6 รองนายกฯ จองห้องทำงานในทำเนียบฯ เรียบร้อย “เศรษฐา” ฟิตกินข้าวกับ 16 รมต.พรรค สั่งห้ามอ้างเรื่องล่าช้า-งบประมาณจนไม่มีผลงาน โวเราเทหมดหน้าตักต้องออกดอกออกผล ลั่นอย่าบอกทำไม่ได้ พร้อมกำชับทำควิกวินที่ทำได้ทันที “อนุทิน” เชื่อ “หมอชลน่าน" ดูแลสาธารณสุขได้ ส่วน “จุรินทร์” ไม่ฝากงาน แต่ให้ช่วยดูแลเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่ดีอยู่แล้วให้ดีต่อไป “สว.” ยันไม่ปล่อยผ่านแถลงนโยบายง่ายๆ แน่
เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กันยายน 2566 มีความความเคลื่อนไหวที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเจ้าหน้าที่เริ่มเข้าจัดเตรียมห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยที่ตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นห้องทำงานของนายกฯ และห้องทำงานของเลขาธิการนายกฯ ภายหลังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และ รมว.การคลัง ได้เดินทางเข้ามาดูสถานที่ทำงานเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ในช่วงเช้าเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นไปทำความสะอาดและดูความเรียบร้อยภายใน รวมทั้งขนย้ายสิ่งของที่ไม่จำเป็นออก โดยที่ยังไม่มีการนำเฟอร์นิเจอร์ใดๆ เข้ามา
ส่วนที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของรองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บรรดารองนายกฯ เริ่มทยอยส่งทีมงานมาดูห้องแล้ว โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ใช้ห้องทำงานที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นห้องเดิมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะใช้ห้องทำงานชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานเดิมของนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ใช้ห้องทำงานชั้น 2 ส่วนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ใช้ห้องเดิมของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย จะใช้ห้องเดิมที่ชั้น 3 และห้องผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ พล.อ.ประวิตรในชั้นเดียวกัน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน จะใช้ห้องทำงานชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องเดิมของนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ขณะที่นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต.ประจำสำนักนายกฯ จะใช้ห้องเดิมของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ที่ชั้น 2
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่คนสวนประจำทำเนียบฯ ได้ทำความสะอาดและปรับปรุงตัดแต่งต้นไม้ทั้งหน้าตึกบัญชาการ 1 บริเวณศาลพระภูมิและศาลตายายที่ทำประจำอยู่แล้ว แต่ที่หน้าตึกไทยคู่ฟ้าได้เร่งตัดแต่งต้นไม้และสนามหญ้าเป็นพิเศษ ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ วันที่ 6 ก.ย.จะใช้ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ขณะที่การประชุม ครม.ตามปกติจะใช้ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 เช่นกัน
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้เตรียมสถานที่ตึกสันติไมตรี ในการถ่ายภาพทำบัตรประจำตัวของรัฐมนตรี ก่อนที่ ครม.จะเดินทางด้วยรถตู้ออกจากทำเนียบฯ ในเวลา 11.30 น. เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณตน ณ พระที่นั่งอัมพรสถานในเวลา 14.00 น. ซึ่งในวันดังกล่าวจะมีการถ่ายภาพหมู่ ครม.ชุดใหม่ด้วย
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางเข้าทำเนียบฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ว่า เพื่อดูสถานที่ ดูห้องทำงาน ห้องประชุม ครม. รวมถึงห้องทำงานของรองนายกฯ ส่วนการปรับปรุงสถานที่ห้องปฏิบัติงาน 1 หรือรังนกกระจอก 1 ที่อยู่ติดกับตึกนารีสโมสร ซึ่งเป็นห้องทำงานหลังแรกของสื่อมวลชนประจำทำเนียบฯ นั้น ยืนยันว่าจะไม่รื้อแต่ต้องปรับปรุงเพื่อทำให้ดีขึ้น
ปรับรังนกกระจอกให้ดีขึ้น
เมื่อถามว่า จะมีการจัดระเบียบสื่อมวลชนใหม่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่เคยใช้คำว่าจัดระเบียบ แต่ใช้คำว่าไปดูความเป็นอยู่ของพี่น้องสื่อมวลชน และยืนยันว่าหากเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องดีขึ้น ไม่ใช่ไปจัดระเบียบใคร ไม่ทราบว่าใครเป็นคนใช้ แต่ไม่มีแน่นอน ขอให้พี่น้องสื่อมวลชนสบายใจได้ เพราะการจะเข้าถึงประชาชนได้ส่วนหนึ่งต้องอาศัยสื่อมวลชน ทั้งนี้อยากให้นายกฯ รัฐมนตรี และภาคส่วนต่างๆ มีพื้นที่ในการลงมาพูดคุยกับสื่อมวลชนได้
ถามอีกว่า ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจะเดินสายพบใครอีกหรือไม่ เพื่อขอคำแนะนำประกอบนโยบาย นายเศรษฐากล่าวว่า การเขียนนโยบายเสร็จแล้วอยู่ในขั้นตอนส่งพิมพ์ ซึ่งหลังจากนี้จะพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้ก็พูดคุยหารือกับทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถามถึงกรณีโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนขี้โมโห หลังมีคลิปขว้างปากการะหว่างหารือกับกลุ่มจักรยานยนต์รับจ้าง นายเศรษฐากล่าวว่า ต้องขอโทษ สำหรับภาพที่ออกไป อาจบ่งบอกถึงความไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ไม่พอใจ เนื่องจากจักรยานยนต์รับจ้างมีหลายประเด็นที่เสนอแนะ เกรงว่าจะจดรายละเอียดไม่ทัน เพราะมีคำถามหลายประเด็นที่จะต้องตอบคำถาม เมื่อหมึกปากกาหมดก็ขอใหม่ ซึ่งไม่ได้ขว้างแค่วางลง
“เข้าใจว่าเป็นบุคคลสาธารณะ การทำอะไรต่อไปนี้จะต้องมีความระมัดระวัง เพราะภาพที่ออกไปไม่ได้เป็นการสะท้อนความรู้สึกของเรา แต่คนที่ดูอยู่อาจจะเข้าใจผิดได้ ก็กราบขอโทษและจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น และต่อไปนี้ต้องเตรียมปากกาไว้หลายๆ ด้าม” นายเศรษฐากล่าว
นายเศรษฐายังกล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทว่า ยืนยันว่าเงิน 10,000 บาทจะจ่ายในงวดเดียว ไม่มีการแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ
ต่อมานายเศรษฐาได้นัดรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.) รวมทั้งสิ้น 16 คน โดยนายเศรษฐาระบุว่า เป็นครั้งแรกที่พบกันอย่างเป็นทางการ ซึ่งน่ายินดีว่าพรุ่งนี้ (5 ก.ย.) เรามีถวายสัตย์ฯ ทุกคนก็ทราบขั้นตอนแล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจากนี้จะระวังคำพูดโดยเฉพาะการเป็นรัฐบาลของประชาชนที่มีพรรคร่วม 11 พรรค เพื่อเป็นการให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเราเป็นรัฐบาลของประชาชน
“ช่วงที่เรามีการเลือกนายกฯ และแต่งตั้งรัฐมนตรี นายภูมิธรรมพูดหลายหนเราใช้ต้นทุนที่สูง แต่ผมอยากเปลี่ยนเป็นคำว่าเราเทหมดหน้าตัก การทำงานครั้งนี้เรามีผู้มีเกียรติที่นั่งอยู่ที่นี่ ที่ได้รับเกียรติของพี่น้องประชาชนเลือกเข้ามา ดูแลบ้านเมือง การเทหมดหน้าตักเป็นเรื่องที่เราต้องทุ่มเททำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เชื่อว่าทุกท่านตระหนักดีทั้งเรื่องการทำงาน ระยะเวลา และขีดจำกัดของงบประมาณก็เป็นเรื่องสำคัญ”
‘เสี่ยนิด’ สั่งห้ามบอกทำไม่ได้
นายเศรษฐากล่าวต่อว่า ไม่อยากให้ขีดจำกัดงบประมาณ หรือเข้ามาบริหารช้าไปนิดหนึ่งจำกัดไม่ให้เราทำงาน เราเชื่อว่าเรามีควิกวินหลายอย่างที่เราทำได้ เพื่อดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนได้ อะไรที่เป็นควิกวินเพื่อให้พี่น้องประชาชนเห็นว่าเราทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ ก็อยากให้เขียนออกมาให้ได้ก่อน
“เวลาเราไปพูดคุยกับพี่น้องประชาชนอย่าไปบอกว่าทำไม่ได้ เราถูกเลือกเข้ามาเพื่อให้ทำให้ได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นรัฐบาลของประชาชนเราต้องลดช่องว่างระหว่างฝ่ายบริหารและพี่น้องประชาชนให้ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ และเราอยากให้พี่น้องประชาชนเข้าถึงผู้บริหารได้ อยากให้เป็นมิติใหม่ของการทำงานให้รัฐบาลนี้ ถ้าได้มีโอกาสคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลกันจะเน้นย้ำเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง” นายเศรษฐากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมนูอาหารกลางวันครั้งนี้มีทั้งเมนู ต้มข่าไก่ ไข่เจียวปู สลัดแซลมอน และผัดผักรวม รวมทั้งมนูของหวานอย่างลอดช่องวัดเจษฯ ด้วย
ในช่วงเย็น นายเศรษฐาพร้อมด้วย น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายพิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่างยุทธศาสตร์พรรค พท.ได้เข้าหารือในเรื่องนโยบายการกีฬาและยกระดับกีฬาไทย
โดยนายพิมลกล่าวว่า วันนี้วงการกีฬาโชคดีที่มีนายกฯ เป็นคนกีฬา มีใจให้กับกีฬา ขอฝากให้นายกฯ ดูแลกีฬาของเราให้พัฒนาไปข้างหน้า เพราะเราหยุดนิ่งหรือถอยหลังมาพักหนึ่งแล้ว นายกฯ คือแสงสว่างที่ปลายถ้ำสำหรับวงการกีฬาของเรา ทั้งนี้นายพิมลได้มอบดอกไม้ และเสื้อทีมชาติเทควันโดให้แก่นายเศรษฐาอีกด้วย
ด้านนายเศรษฐากล่าวว่า กีฬาไทยเป็นสิ่งที่เราพยายามแยกแยะออกจากการเมืองและเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจมี แต่หากกีฬาไทยดีจะนำรอยยิ้มมาให้พี่น้องคนไทยทุกคน ทั้งนี้คณะทำงานของเรามีทางออกและทางแก้ปัญหาแล้ว น.ส.สุดาวรรณเป็นผู้หญิงตัวเล็กแต่ใจใหญ่ โดยวันนี้เราได้ร่วมรับฟังความคิดเห็นและข้อมูลจากทุกฝ่าย ซึ่งเมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา รวมถึงประชุม ครม.นัดแรกแล้ว เราจะได้ดำเนินการผลักดันนโยบายที่ดีๆ และสามารถทำได้ทันที
เมื่อถามว่า โครงการที่เคยแถลงไปเกี่ยวกับกีฬาจะทำได้จริงใน 100 วันหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า พรรคมีหลายนโยบายที่ทำได้ใน 100 วัน แต่ไม่แน่ใจว่าทำได้ทั้งหมดหรือไม่ แต่หลังจากประชุม ครม.นัดแรกจะเริ่มดำเนินการทันที ทั้งเรื่องดูเงินค้างจ่ายในกองทุนกีฬา ส่งเสริมกีฬารากหญ้า และตอนนี้จะเริ่มแข่งเอเชียนเกมส์แล้วก็ต้องดูแล โดยขณะนี้กำลังเขียนแผนจัดการให้ดีที่สุด ส่วนเรื่อง 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจนั้นก็ทำได้เลย เพราะมีคนดูแลอยู่
เชื่อ ‘ชลน่าน’ ดูแลสาธารณสุขได้
วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน และนายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ได้จัดพิธีอำลาตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเข้าถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์และพระอนุสาวรีย์ โดยมีผู้บริหารกระทรวงทุกระดับเข้าร่วมจำนวนมาก และมีการนำเพลงมาร์ชกระทรวงสาธารณสุขมาเผยแพร่เป็นวันแรก รวมถึงเปิดเพลงช่วงเวลาที่สุด ประกอบวิดีโอการทำงานของรัฐมนตรีทั้ง 2 คน ซึ่งนายอนุทินร้องเพลงคลอไปด้วยตลอดทั้งเพลง
นายอนุทินกล่าวว่า ยอมรับว่าวันนี้พอมาถึงก็ใจหาย พวกเราทำงานด้วยกันมาเป็นเวลา 4 ปีเศษๆ นับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ดีที่สุดที่ได้ทำงานร่วมกับทุกคน ไม่ใช่เพราะกระทรวงสาธารณสุขเป็นกระทรวงเกรด A แต่บุคลากรต่างหากที่เป็นเกรด A++
“จากนี้แม้ผมจากกระทรวงนี้ไปแล้ว เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ใหม่ที่กระทรวงมหาดไทย แต่ก็เป็นกระทรวงที่มีพื้นฐานเดียวกัน เพราะมีสโลแกนว่าบำบัดทุกข์บำรุงสุข จึงหวังว่าเราจะใช้ความผูกพัน ความสัมพันธ์ที่เรามีกันอยู่มาบูรณาการการทำงานร่วมกัน” นายอนุทินกล่าวและว่า มั่นใจว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข คนใหม่ซึ่งที่จริงก็ทำงานร่วมกันมานานกว่า 20 ปีก็คงสามารถร่วมงานกันได้เป็นอย่างดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายอนุทินและนายสาธิตได้กล่าวอำลากับบรรดาบุคลากรกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ก็ได้เดินทางออกจากห้องประชุมชั้น 2 โดยตลอดทางมีผู้บริหารข้าราชการต่างๆ ได้นำพวงมาลัยและดอกกุหลาบแดง มามอบให้
ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการฝากงานรัฐมนตรีใหม่ว่า ไม่มีอะไรฝาก เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่เป็นผู้กำหนดนโยบายและทิศทางในการทำงาน ซึ่งมั่นใจว่าท่านทราบดีอยู่แล้ว ว่าต้องทำอะไรบ้างในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองและประชาชน งานไม่ได้มีอะไรยากเป็นพิเศษ มั่นใจในศักยภาพของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีข้าราชการเจ้าหน้าที่ทุกระดับมีศักยภาพอยู่แล้ว พร้อมสนองนโยบายรัฐบาล เพียงแต่นโยบายอะไรที่เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ก็มั่นใจว่าข้าราชการพร้อมที่จะสนอง
“ยุคนี้ถือว่าเป็นยุคที่ราคาพืชผลการเกษตรดีที่สุดยุคหนึ่งตั้งแต่มีประเทศไทยมา กล้าพูดทุกตัว จะเห็นว่าราคาดีมาก ส่วนนโยบายจะทำอย่างไรต่อไปเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่เหมือนที่ผมย้ำ เราไปกะเกณฑ์ไม่ได้เพราะเราไม่ได้เป็นรัฐบาล ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะคงสภาพนี้ต่อไปได้อย่างไร และจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ไม่ประสงค์เห็นรัฐบาลทำให้แย่ลงด้วยความจริงใจ เพราะทั้งหมดคือผลประโยชน์กับประชาชน”
นายจุรินทร์ยังกล่าวถึงการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า ในวันที่ 5 ก.ย.พรรคจะหารือกันว่าได้รับการจัดสรรเวลาเท่าไหร่ แต่หากเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายเต็มที่ ก็จะเกิดประโยชน์ทั้งในส่วนของผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบนโยบาย ที่จะได้สะท้อนความรู้สึกของประชาชนให้รัฐบาลได้รับทราบ สำหรับรัฐบาลก็จะใช้ประโยชน์ในการรับฟังนำไปปรับปรุงแก้ไข และอย่างน้อยที่สุดก็ได้อธิบายความตั้งใจของรัฐบาลว่าตั้งใจจะทำอะไรบ้าง เพราะถือเป็นสัญญาประชาคม เป็นข้อผูกมัดสำคัญของรัฐบาลในการบอกว่า รัฐบาลสัญญาว่าจะทำอะไรให้กับประเทศและประชาชนต่อไป และจะต้องรักษาคำมั่นสัญญานั้นไว้
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า องค์ประกอบของ ครม.ใหม่ถือว่าเป็นรัฐบาลที่ฮั้วอำนาจและฮั้วผลประโยชน์กันอย่างลงตัว สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของพรรค กลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรค และกลุ่มอิทธิพลภายในพรรคได้ทั่วหน้า หากรัฐบาลสามารถประนอมอำนาจและผลประโยชน์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลกันได้ ไม่มีเรื่องกระทบกระเทือนกันอย่างรุนแรง ก็เชื่อว่ารัฐบาลจะเดินหน้าทำงานได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ต้องยอมรับความจริงว่าในทางการเมือง การจัดตั้งรัฐบาลผสมจากพรรคการเมืองหลายพรรคอาจมีเรื่องกระทบกันบ้าง ก็เป็นภาระหน้าที่ของคนเป็นนายกฯ ที่ต้องบริหารจัดการ
สว.ไม่ปล่อยผ่านง่ายๆ
นายองอาจกล่าวว่า เพื่อให้รัฐบาลทำงานให้เกิดผลสำเร็จตามที่ตั้งใจ จึงขอฝากหลักการพื้นฐานที่สำคัญดังนี้ 1.ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก มากกว่าประโยชน์ของตนเอง พรรคพวก ญาติพี่น้อง 2.เร่งแก้ปัญหาของประชาชนอย่างทันท่วงที ทั้งปัญหาเฉพาะหน้า และปัญหาระยะยาว 3.บริหารอย่างโปร่งใส เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง และ 4.ยึดถือความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ตั้งอย่างจริงจัง เชื่อว่าถ้ารัฐบาลดำเนินการตามพื้นฐานที่สำคัญนี้ จะช่วยทำให้รัฐบาลสามารถทำงานได้ยาว และเกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างแน่นอน
ขณะที่นายวันชัย สอนศิริ สว. กล่าวถึงการแถลงนโยบายรัฐบาลว่า ภาพรวม สว.ยังไม่ได้ตกลงในรายละเอียดว่าจะแถลงอย่างไร แต่วันที่ 6 ก.ย.จะมีประชุมวิปวุฒิสภา คงมีการหารือและตกลงในหลักการและมอบหมายให้ผู้แทนของวิปวุฒิสภาหารือเรื่องเวลากับวิป 3 ฝ่ายที่จะประชุม 7 ก.ย. จากนั้นแนวปฏิบัติที่ทำมาในครั้งก่อน คือเมื่อได้นโยบายมาแล้วจะมาแยกแยะแจกแจงเพื่อให้ สว.แจ้งความประสงค์ว่าใครจะพูดเรื่องอะไร ในประเด็นอะไร ระยะเวลาเท่าไร ซึ่งเชื่อว่าการอภิปรายครั้งนี้ เท่าที่แลกเปลี่ยนพูดคุยกันในแต่ละกรรมาธิการ (กมธ.) โดยเฉพาะนโยบายใหม่ๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาท ต้องซักถามกันมาก รวมถึงนโยบายปรองดองการทหาร และทุกนโยบาย เชื่อว่า สว.ซึ่งเป็นการทำหน้าที่เป็นวาระสุดท้ายในสภา จะมีความกระตือรือร้นในการอภิปราย โดยเฉพาะ สว.ต่างจังหวัดที่เขาได้รับการร้องเรียนปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาพืชผลการเกษตร เขาอยากดูว่าในระยะเวลาที่รัฐบาลมาบริหารช่วงแรก 3-6 เดือน จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและความหวังให้แก่ประชาชนตามหาเสียงได้หรือไม่
“ผมเชื่อว่า สว.คงไม่ปล่อยให้รัฐบาลแถลงนโยบาย แล้วกลับไปเฉยๆ ต้องหาคำมั่นหาคำยืนยันให้ชัดเจน ว่าสิ่งที่พูดไว้แต่ละเรื่องนโยบายทำได้จริงหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าไฟ ค่าครองชีพ และนโยบายพักหนี้ต่างๆ เมื่อไหร่ทำได้ ไม่ใช่เหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ หรือรัฐบาลอื่นๆ ที่แถลงนโยบายเสร็จเรียบร้อย ทำได้หรือไม่ก็ไม่รับผิดชอบ คณะรัฐบาลของนายเศรษฐาต้องถูก สว.จี้ และขอคำมั่นอย่างชัดเจนในแต่ละนโยบายต่างๆ” นายวันชัยกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บิ๊กอ้วนตอกยํ้า แจก‘เงินดิจิทัล’ ‘อนุสรณ์’เตือน
“ภูมิธรรม” ยันรัฐบาลเร่งแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ
อิ๊งค์หาเสียงฟุ้งพท.มาคนจนรวยแน่
"หัวหน้าอิ๊งค์” ลุยนครพนม ช่วย “อนุชิต” ผู้สมัครนายก อบจ.เพื่อไทยหาเสียง
รพ.ตำรวจอึมครึม เวชระเบียนชั้น14
เส้นตายพุธนี้! แพทยสภาสอบหมอช่วย "ทักษิณ" อึมครึม "แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ" ปัดตอบส่งเอกสารหรือยัง
‘จ่าเอ็ม’เครียด อุบ‘ผู้มีบุญคุณ’ ตร.หิ้วฝากขัง!
ตำรวจเค้นสอบ “จ่าเอ็ม” ตลอดคืน ยังให้การไม่เป็นประโยชน์คดียิงอดีต
จับตา!เคาะ‘กาสิโน’ คลังชงเข้าครม.ไฟเขียว/นักวิชาการชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน
จับตา “คลัง” เล็งชงเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เข้า ครม.จันทร์นี้หรือไม่ หลัง
‘จุรินทร์’ เผย8ปัจจัย การเมืองปี68เดือด!
"จุรินทร์" เปิด 8 ปัจจัยการเมืองปี 2568 จับตามีคดีความที่มีผู้ร้องไปยื่นร้องนายกฯ และผู้เกี่ยวข้องไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเรื่องที่ค้างอยู่อย่างน้อย