ยก‘บุญทรง’เตือนแจกดิจิทัล

แบงก์ใหญ่หวั่น "แจกเงินหมื่นดิจิทัล" หนี้สาธารณะพุ่ง ฉุดเชื่อมั่นต่างชาติลดเครดิตเรตติ้งไทย ทำตลาดการเงิน-ทุนป่วน "จตุพร" แนะรัฐบาลไปเยี่ยม "บุญทรง-ภูมิ" ก่อนเดินหน้าแจก  เชื่อเป็นชนวนแตกหักพรรคร่วมรัฐบาลในอนาคต

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2566 นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัยและที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (CIMBT) กล่าวถึงการดำเนินนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทว่า จากปัญหาความไม่ชัดเจนเรื่องการทำนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท   ว่าจะนำเงินงบประมาณ จะมีแหล่งที่มามาจากแหล่งใด ประเด็นนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่เชื่อมั่น จนส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ (เครดิตเรตติ้ง) ลดลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะจากปัญหาหนี้สาธารณะของไทยปัจจุบันทะลุ 60% จากเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ 70% และถ้ารัฐบาลจะมีการนำงบฯ จากวงเงินมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

ซึ่งบริษัทจัดอันดับความเชื่อมั่น (เครดิตเรตติ้ง) จะไม่รอจนปัญหาหนี้สาธารณะไปปูดตอนท้าย เพราะจะพิจารณาจากผลกระทบที่เกิดขึ้น และประเมินผล โดยจะเริ่มจากการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ และจะไปลดอันดับความน่าเชื่อถือลง ซึ่งก็เป็นความน่ากังวล ทั้งมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยิลด์) พันธบัตรรัฐบาลไทยที่ขยับขึ้น และต้นทุนของภาคเอกชนจะมากขึ้นตาม ดังนั้นความเชื่อมั่นต่างๆ จึงมีผลกระทบในหลายด้าน โดยเฉพาะตลาดการเงิน-ตลาดทุนที่จะเคลื่อนไหวก่อน

ขณะเดียวกัน แผนการดำเนินการเก็บรายได้เข้ารัฐบาลเพื่อลดความกังวลของนักลงทุนลงคือ 1.รายได้ของรัฐบาลที่จะไม่โยงภาระหนี้สาธารณะในระดับรุนแรง 2.การเติบโตทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องการให้มีการขยายตัวถึง 5% ซึ่งต้องไม่ใช่การดำเนินการได้แค่ปีเดียวที่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การเติบโตที่ระดับ 4-5% ต้องเป็นจีดีพีระยะยาวที่จะสร้างฐานการเติบโตได้รวดเร็ว

"เบื้องต้นมองเป็น 2 ส่วน ส่วนใหญ่มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมาแรงในปี 2567 และปี 2568 แต่หลังจากนั้นการขยายตัวจะตกลงที่เดิม หรือต่ำกว่าเดิม เพราะเศรษฐกิจหมดแรงส่ง ดังนั้น จึงเป็นประเด็นที่เป็นกังวลว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลจะเป็นนโยบายระยะสั้นที่สร้างการฟื้นตัวระยะยาวได้อย่างไร นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่อยากเห็นการขยายตัวระยะยาวอย่างยั่งยืน" นายอมรเทพกล่าว

นายอมรเทพกล่าวว่า จากนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล เอกชนและประชาชนอยากเห็นความชัดเจนที่ไม่เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา เพราะเมื่อมีการแจกเงินไปสู่ประชาชน พอระยะเวลาหมดนโยบายเศรษฐกิจก็กลับเข้ารูปเดิมที่เศรษฐกิจขยายตัวช้าลง แต่จากที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ระบุว่ามาตรการนี้ได้ออกแบบรูปแบบใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยกศักยภาพเศรษฐกิจอย่างไร

ถ้ารัฐจะยกศักยภาพที่มีภาพเศรษฐกิจระยะยาว คือไทยอาจต้องเน้นเรื่องการลงทุนที่มาจากต่างประเทศ เพราะการลงทุนภาครัฐมีอย่างต่อเนื่อง นอกจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยากได้ก็มีเรื่องการเจรจาการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ที่รัฐบาลต้องเร่งเจรจาและปรับรูปแบบสัญญาให้เอื้อต่อการลงทุนตามสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพื่อให้การค้าระหว่างประเทศดีขึ้น

"วันนี้ไทยแพ้เวียดนาม เพราะการค้าเสรีของไทยมีน้อยกว่าเวียดนาม จึงต้องกระตุ้นเรื่องนี้ให้มากขึ้น และเชื่อว่ารัฐบาลพยายามเร่งดำเนินการอยู่ อยากเห็นเป็นการเจรจาที่เป็นรูปธรรมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้น" นายอมรเทพกล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ว่า คนยังไม่เคยติดคุกอาจมีความคึกคักได้ผลักดันโครงการนี้ แต่ก่อนจะตัดสินใจอะไรไป ควรไปเยี่ยมนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ กับนายภูมิ สาระผล ในคุกก่อน แล้วสอบถามโครงการรับจำนำข้าว ว่าวันนั้นเขาคิดอย่างไรและทำอะไร  อย่างไรก็ตาม ตนได้เจอกันครั้งแรกในเรือนจำ เขาบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดที่สุดในชีวิต

มั่นใจว่าลำพังนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังเอาไม่อยู่แน่ เพราะการแจกเงินดิจิทัลเป็นเรื่องชาติบ้านเมือง และใหญ่กว่าตัวรัฐมนตรีที่ผลักดันโครงการเสียอีก ส่วนคนคัดค้านไม่อยู่ในวงการเมือง โดยเฉพาะอดีตผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เลขาธิการสภาพัฒน์ อดีตรองผู้ว่าฯ รวมทั้งนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยอีกมากมาย ล้วนไม่สนับสนุนโครงการนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนนายจุลพันธ์จะไปชี้แจงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลองตอบเบื้องต้นก่อนว่าจ่ายค่าทำบล็อกเชนกี่บาท และทำเพื่ออะไร ซึ่งการไปชี้แจงนั้น เท่ากับเป็นการสารภาพก่อนก่อคดี เพราะการพูดทั้งหมดจะถูกบันทึกเป็นหลักฐาน แสดงถึงการเตือน ได้ทักท้วง และมีการยืนยันแล้ว ดังนั้น เมื่อยังไม่เป็นคดี ก็เริงร่ากับการคิดเพียงด้านเดียวได้เสมอ

"ไม่มีใครคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงในเรื่องนี้ แต่หลังจากแจกเงินจะเกิดความฉิบหายมาแทนที่ จะถูกจับติดคุกอีก อีกอย่างถ้าต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจแค่ 6 เดือนตามที่ประกาศไว้ จะไปจ้างทำบล็อกเชนใหม่ทำไม และทำไมไม่แจกเป็นเงินบาท แล้วจบกันไป ถ้าต้องการจะแจกกันจริง"

นายจตุพรกล่าวว่า ลองแถลงออกมาว่าต้องการใช้เงินทำบล็อกเชนเท่าไร รวมทั้งการเข้า-ออกของเหรียญดิจิทัลไป-กลับอย่างละ 3% ตามข้อสงสัยนั้น มีมูลค่าเท่าไร ขณะเดียวกันที่บอกจะหมุนเป็นวงรอบ ซึ่งถามกันหลายครั้งว่า มันจะหมุนอย่างไร เพราะการซื้อสินค้าเงินจะไหลเข้าไปยังเจ้าสัวผู้ผลิตสินค้าในขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้นเอง

นายจตุพรสงสัยว่า พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ พร้อมจะมาเสี่ยงชีวิตในโครงการดิจิทัลหรือไม่ และจะยอมตายทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากโครงการนี้ต้องเป็นมติ ครม. และถ้าผิด คนโหวตมติให้ต้องโดนความผิดด้วย และอาจทั้ง ครม. ถ้ากล้าเสี่ยงไปกับพรรคเพื่อไทย ในแวดวงการเมืองเริ่มประเมินกันว่าการแจกเงินดิจิทัลจะเป็นจุดแตกหักของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างสำคัญ เพราะพรรคอื่นจะไม่กล้าเสี่ยง เนื่องจาก ป.ป.ช.ตั้งกรรมการศึกษา เพราะได้กลิ่นไม่ดี

ขณะที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุว่า ตรรกะที่ว่าทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี แจกเงินไม่ผิด ต้องย้อนดูว่าฝ่ายกฎหมายฝีมือต่างกันไหม มีคนถามว่าที พล.อ.ประยุทธ์กู้เงินเป็นล้านล้านบาทมาทั้งแจกทั้งแถมในช่วงโควิด ทำไมไม่ผิด ทีจำนำข้าว ดันมีคนเข้าคุก จะแจกเงินดิจิทัล ก็ขู่เอาๆ

คำตอบคือ เหตุผลความจำเป็นและกระบวนการทางกฎหมายแตกต่างกัน            1.การใช้เงินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในกรอบของกฎหมาย เป็นไปตาม พ.ร.บ.งบประมาณที่ผ่านสภา ไม่ว่าจะเป็นสภานิติบัญญัติ หรือรัฐสภา 2.กรณีกู้เงิน เป็นการออกพระราชกำหนดโดยอ้างเหตุฉุกเฉิน สถานการณ์โควิด แถมทุกครั้งหาจังหวะออกในเวลาปิดสภา แล้วค่อยมาผ่านสภาภายหลัง ตามรัฐธรรมนูญ 3.การดำเนินการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ เวลาจะเกินกรอบ ก็มาขอมติคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ 4.ปัญหาการทุจริตแม้จะมี ก็เป็นในระดับปฏิบัติ เช่น กรณีการจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้า และแก้ไขกันไป แต่ไม่ใช่ในระดับนโยบาย ไม่มีเงินทอนให้จับได้ จึงยังไม่มี รมต.คนไหนติดคุก

"อย่ายกตัวอย่างรัฐบาลชุดเก่าทำไมเขาแจกเงินได้ ทุกอย่างล้วนต่างกัน และอย่าคิดว่าที่ปรึกษากฎหมายเก่ง เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์แล้ว เทพกับถุงขนมนั้นต่างกัน" นายสมชัยระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง