"ศิริกัญญา" นำขุนพลก้าวไกลถลุงนโยบายเศรษฐา "ดิจิทัลวอลเล็ต" กระสอบทรายใหญ่ ทวงถามรถไฟฟ้า 20 บาท-ตั้ง ส.ส.ร. หายไปไหน ปชป.ซัดมาตรฐานต่ำกว่ายุค "แม้ว-ปู" บี้ "เศรษฐา" เคลียร์ 4 ประเด็นต่อรัฐสภา สว.โอดได้เวลาน้อยแค่คนละ 5 นาที ข้องใจไร้เรื่องความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม ทั้งที่สังคมจับจ้องกรณี "น.ช.ทักษิณ"
เมื่อวันที่ 10 กันยายน เวลา 16.00 น. ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีการประชุม สส.พรรค และกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เพื่อเตรียมความพร้อมการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา ระหว่างวันที่ 11-12 ก.ย. โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุม ซึ่งนายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มรูปแบบได้ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต้องถือว่ารัฐบาลชุดนี้มีการเตรียมตัวในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเพิ่งมีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
“รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้อธิบายแนวทางการดำเนินงาน ซึ่งในส่วนของพรรคภูมิใจไทย ต้องใช้โอกาสนี้อภิปรายนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่พรรคเคยหาเสียงไว้หลายๆ เรื่อง ซึ่งพรรคได้เตรียมผู้อภิปรายไว้ทั้งสิ้น 11 คน แม้ว่า สส.ของพรรคมีความประสงค์อภิปรายมากกว่านี้ แต่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ทำให้พรรคจัดผู้อภิปรายไว้ 11 คน เฉลี่ยคนละ 5-6 นาทีเท่านั้น" นายอนุทินระบุ
ทางด้าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงนโยบายแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งก่อนหน้าที่จะออกมาเป็นนโยบาย ได้เชิญฝ่ายนโยบายของแต่ละพรรคไปประชุมหารือกันแล้ว แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงที่พรรค พปชร.กำกับดูแล เราต้องให้ข้อมูลนายกรัฐมนตรี หรืออาจจะลุกขึ้นพูดเอง แล้วแต่สถานการณ์ในวันนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการจัดขุนพลเพื่อเตรียมตอบโต้ฝ่ายค้านหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า เนื่องจากเป็นการแถลงนโยบาย ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นอยากให้ฝ่ายรัฐบาลฟังแนวความคิดที่ฝ่ายค้านนำเสนอเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมืองและประชาชน เราต้องรับฟัง อะไรที่สามารถชี้แจงเราก็ชี้แจง อะไรที่ไม่สามารถชี้แจง ต้องกลับมาทําการบ้านเพื่อมาชี้แจงภายหลัง
น.ส.ณัฐจิรา อิ่มวิเศษ สส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจรัฐบาลจะเริ่มงานในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนทันที ด้วยนโยบายที่พรรคเพื่อไทยเตรียมที่จะประกาศออกมา คือการยกระดับราคาสินค้าเกษตรยกแผง ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง พืชเศรษฐกิจที่ปัจจุบันราคาตกต่ำมาก โดยเฉพาะยางพารา เหลือเพียงกิโลกรัมละ 17-18 บาท เกษตรกรชาวสวนยางลำบากมาก มั่นใจว่าหลังแถลงนโยบายต่อสภา รัฐบาลพร้อมเดินหน้าหาตลาดสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปทั่วโลกอย่างแน่นอน ในส่วนของเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนได้มาก
ส่วนที่มีความกังวลด้วยข้อจำกัดว่าระยะทางในการใช้เงินในโครงการดังกล่าวมีพื้นที่ไม่ไกลจากภูมิลำเนา 4 กิโลเมตรนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง สส.ทุกคนในพรรคเพื่อไทยนำข้อมูลของแต่ละพื้นที่นำเสนอต่อคณะทำงานของพรรค เพื่อนำข้อมูลไปปรับให้เข้ากับพื้นที่แต่ละพื้นที่ โดยเน้นว่าทุกคนต้องได้ประโยชน์จากโครงการของรัฐบาล และจะต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทั่วประเทศ
ศิริกัญญาแม่ทัพก้าวไกล
ขณะที่ นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) สส.พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า พรรคก้าวไกลได้วางตัว สส.ในการอภิปรายครั้งนี้ประมาณ 30 คน โดยวางไว้ 3 กรอบใหญ่คือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งการอภิปรายในวันแรก จะเน้นเรื่องการอภิปรายนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนนโยบายเชิงการเมืองจะอยู่วันที่ 12 ก.ย. ทั้งนี้ หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีอ่านคำแถลงนโยบายเสร็จสิ้น จะตามด้วยแกนนำพรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้วางตัวให้ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคด้านเศรษฐกิจ เป็นคนอภิปรายคนแรก จากนั้นคาดว่าจะตามด้วยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
“เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต จนถึงขณะนี้พบว่าคนในรัฐบาลยังไม่มีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่บอกว่าจะนำมาใช้กับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต มองดูแล้วเหมือนกับจะเป็นการทำแบบผิดฝาผิดตัว เพราะเวลาตั้งนโยบาย เราต้องตั้งโจทย์หลักให้ชัด แล้วนำเครื่องมือที่เหมาะสมมาทำ ไม่ใช่เอาสองโจทย์คือกระตุ้นเศรษฐกิจกับเทคโนโลยีบล็อกเชนมารวมกัน แล้วพยายามจะทำให้ได้ เพราะหวังว่าทำครั้งเดียวแล้วจะได้สองอย่าง แต่มันอาจไม่ได้เหมาะสมกับสภาพที่มันเป็นก็ได้" นายปกรณ์วุฒิระบุ
ส่วนนโยบายเชิงเศรษฐกิจดิจิทัล โดยภาพรวมในคำแถลงนโยบายไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่เข้าใจว่ารัฐบาลชุดนี้เข้าใจเรื่องอีโคซิสเต็มมากน้อยแค่ไหน ได้ยินมาว่ารัฐบาลมีแนวคิดจะทำกองทุนร่วมลงทุน (Matching fund) ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเสนอไว้ตั้งแต่สภาชุดที่แล้ว เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าตัว Matching fund อย่างเดียวงบประมาณอาจไม่เพียงพอ เพราะยังมีกฎระเบียบที่ไม่เอื้อให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ไม่ว่าจะให้งบประมาณไปขนาดนั้น ซึ่งเติบโตไม่ได้ถ้ากฎระเบียบที่มีอยู่ไม่เอื้อให้เติบโตได้ จึงควรมีภาพรวมรายละเอียดที่ชัดเจนมากกว่านี้ว่าจะทำเรื่องอื่นๆ อย่างไร
นอกจากเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตที่เป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนตอนนี้แล้ว เรื่องอื่นๆ สส.พรรคก้าวไกลได้เตรียมการอภิปรายไว้เช่นกัน เช่น การไม่มีการระบุถึงนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่พรรคเพื่อไทยเคยหาเสียงไว้ ส่วนนโยบายเชิงการเมือง จะมีการอภิปรายเช่นเรื่องแนวทางการปฏิรูปกองทัพ รวมทั้งที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพูดมาตลอด และสื่อสารไว้ในเว็บไซต์พรรคเพื่อไทยว่าสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ในคำแถลงนโยบายรัฐบาลกลับไม่มีการเขียนไว้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่มีความเป็นเอกภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสัญญาณไม่ดีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันว่า ทุกเรื่องที่ประชาชนสนใจ สส.พรรคก้าวไกลจะนำมาอภิปรายซักถามรัฐบาลแน่นอน ซึ่งนโยบายเขียนไว้แบบลอยมาก ไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม ไม่ได้บอกว่าจะเปลี่ยนอะไรไปสู่อะไร พูดไปเรื่อย แต่บางเรื่องเช่น รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นเรื่องที่คนจับต้องได้ แต่กลับไม่เขียนไว้ในนโยบายรัฐบาล เขียนแต่ว่าจะพัฒนาจะปรับปรุง แต่ไม่มีอะไรรูปธรรม ไม่มีทิศทาง จะไปทางซ้ายหรือไปทางขวา ไม่ใช่มาเขียนแบบวาดดาวไว้ล้านดวง แต่ไม่บอกว่าจะไปดวงไหนกันแน่
มาตรฐานต่ำกว่ายุคแม้ว-ปู
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแถลงนโยบายของรัฐบาลคือสัญญาประชาคม เข็มทิศในการทำงานตลอด 4 ปีนับจากนี้ไป โดยมีพื้นฐานมาจากนโยบายสาธารณะที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเคยนำเสนอนโยบายหาเสียง เพราะฉะนั้นการแถลงนโยบายของรัฐบาลจึงควรทำให้ประชาชนเห็นเป้าหมายและแผนปฏิบัติการเบื้องต้นที่พอจะทำให้คาดหวังได้ว่ารัฐบาลจะทำนโยบายให้สำเร็จได้แบบไหน อย่างไร แต่เมื่อพิจารณาร่างคำแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีแล้วเห็นว่ารัฐบาลเพื่อไทยชุดนี้ซึ่งมีที่มาจากพรรคไทยรักไทย มีมาตรฐานการทำนโยบายต่ำกว่าเดิม ต่ำกว่าสมัยนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างยุครัฐบาลนายทักษิณ หลายนโยบายมีความชัดเจน เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค แม้แต่ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดชัดว่าในหนึ่งปีจะมีนโยบายอะไรที่ทำบ้าง แต่นโยบายของรัฐบาลนี้จะแบ่งเป็นนโยบายระยะสั้น นโยบายระยะยาว ไม่รู้ว่าสั้นยาวกี่ปีกี่เดือนกี่วัน
นายกฯ จึงควรชี้แจงในสภาเพื่อความชัดเจนก่อนที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติดังนี้ 1.นโยบายส่วนมากยังขาดเป้าหมาย และไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนที่พอจะทำให้เห็นความสำเร็จของนโยบาย 2.ไม่มีนโยบายที่เคยประกาศหาเสียงไว้หลายเรื่อง บางเรื่องก็คลุมเครือจนไม่เห็นทิศทางที่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไร 3.นโยบายหลายเรื่องตอนหาเสียงบอกว่าจะลงมือทำทันทีที่ได้เป็นรัฐบาล แต่ไม่มีปรากฏในนโยบายว่าจะทำทันที และ 4.รายละเอียดของแผนปฏิบัติการที่พอทำให้มั่นใจได้ว่าจะนำนโยบายไปทำให้เกิดผลได้ ไม่ใช่ปล่อยให้รัฐมนตรีชี้แจงจนสับสนอลหม่าน ก่อให้เกิดความไม่มั่นใจว่าจะทำได้ นายกฯ ควรใช้โอกาสของการแถลงนโยบายนี้ชี้แจงทำความเข้าใจให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลให้ได้มากที่สุด
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า พรรคได้รับการจัดสรรเวลาอภิปรายนโยบายรัฐบาลรวม 50 นาที โดยตนจะเป็นหัวหน้าทีมของพรรคเพื่อนำการอภิปรายในภาพรวม และมี สส.ของพรรคร่วมอภิปรายนโยบายระดับพื้นที่ ทั้งนี้ ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้นจะเสนอแนะให้รัฐบาลไปดำเนินการเพื่อให้นโยบายในภาคปฏิบัติดีขึ้น เช่น แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท หากมีปัญหาจะแก้ไขอย่างไร
เมื่อถามถึงรายละเอียดการตั้งวอร์รูมพรรคที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคนั่งหัวโต๊ะเพื่อเตรียมอภิปราย นายฐากรกล่าวว่า คุณหญิงสุดารัตน์ให้นโยบายว่า แม้เป็นฝ่ายค้าน แต่ไม่ค้านทุกเรื่อง เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเร่งสนับสนุน ยกมือให้ เพื่อให้รัฐบาลเร่งทำประชามติ ตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือการแจกเงินดิจิทัล เชื่อมกับรายได้ของประชาชน สู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงนโยบายด้านสาธารณสุข ที่พรรคเตรียมเสนอแนะให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ดำเนินการบัตรประชาชนรักษาได้ทุกโรงพยาบาล โดยมีข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรม ผ่านฐานข้อมูลประวัติคนไข้กลาง ซึ่งทำได้สำเร็จและรวดเร็ว
สำหรับ สส.ของพรรค จะอภิปรายในประเด็นเชิงพื้นที่ เช่น แปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน ผ่าน ส.ป.ก.ที่ออกโฉนดได้ ขณะเดียวกันในช่วงที่นายเศรษฐาเตรียมจะเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 78 ช่วง 18-26 ก.ย. ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตนจะเสนอประเด็นต่อการนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายเพื่อไม่ให้ยูเอ็นแบนสินค้าไทยที่ผลิตโดยแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายหรือแรงงานทาส
พรรคไทยสร้างไทยได้ออกแถลงการณ์ ความว่า การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี 11-12 ก.ย. พรรคไทยสร้างไทยจะทำหน้าที่ในการอภิปรายและซักถามแนวนโยบาย รายละเอียด ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานในระยะเวลา 4 ปีของรัฐบาล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติให้ดีที่สุด อย่างตรงไปตรงมา โดยมีคณะทำงานตรวจสอบทั้งภาพรวมและตามรายกระทรวง จะไม่เป็นฝ่ายค้านที่ค้านทุกเรื่อง หรือใช้วาทกรรมที่สร้างความแตกแยกเกลียดชังในหมู่ประชาชน ถ้ารัฐบาลตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจ เราพร้อมให้ความร่วมมือและร่วมเป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนวาระเหล่านั้นให้สำเร็จ แต่ถ้ารัฐบาลทำไม่ถูกต้อง มีการทุจริต หรือทำให้ผลประโยชน์ของประชาชนต้องเสียหาย พรรคจะทำหน้าที่อย่างไม่หวั่นเกรงต่อการใช้อำนาจและหน้าที่นั้น
สว.ผิดหวังได้เวลาน้อยไป
นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวว่า ไม่รู้ว่าจะพูดได้เนื้อหามากแค่ไหน เพราะรอบนี้มี สว.ขออภิปราย 59 คน แต่ได้รับจัดสรรเวลา 5 ชั่วโมง เฉลี่ยแล้วได้พูดคนละ 5 นาทีเท่านั้น ส่วนตัวเตรียมข้อมูลไว้มาก แต่เวลาที่ได้น้อยไป พูดออกไปอาจไม่รู้เรื่อง ต้องไปคุยหน้างานจะหาวิธีแก้ปัญหาอย่างไร เนื้อหาที่เตรียมไว้จะพูดเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ยั่งยืนหรือไม่ ยังไม่รู้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน ไม่ใช่เงินหมดแล้วกลับมาทุกข์เหมือนเก่า จะเกิดผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศหรือไม่
นายสมชาย แสวงการ สว. กล่าวว่า ไม่ได้ร่วมอภิปรายนโยบายรัฐบาลในรอบนี้ เพราะเวลาที่ สว.ได้รับคนละ 5 นาที คงไม่พอ จึงไม่ได้ร่วมอภิปราย แต่อยากฝากข้อเป็นห่วงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เหตุใดไม่แยกแยะคนรวยออกมา แต่ให้หมดทุกคน การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำแค่ตามสมควรก็ทะยานได้ ไม่ต้องจ่าย 5.6 แสนล้านบาทรวดเดียว คนรวยไม่เคยเอาเงินตัวเองมาแจก แต่เอาเงินภาษีประชาชนมาแจกประชาชน ถ้ากระตุ้นสำเร็จเป็นเรื่องดี ถ้าไม่สำเร็จอาจเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ฟองสบู่แตก เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งได้นายสมชายกล่าวว่า อีกเรื่องที่อยากฝากคือ ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่ไม่มีเขียนในนโยบายรัฐบาล กรณีนายทักษิณจะเป็นตัวอย่างที่ประชาชนกำลังจับจ้องว่ารัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมได้หรือไม่ นายทักษิณได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษ เหลือโทษจำคุก 1 ปี ขณะนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่เมื่อรักษาตัวจนอาการดีขึ้น จะต้องถูกนำกลับไปรักษาตัวที่อยู่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมปกติ ที่มีขีดความสามารถในการรักษาเพียงพอ รับโทษอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จนครบ 1 ปี โดยไม่มีการขอรับการอภัยโทษเพิ่มเติมอีก จึงจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่า นายเศรษฐาวางหลักกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาค มีความเท่าเทียมกันทุกคน จะเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่การสร้างความปรองดองได้สำเร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 11 ก.ย.นี้ เครือข่ายสื่อมวลชนขับเคลื่อนสุขภาวะเพื่อสังคมไทยยั่งยืน ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของสื่อมวลชนจากหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุและสื่อออนไลน์ ได้ลงนามส่งจดหมายเปิดผนึกผ่านสื่อมวลชนถึงนายเศรษฐา และคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอความคิดเห็นให้รัฐบาลนำไปประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมนโยบายด้านสังคมและผลกระทบทางสุขภาพ 8 ประเด็น ดังนี้ ด้านการศึกษา ควรเพิ่มเติมเรื่องโอกาสทางการศึกษาของเด็กในครอบครัวยากจนที่ได้รับผลกระทบจากจากปัญหาเศรษฐกิจให้ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง, ด้านปัญหายาเสพติด ควรเพิ่มมาตรการเชิงป้องกันให้มากขึ้น ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับกัญชา มีการระบุถึงการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ แต่ไม่มีการพูดถึงการให้ความรู้ รณรงค์ ป้องกันและปราบปรามการนำกัญชาไปใช้เพื่อสันทนาการ รวมทั้งผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก เยาวชนและสังคมโดยรวม
ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับสุขภาพจิต ขณะนี้คนไทยมีปัญหาความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ เกิดปัญหาซึมเศร้าทั้งในผู้ใหญ่ เด็กและเยาวชน หลายตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง เรื่องเหล่านี้ควรจะเป็นวาระสำคัญของรัฐบาลในการให้ความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันกับประชาชน, ด้านนโยบายที่เกี่ยวกับการบริโภคยาสูบ โดยเฉพาะเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ต้องบังคับใช้กฎหมายจับกุมอย่างจริงจัง, ด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์และการหลอกลวงออนไลน์ ควรจะเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล, ด้านนโยบายผู้สูงอายุ ขอให้บรรจุเรื่องการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงเข้าไปอยู่ในแผนงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และด้านนโยบายสุขภาพ ควรบรรจุเรื่องการส่งเสริมและพัฒนาการใช้สมุนไพร การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แฉระบบเด็กฝาก ทำลายองค์กรตร. ดับฝัน‘ดาวฤกษ์’
เช็ก 41 รายชื่อแต่งตั้งนายพลสีกากี ระดับรอง ผบ.ตร.-ผบช.
ยธ.เมินแจงกมธ. ปมนักโทษเทวดา รพ.ตำรวจชั้น14
ชั้น 14 น่าพิศวง "โรม" กวักมือเรียก “ทักษิณ” ไปสภา เข้าแจง กมธ.มั่นคงฯ
แจกเฟส2เอื้อเลือกอบจ. เตือนร้องถอดถอนครม.
นายกฯ โชว์วิชั่น Forbes ยันไทยสงบ สันติ หวังแม้รัฐบาลเปลี่ยน
ฟ้อง9บิ๊กมท.ทุจริตที่เขากระโดง
เรื่องถึงศาล "ณฐพร" ฟ้องกราวรูด "บิ๊ก ขรก.มหาดไทย"
ลุ้นศาลรับคดีล้มล้าง ตุลาการถก6ประเด็น‘ทักษิณ-พท.’/ดันแก้ประชามติไม่รอ180วัน
"ทักษิณ-พท." ระทึก! 9 ตุลาการศาล รธน.ยืนยันนัดประชุมวาระพิเศษ 22 พ.ย.นี้
บูมเศรษฐกิจ 2 ชาติ ! “อนุทิน” เร่งสร้างสะพานมิตรภาพจันทบุรี-ไพลิน จับมือกัมพูชา กระตุ้นค้าขายชายแดน-ท่องเที่ยว
วันที่ 21 พย. บริเวณสะพานข้ามคลองตะเคียน ด่านผักกาด จุดก่อสร้างสะพานมิตรภาพจันทบุรี-ไพลิน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้บริหาร อาทิ นายอรรษิษฐ์ สัมพัน์รัตน์