แบ่งโซนสีผู้มีอิทธิพล มท.ปูพรมทั่วประเทศ! รับซื้อขายเก้าอี้ไม่มีหมด

“อนุทิน” ขึงขังต้องปราบผู้มีอิทธิพลให้สิ้นซาก “ชาดา” เตรียมจัดทำบัญชีเจ้าพ่อ-มาเฟียทุกจังหวัดเป็นสีแดง-สีเหลือง ปูพรมตรวจทั่วประเทศ ประเดิมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน-นักการเมืองท้องถิ่น “คดีกำนันนก” ลาม มท.หนูสั่งคุ้ยฮั้วประมูลรัฐวิสาหกิจในสังกัดทุกส่วน ผบ.ตร.แจงเหตุโอนคดีเพื่อให้ความเป็นธรรม “เศรษฐา” รับสภาพการซื้อขายตำแหน่งไม่มีทางหมด แต่พยายามลดให้น้อยที่สุด ยาหอม วปอ.จำเป็นต้องมี

เมื่อวันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย (มท.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลและภารกิจสำคัญของ มท. โดยกล่าวตอนหนึ่งถึงนโยบายจัดระเบียบสังคมและผู้มีอิทธิพลว่า เมื่อพูดถึงการปราบปรามผู้มีอิทธิพล คนส่วนใหญ่คิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร เราต้องมาตั้งหลักกันใหม่ สำหรับ มท.แล้วผู้มีอิทธิพลหมายถึงคนที่ใช้อำนาจที่มีอยู่ในทางมิชอบ ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเลงหัวไม้ ไม่จำเป็นต้องเป็นอันธพาล คนดีๆ แบบนี้ที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ ข่มเหงคนอื่น และก่อประโยชน์ส่วนตน ทำให้คนอื่นเดือดร้อน กีดกันคนอื่นไม่ให้ได้รับโอกาสเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐ อำนาจบารมีในท้องถิ่น อำนาจเงิน และอำนาจสายสัมพันธ์ต่างๆ ถ้าใช้อิทธิพลประกอบคุณงามความดี เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ แต่ใช้อิทธิพลก่อให้เกิดความเดือดร้อน เสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ นี่คือสิ่งที่ต้องกำจัด หน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยมุ่งจัดระเบียบสังคมให้สงบสุข ทำบ้านเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ปลอดอบายมุข ยาเสพติด ประชาชนมีความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีทัศนคติที่ดีต่อบ้านเมือง สิ่งใดที่ขัดต่อความมุ่งหมายนี้ เราจะใช้กลไกของรัฐที่พวกท่านทั้งหลายถืออยู่ในมือต้องกำจัดให้สิ้นซากไป

 “ผมชื่อเล่นว่าหนู ภารกิจของท่านคือราชสีห์ แต่สำหรับผมราชสีห์คือประชาชน ให้หนูช่วยเถอะครับ อะไรที่ติดขัดก็มาบอก แล้วก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน ผมยินดีทำและรับผิดชอบร่วมกัน พวกเราทุกคนไปช่วยราชสีห์กัน ราชสีห์ก็คงไม่ตะปบเรา ราชสีห์ก็คงอยู่กับเราด้วยความสง่างาม ด้วยความสมบูรณ์ เราก็เป็นหนูที่ช่วยราชสีห์ มันก็อยู่กันได้ด้วยความสุข ไม่อย่างนั้นคงไม่อยู่ในนิทานอีสปหรอก” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทินยังกล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบ การฮั้วประมูลในพื้นที่เชื่อมโยงของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก ในคดียิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ทล.2 บก.ทล.เสียชีวิต ว่าจะขยายผล ขณะนี้ก็ตรวจสอบหมดทั้งรัฐวิสาหกิจในสังกัดของ มท. ตรงไหนเข้าข่ายฮั้วประมูล กีดกัน วางสเปก ใครเสนอราคามาแล้วไปเตะเขาออกแล้วไปให้คนที่สูงกว่า ก็ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยจะดูแลเรื่องนี้เอง ส่วนจะวางกรอบระยะเวลาเท่าไหร่นั้น เราได้เริ่มดำเนินการแล้ว ขึ้นอยู่กับข้อมูล ในทางราชการเสียอย่างหนึ่งคือต้องมีหลักฐานมาประกอบ ใช้ความรู้สึกไม่ได้

“โครงการต่างๆ ที่ได้รับการร้องเรียนเข้ามามีเยอะมาก บางครั้งมีการทักท้วงแล้วก็ยังเดินหน้าต่อไป ไม่ให้ความสำคัญกับการทักท้วง ก็ต้องดำเนินการ ถ้าไปถามใครเขาก็ว่าถูกทุกคน เพราะเขาทำมาแล้ว ดังนั้นเราต้องหาหลักฐานเพื่อให้เห็นว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ผลจะเป็นอย่างไรอยู่ที่หลักฐานที่ต้องควานหามาให้ได้ ผลจะเป็นอย่างไร ผมก็จะตั้งคณะกรรมการคณะทำงานขึ้นมาดู” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามว่า หากพบว่ามีคนในเอี่ยวจะลงโทษอย่างไร นายอนุทินกล่าวว่า ก็เป็นไปตามกฎหมาย แต่ยังไงก็ต้องเอี่ยวเพราะของพวกนี้มันต้องร่วมกัน การทุจริตทำฝ่ายเดียวไม่ได้

เร่งขึ้นบัญชีแดง-เหลือง

เมื่อถามถึงแนวทางป้องกันในอนาคต นายอนุทิน กล่าวว่า ต้องปลูกฝังเพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมให้มากที่สุด ใครที่ทำสิ่งไม่ดี ไม่ถูกต้อง ต้องดำเนินการด้วยกฎหมายที่เฉียบขาดให้เร็วที่สุด บางครั้งมันย้อนแย้งกัน บางทีกว่าจะรู้ว่าทุจริตโครงการก็สร้างเสร็จไปหมดแล้ว แล้วจะให้ไปทุบตึกทิ้งหรือ ในเรื่องการดำเนินคดีโชคดีหน่อยที่คดีไม่มีอายุความ ก็ต้องวางแนวทางต่อไปว่าใครจะมาทำต่อ ใครไม่ทำก็ถือว่าละเว้น

ขณะที่นายชาดากล่าวถึงความคืบหน้า ในการขึ้นทะเบียนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ทั่วประเทศว่า ได้ตั้งกรรมการ  โดยมีนายอนุทินเป็นประธาน และตนเป็นรองประธาน รวมทั้งมีปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ โดยจะรวบรวมรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศก่อน และตรวจสอบดูว่ายังมีอิทธิพลอยู่หรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบในพื้นที่ว่ามีผู้มีอิทธิพลรายใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ โดยจะแบ่งพื้นที่เป็นสีแดง และสีเหลืองเพื่อทำข้อมูลใหม่ โดยจะเน้นย้ำถึงความเป็นธรรมกับผู้ที่ไม่ได้มีอิทธิพลแล้ว ขณะนี้ที่เกิดคดีของกำนันนกต้องตรวจสอบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศก่อน

 “ผู้มีอิทธิพลที่พฤติกรรมไม่ดีมีหลายรูปแบบ บางคนไม่ได้มีตำแหน่งแต่มีอิทธิพล แต่บางคนมีอิทธิพลมากถึงขั้นแต่งตั้งนักการเมืองได้ ก็จะต้องตรวจสอบไปตามขั้นตอน ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ” นายชาดากล่าว

เมื่อถามว่า การตรวจสอบผู้มีอิทธิพลในจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างไร นายชาดากล่าวว่า จบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีการแบ่งพื้นที่เป็นสีแดงและสีเหลืองเรียบร้อยแล้ว โดยสีแดงนั้นมีน้อยมาก ส่วนการตรวจผู้มีอิทธิในจังหวัดอื่นๆ นั้นจะตรวจพร้อมกันทั่วประเทศ ไม่ใช่แค่ จ.นครปฐม  ส่วนรายชื่อผู้มีอิทธิพลนั้นไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากกฎหมายไม่เหมือนสมัยก่อน เพราะมีกฎหมายป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งการทำงานปัจจุบันหากมีรายชื่อหลุดไปอาจจะถูกฟ้องร้องได้

 ถามว่า จะให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่มีชื่อปรากฏที่รีบมาชี้แจงหรือไม่ นายชาดากล่าวว่า มีความเป็นธรรมอยู่แล้ว และไม่สามารถปิดบังตนเองได้

เมื่อถามถึงการตั้งกรอบเวลาการทำบัญชีสีแดงและสีเหลือง นายชาดากล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่อุทัยธานีเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหลายจังหวัดก็จบแล้ว ซึ่งการทำงานไม่ได้อยู่ที่ มท.อย่างเดียว แต่มีกระทรวงอื่นมาร่วมทำงานด้วย เบื้องต้นสามารถรวบรวมข้อมูลได้ 20-30% แล้ว ซึ่งจะเร่งให้เร็วที่สุด แต่ขออย่าไปบีบเจ้าหน้าที่ให้เร่งทำงาน

เมื่อถามว่า กังวลว่าผู้มีอิทธิพลจะเข้ามาแทรกแซงหรือไม่ นายชาดาย้อนถามกลับว่า ใครจะมาใหญ่กว่าตนเอง พร้อมหัวเราะแล้วบอกว่าตนเองตัวใหญ่

ด้านนายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวเรื่องนี้ว่า จะเชิญกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านทุกตำบลในจังหวัดนครปฐม มาประชุมในวันที่ 19 ก.ย.เพื่อทำความเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การวางตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐต้องคุยถึงกรอบอำนาจหน้าที่ การประกอบอาชีพสุจริต

นายสุรศักดิ์ยังกล่าวถึงคำสั่งปลดนายประวีณพ้นจากตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศาสนาหรือวัฒนธรรม ภายในคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กก.ตร.) จว.นครปฐม ว่า สาเหตุมาจากกำนันนกขาดคุณสมบัติของการเป็น กก.ตร.จากการถูกดำเนินคดีที่เกิดขึ้น ส่วนกำนันนกได้โควตาเข้ามาเป็น กก.ตร.จังหวัดอย่างไรนั้น กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม ในฐานะฝ่ายเลขาฯ กก.ตร.จว.นครปฐมเสนอขึ้นมา

ชี้กำนันนกมาอย่างถูกต้อง

 “ตอบอย่างชัดเจนไม่ได้ว่ากำนันนกมีการฮั้วประมูลหลายๆ โครงการในพื้นที่ เพราะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบร่วมกันหลายหน่วย ถ้าพบว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดเราต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เราพยายามจะเร่งให้เร็วที่สุด เพราะเป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่” นายสุรศักดิ์ตอบข้อถามถึงเรื่องการฮั้วประมูลของกำนันนกในนครปฐม

เมื่อถามว่า จะต้องตรวจสอบไปถึงที่มาของการขึ้นดำรงตำแหน่งของกำนันนกหรือไม่ นายสุรศักดิ์กล่าวว่า อำเภอเมืองนครปฐมรายงานมาว่ากำนันนกได้รับการเลือกตั้งมาตามขั้นตอนถูกต้องแล้ว ส่วนในพื้นมีใครที่มีพฤติการณ์คล้ายกับกำนันนกหรือเครือข่ายหรือไม่นั้น เบื้องต้นดูจากฐานข้อมูลเดิม แต่รายชื่อคงไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ยอมรับว่ามันมีหลายตัวแปร เรากำลังรวบรวมรายชื่ออยู่ ส่วนการดำรงตำแหน่งระยะยาวของกำนันผู้ใหญ่บ้านมีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่ตัวบุคคล หลายคนพอเกษียณอายุราชการก็เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป มันไม่เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายหรือตำแหน่ง แต่เกี่ยวกับตัวบุคคล

ขณะที่นายอายุตม์  สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกระแสสังคมวิจารณ์และตั้งข้อสังเกต กำนันนกที่ถูกจับไม่ใช่ตัวจริงว่า ยืนยันว่าก่อนรับตัวนายประวีณเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ตรวจสอบหมายขังระหว่างสอบสวน ใบส่งตัว และรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของศาลอาญา ซึ่งตรงกับรายงานทะเบียนราษฎร จากฐานข้อมูลการทะเบียน สำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย  ระบบข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ถูกต้องครบถ้วนเรียบร้อย

ซื้อขายตำแหน่งไม่มีทางหมด

ส่วน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงการโอนคดียิง พ.ต.ต.ศิวกร และคดีที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไปให้กองปราบปรามเป็นผู้ทำคดีว่า เป็นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับผู้มีอิทธิพลและเป็นคดีสำคัญ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและรอบคอบในการทำคดี ซึ่งเมื่อใดที่ในพื้นที่นั้นมีคดีเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล ก็จะไม่ได้รับความไว้ใจในกระบวนการยุติธรรม จึงเห็นชอบที่จะให้โอนคดีมาที่กองปราบปราม โดยการโอนคดีกำนันนกไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในการทำคดีนี้

วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวตอนหนึ่งในหัวข้อ “Future Perfect เปิดมุมคิด พลิกอนาคต” ในงานเสวนา Thairath Forum 2023 ถึงการซื้อขายตำแหน่งว่าจะทำอย่างไรให้หมดไป ว่าไม่ใช่แค่ตำรวจอย่างเดียว การซื้อขายตำแหน่งถือว่าเป็นการคอร์รัปชันที่ร้ายแรงและรัฐบาลนี้ไม่ยอมรับ ส่วนตัวดูกระทรวงการคลังมอบนโยบายก็เน้นเรื่องนี้ ซึ่งไม่ได้หลีกเลี่ยงประเด็นตำรวจ เพราะรู้ว่าข้าราชการตำรวจเสียเวลาอย่างมาก การวิ่งเต้นโยกย้าย ขออภัย ผบ.ตร.ด้วย แต่เป็นเรื่องจริงที่ต้องพูด ก็จะมีการกำกับเรื่องนี้ และถ้าพูดถึงความเป็นจริงเรื่องซื้อขายตำแหน่งอย่างไรก็ไม่หมดไป แต่ต้องทำให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่ได้ยอมรับการซื้อขายตำแหน่ง แต่เราต้องอยู่กับความเป็นจริง

“ในเดือน ก.ย.ก็เป็นเดือนที่ร้อนแรงเหลือเกิน กับตนคนที่ไม่รู้จักกัน 20-30 ปีก็ส่งเข้ามา ญาติกันเต็มไปหมดเลย ผมก็ไม่รู้ เยอะมากเกินไป ที่ปรึกษาที่คุยกันอยู่ให้ปรึกษา ไม่ได้ให้เอาคนมาฝาก มันอะไรก็ไม่รู้ ผมจะรู้ได้อย่างไรคนไหนเก่งคนไหนดี ก็ต้องไปถามผู้บังคับบัญชาเขา เป็นความลำบากใจเหมือนกันที่ต้องจัดลำดับความเหมาะสมระหว่าง ภาคการเมือง ภาคธุรกิจ และภาคราชการที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ยืนยันแกนของการทำงานให้ความเป็นธรรมมากที่สุดกับภาคราชการ”

เมื่อถามว่า การไปพูดที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) มีประเด็นการกระจายคอนเนกชันเพื่อกระจายให้คนตัวเล็ก นายเศรษฐากล่าวว่า ยืนยันว่า วปอ.เป็นสถาบันที่สมควรมีและต้องมี เป็นสถาบันที่มีการรวมตัวกันระหว่างข้าราชการชั้นกลางและชั้นสูง ที่กำลังไต่เต้าไปจนบนสุดของพีระมิด ต้องการการประสานงานที่ดีมากๆ และเห็นด้วยกับภาคเอกชนหลายท่านที่ไปมา ถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่เยาวชนเห็นว่าพวกเราที่นั่งตรงนี้ ทำอะไรไม่เหมาะสมอยู่บ้างหรือไม่ อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น ยืนยัน วปอ.เป็นสถาบันที่ดีสมควรได้รับการสนับสนุนต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ช่วยนักโทษติดคุกหมด เสรีพิศุทธ์ถอนตัวงัดหลักฐานมัดแก๊งชั้น14/ปชป.มีมติร่วมรบ.

"นายกฯ อิ๊งค์" อารมณ์ดีนัดสื่อให้สัมภาษณ์เรื่องการเมือง 30 ส.ค. "ภูมิธรรม" มั่นใจเสถียรภาพรัฐบาล หลังดึง