“สภาพัฒน์” เผยภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/66 การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น 1.7% จับตาสินเชื่อรถยนต์หนี้เสียพุ่ง 30% ยันขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT เป็น 10% แค่ไอเดีย ย้ำต้องคุยหลายหน่วยงาน แจงทีมเศรษฐกิจยกทัพถก “นายกฯ เศรษฐา” รับการบ้านกระตุ้น ศก. ระบุนโยบายเงินดิจิทัล-พักหนี้ต้องหารือรอบด้าน “คลัง” แจงข้อเสนอขึ้น VAT แก้เงินออมคนชรา ชี้มี พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังกำกับ ยันฐานะการคลังยังแกร่ง
เมื่อวันจันทร์ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/66 พบว่าสถานการณ์ด้านแรงงานปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวในสาขานอกภาคเกษตรกรรม ขณะที่ภาคเกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ส่วนชั่วโมงการทำงาน ค่าจ้างแรงงาน และอัตราการว่างงานยังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการจ้างงาน ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.7% จากการขยายตัวของการจ้างงานสาขานอกภาคเกษตรกรรมที่ 2.5% โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคารยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องที่ 11.7% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และการเข้ามาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่นเดียวกับสาขาก่อสร้างที่มีการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น 6.0% และสาขาการผลิต การค้าส่งและค้าปลีก และการขนส่งและเก็บสินค้า เพิ่มขึ้นเช่นกันที่ 0.3%, 0.5% และ 1.1% ตามลำดับ ขณะที่ภาคเกษตรกรรมการจ้างงานหดตัวลงเล็กน้อยจากปี 65 ที่ 0.2% ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภัยแล้ง
สำหรับสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1/66 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.6% ขณะที่คุณภาพสินเชื่อภาพรวมของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ความเสี่ยงในการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มสูงถึง 30.3% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาส 1/66 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.6% ชะลอตัวเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน หากพิจารณาการก่อหนี้ครัวเรือนรายวัตถุประสงค์ พบว่าครัวเรือนมีการก่อหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์และอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น
นายดนุชากล่าวถึงข้อเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวต จาก 7% เป็น 10% เพื่อนำ 3% ที่เพิ่มมาใช้ดูแลสวัสดิการคนวัยเกษียณที่ไม่มีเงินออมนั้น ขอชี้แจงว่าการขึ้นแวตเป็น 10% เป็นแค่แนวคิด เป็นการพูดคุยกันในคณะกรรมการปฏิรูปด้านสังคม โดยต้องทำรายละเอียดค่อนข้างมาก เรื่องดังกล่าวเกิดจากการที่ สศช.ได้จัดงานสัมมนาเกี่ยวกับสังคมสูงวัย จึงได้หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดคุยและเป็นแนวคิดหนึ่งที่มาลองพิจารณากัน ยืนยันว่า สศช.ยังไม่ได้เสนอเรื่องขึ้นภาษีแวตกับใคร ต้องศึกษารายละเอียดกันค่อนข้างมากในเรื่องระบบ วิธีการจัดการ ข้อกฎหมายต่างๆ
นายดนุชากล่าวถึงกรณีเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ว่าเป็นเรื่องต้องหารือและดูรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ต้องดูวิธีปฏิบัติว่าเป็นอย่างไรด้วย ดูรายละเอียดงบประมาณ ภาระการคลัง ต้องหารือกันหลายหน่วยงาน ยังให้ความเห็นเวลานี้ไม่ได้ โดยเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ได้เข้าหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ หลังจากที่ได้รับโปรดเกล้าฯ เรียบร้อย ซึ่งนายกฯ ก็จะต้องเรียกหน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลเชิงลึก รวมทั้งหารือถึงแนวนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องการจะดำเนินการว่ามีรูปแบบอย่างไร ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการ
ส่วนข้อเสนอที่นายเศรษฐาระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2566 ชะลอตัว และจำเป็นต้องมีมาตรการดิจิทัลวอลเลตนั้น สศช.เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือการส่งออกที่ -5.7% เป็นการหดตัวต่อเนื่อง 3 ไตรมาส จึงต้องเร่งทำตลาดส่งออกมากขึ้น และ การอุปโภคบริโภคภาครัฐ ที่ -4.3% เนื่องจากเม็ดเงินหายไปเพราะไม่มีสถานการณ์โควิดแล้ว ส่วนมาตรการพักชำระหนี้ให้เกษตรกรและเอสเอ็มอีนั้น ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ดูแล เน้นการปรับโครงสร้างหนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ต้องการให้ลูกหนี้เกิดพฤติกรรมจงใจเบี้ยวหนี (มอรัล ฮาร์ดซาร์ด) คนที่ยังชำระหนีได้ก็จะช่วยให้มีกำลังในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งต้องหารือกับหลายหน่วยงาน และพิจารณาให้ถี่ถ้วน มาตรการที่ออกมาต้องดูผลกระทบ ผลเชิงบวกต่างๆ ว่าจะมีข้อสรุปออกมาเป็นอย่างไรบ้าง
ด้านนายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ขยายตัวที่ 2.2% และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย เนื่องจากแรงกดดันจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานได้คลี่คลายลง ประกอบกับในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าประมาณการ 7.6% และสูงกว่าช่วงเดียวกับปีก่อน 5.2% ดังนั้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ 7% จะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ฐานะการคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่มั่นคงและเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายต่างๆ รวมถึงการจัดสรรสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีกองทุนผู้สูงอายุที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และสนับสนุนผู้สูงอายุ รวมถึงมีการเก็บเงินบำรุงกองทุนผู้สูงอายุจากภาษีสรรพสามิตสินค้าสุราและยาสูบในอัตรา 2% โดยปีงบประมาณละไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา เพื่อนำเงินกองทุนผู้สูงอายุไปจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม
สำหรับข้อเสนอให้ปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพื่อนำมาใช้เป็นเงินออมในวัยเกษียณให้แก่ประชาชน เนื่องจากภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อำนาจการซื้อของประชาชนลดลง
"จำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน ตลอดจนพิจารณาในช่วงเวลาที่เหมาะสมตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 กำหนดว่า การกันเงินรายได้ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนําไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น หรือเพื่อการหนึ่งการใดเป็นการเฉพาะจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหารือถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการต่อไป" นายวุฒิพงศ์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย
ตอกฝาโลงกิตติรัตน์ ‘กฤษฎีกา’ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุมีส่วนกำหนดนโยบาย
"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ
‘เท้งเต้ง’ไม่ทน! ชงแก้ข้อบังคับ รมต.ตอบกระทู้
ทนไม่ไหว! “หัวหน้าเท้ง” หารือประธานสภาฯ ขอให้แก้ข้อบังคับการประชุม
แม้วพบอันวาร์กลางทะเล เตือนเสือกทุกเรื่องทำพัง!
ปชน.จี้ถามรัฐบาล “ทักษิณ” มีอำนาจจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่
ให้กำลังใจจนท.ดูแลปีใหม่ เข้มงวด‘ความปลอดภัย’
นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจ-กรมทางหลวง ทำงานหนักช่วงปีใหม่
กฤษฎีกาเอกฉันท์โต้งหมดสิทธิ์
กฤษฎีกามติเอกฉันท์ "กิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ หมดสิทธิ์นั่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ"