติงความเหมาะสมโครงการ และยืนยันว่าจะยึดมั่นกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาก็เป็นรัฐบาลที่ทำงบประมาณแบบสมดุลได้ แต่ถ้าถามว่าโตต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอด ถ้าขยายตัวในระดับ 2% ต่อปี ประชาชนก็ไม่พึงพอใจ

     "ถ้าบอกเศรษฐกิจดีแล้ว วันนี้คงไม่มีนายกรัฐมนตรีชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ประชาชนคงไม่เลือกเข้ามาแก้ปัญหา ซึ่งกระบวนการทำให้เศรษฐกิจโต ก็มีไม่กี่อย่าง กลไกหนึ่งคือการกระตุ้นบริโภคภาคเอกชน" นายจุลพันธ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ช่วยนักโทษติดคุกหมด เสรีพิศุทธ์ถอนตัวงัดหลักฐานมัดแก๊งชั้น14/ปชป.มีมติร่วมรบ.

"นายกฯ อิ๊งค์" อารมณ์ดีนัดสื่อให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง 30 ส.ค. "ภูมิธรรม" มั่นใจเสถียรภาพรัฐบาล หลังดึง