‘เสี่ยนิด’ให้ลืมวาทกรรมไม่มีลุง

“เพื่อไทย” นำทีมแถลงจัดตั้งรัฐบาล 11 พรรคการเมือง 314 เสียง พร้อมเคาะจำนวนโควตารัฐมนตรี ย้ำชงชื่อ “เศรษฐา” ไม่มีเปลี่ยนแปลง ชี้เป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง “ชลน่าน” พร้อมไขก๊อกหลังตั้งรัฐบาลสำเร็จ “ทั่นเต้น” ขอยุติบทบาท ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย “เสี่ยนิด” บอกให้ลืมวาทกรรมมีเราไม่มีลุง เพราะคณิตศาสตร์การเมืองบอกชัด “ก้าวไกล” เลิกเผาผี พท. ประกาศลงมติไม่เห็นชอบ อ้างเป็นรัฐบาลข้ามขั้ว ส่วน “ปชป.” งดออกเสียง แต่ “ชวน-บัญญัติ-จุรินทร์” ขอโหวตค้าน “ชูวิทย์” ทิ้่งบอมบ์ลูกสุดท้าย เชื่ออยู่ได้แค่ 3 เดือน

เมื่อวันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ที่รัฐสภา พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลนำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค พท., นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท., นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.), นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลัง ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และเลขาธิการพรรค พปชร., นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.),  พรรคประชาชาติ (ปช.), พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.), พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.), พรรคเพื่อไทรวมพลัง (พทล.), พรรคเสรีรวมไทย (สร.), พรรคพลังสังคมใหม่ (พ.ส.ม.) และพรรคท้องที่ไทย (ท.) ร่วมแถลงข่าว

โดย นพ.ชลน่านได้อ่านแถลงการณ์ว่า พรรค พท.และพรรคการเมืองรวม 11 พรรค จำนวน 314 เสียง ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เข้าร่วมรัฐบาล และได้มีมติร่วมกันเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ จากพรรค พท.ต่อรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบเป็นนายกฯ ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยพรรค พท.ได้รวบรวมพรรคต่างๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลประกอบด้วย พรรค พท. 141 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง รัฐมนตรีช่วยและ รมต.ประจำสำนักนายกฯ รวม 9 ตำแหน่ง, พรรค ภท. 71 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง, พรรค พปชร. 40 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง, พรรค รทสช. 36 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง, พรรค ชทพ. 10 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง, พรรค ปช. 9 ที่นั่ง มีรัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง และพรรคอื่นๆ อีก 5 พรรค ได้แก่ พรรค ชพก. 2 ที่นั่ง, พรรค พทล. 2 ที่นั่ง, พรรค สร. 1 ที่นั่ง, พรรค ท. 1 ที่นั่ง และพรรค พ.ส.ม. 1 ที่นั่ง

นพ.ชลน่านแถลงต่อว่า ทุกพรรคบรรลุข้อตกลงร่วมกันจะนำนโยบายของพรรค พท.ที่หาเสียงไว้เป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ เช่น digital wallet, ที่ดินทำกิน, ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, เกณฑ์ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และยังคงไว้ในส่วนของหมวดที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้พรรคร่วมจะนำนโยบายเข้ามาบูรณาการร่วม พร้อมปรับ เสริม หรือประสานนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลให้เป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด และนำมาจัดทำเป็นนโยบายร่วมกันเพื่อแถลงต่อรัฐสภาต่อไป

 “การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ อยู่บนฐานความรับผิดชอบต่อประชาชนในสถานการณ์ที่ปัญหาทุกด้านส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องรุนแรง แม้พรรคเพื่อไทยจะเผชิญกับวาทกรรมหรือคำกล่าวหาที่รุนแรงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรารับรู้ความขัดแย้งดังกล่าวด้วยใจที่เป็นธรรม และตั้งใจมุ่งสู่เป้าหมายที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง ดังนั้นเป้าหมายหลักในวาระนี้คือ การเข้ามาร่วมรับผิดชอบในวาระประเทศและวาระของประชาชน”

ลั่นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง

นพ.ชลน่านยังแถลงอีกว่า พรรคมั่นใจว่าภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย ถึงแม้จะมีอดีตพรรคการเมืองในรัฐบาลที่แล้วร่วมรัฐบาล แต่ทุกพรรคจะร่วมกันทำงานกับพรรค พท.อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ดังเช่นที่ทุกพรรคการเมืองได้เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลจะใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความรักสามัคคีปรองดองของคนในชาติ และจะร่วมกันสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ประเทศชาติและประชาชนต่อไป

 “จากแถลงการณ์และเจตจำนงดังกล่าวข้างต้น เราจึงขอรับการสนับสนุนจาก สว.และ สส.ทุกท่าน และทุกพรรคการเมืองมาร่วมกันผลักดันวาระประเทศ เพื่อดำรงความมุ่งหมายที่จะมุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคงของประเทศ และดูแลสถาบันหลักของชาติเป็นสำคัญ ร่วมกันลดเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การขยายความขัดแย้งในประเทศ ร่วมกันพาประเทศไปสู่ความมั่งคั่งและการกินดีอยู่ดีของประชาชน และมีความเป็นประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ขึ้น”

ผู้สื่อข่าวถามว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแก้ไขทั้งฉบับหรือแก้บางมาตรา นพ.ชลน่านกล่าวว่า แก้ไขเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งเป็นแนวทางที่เราได้แถลงไป ซึ่งมีความชัดเจนในแถลงการณ์ไว้ว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2

เมื่อถามถึงท่าที สว.ที่จะโหวตนายกฯ ให้นายเศรษฐามั่นใจเพียงใด นพ.ชลน่านกล่าวว่า คณะทำงานดำเนินการเรื่องนี้ แต่อยู่ในขั้นที่เรามั่นใจ พึงพอใจในจำนวนที่เราจะได้รับ วันพรุ่งนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน และไม่มีแผนเปลี่ยนตัว  เรามั่นใจว่าผ่าน

นพ.ชลน่านให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงกรณีเคยประกาศว่าจะลาออกจากหัวหน้าพรรค หากพรรค พท.จับมือกับพรรค 2 ลุงว่า ตั้งใจที่จะประกาศความรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่ลาออก ยินดีลาออกแน่นอน แต่เนื่องจากภารกิจของหัวหน้าพรรคเป็นส่วนหนึ่งของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งต้องจัดตั้งรัฐบาลให้สำเร็จ ดังนั้นในวันที่มีการเสนอชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือรัฐบาล พท.เสร็จสิ้นจะประกาศอย่างเป็นทางการทันที

เมื่อถามย้ำว่า จะลาออกจากหัวหน้าพรรคหรือตำแหน่ง สส.ด้วย นพ.ชลน่านกล่าวว่า ประกาศอะไรไว้จะรับผิดชอบในสิ่งที่เคยประกาศไว้

ต่อมาที่พรรค พท.มีการประชุมพรรค โดยหลัง นพ.ชลน่านยืนยันในที่ประชุม ว่าจะเสนอชื่อนายเศรษฐาต่อที่ประชุมรัฐสภาให้โหวตเป็นนายกฯ นายเศรษฐาได้กล่าวกับ สส.ว่า สิ่งที่พูดไประหว่างการเลือกตั้ง ชัดเจนว่าคำพูดเป็นนายบนบรรทัดฐานของแลนด์สไลด์ ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์ไปวานนี้ว่า หลายเรื่องเราต้องกลืนเลือด เพื่อพาพรรคได้เดินไปข้างหน้าช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่เป็นการโกหกประชาชน แต่เราต้องยอมรับความจริง เราจำเป็นต้องลืมวาทกรรมสองลุง มีเราไม่มีลุง คณิตศาสตร์การเมืองพื้นฐานบอกชัดว่าเราต้องมีอะไรบ้าง

 “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับมอบหมายจากสมาชิกให้ชิงนายกฯ ผมจะพยายามเต็มที่สุดความสามารถ เพื่อนำรัฐบาลเพื่อแก้ไขทุกปัญหาด้วยความตั้งใจจริง ไม่ลืมความเหน็ดเหนื่อย ไม่ลืมเพื่อนเราหลายคนที่ต้องจำใจออกจากพรรค ด้วยอุดมการณ์แรงกล้า ด้วยความปรารถนา ไม่มีทรยศต่อมิตรภาพที่ดี และไม่ขว้างหินใส่บ้านที่เคยอยู่ เชื่อว่าทุกคนเข้าใจในความจำเป็นที่พรรคเพื่อไทยต้องเดินมาทางนี้”

ภายหลังนายเศรษฐากล่าวจบ น.ส.แพทองธารและบรรดา สส.ได้ลุกขึ้นยืนปรบมือให้ ขณะที่นายเศรษฐาได้ไหว้ขอบคุณ สส.ทุกคนที่พร้อมสนับสนุนในการโหวตวันพรุ่งนี้

ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการกรรมกรข่าว คุยนอกจอว่า ถึงเวลาที่ต้องบอกกับผู้คนว่าต้องยุติบทบาท ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยแล้ว ขายข้าวแกง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอีก โดยได้บอกกับผู้ใหญ่ในพรรคตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. เมื่อสถานการณ์อาจมีแนวโน้มว่ามีการจับมือกับพรรค 2 ลุง เป็นเหตุผลสำคัญ ไม่ได้โกรธเคือง หรือไม่มีอะไรขัดข้องหมองใจกัน และไม่มีทางที่ออกมาแล้วจะเขวี้ยงก้อนหินใส่หลังคาบ้าน

น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย ก็โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้ทำหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ และให้มีผลในวันที่ 21 ส.ค. 66

ภท.ยื่นขอทำงานกระทรวงเดิม

ด้านนายอนุทินกล่าวถึงโควตารัฐมนตรีของพรรคว่า ขณะนี้ยัง ต้องรอโปรดเกล้าฯ ก่อน เอาทีละขั้น พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าได้กระทรวงเดิมที่เคยดูแลหรือไม่

นายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการแบ่งโควตากระทรวงว่า อยู่ในขั้นตอนการหารือ ซึ่งมีการพูดคุยกับพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยความเข้าใจ โดยได้มีการพูดคุยพร้อมยื่นข้อเสนอเรื่องการทำงานต่อกระทรวงเดิมไป แต่สุดท้ายต้องหารือกัน คงต้องใช้เวลา ทุกอย่างต้องเชื่อใจกัน เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหา เพราะถ้ามีปัญหาจะไม่มีแถลงการณ์ในวันนี้

นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง โฆษกพรรค ภท. แถลงภายหลังการประชุมว่า พรรคมีมติว่า ส.ส. 71 คนของพรรคจะโหวตสนับสนุนนายเศรษฐา ส่วนตำแหน่ง 8 รัฐมนตรีของพรรคนั้น จะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคที่จะพูดคุยและมีการหารือต่อไป

ส่วนนายพีระพันธุ์กล่าวประเด็นนี้ ยังไม่มีการคุยในรายละเอียด ซึ่งทุกคนยังไม่ทราบ รู้แต่เพียงสัดส่วน ซึ่งกระทรวงไหนก็ทำงานได้ และไม่เป็นอุปสรรคในการโหวต พรรคไม่มีเงื่อนไขเรื่องนี้

 “พรรคร่วมรัฐบาลผมมั่นใจ ตามที่ได้พูดคุยกัน อย่างน้อยก็ได้ 314 เสียง มันไม่มีใครได้ 100% เพราะต้องมีเสียง สว.ด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ สว. เพราะเราไม่สามารถไปสั่งการหรือดำเนินการอะไรได้ ต้องแล้วแต่ท่านจะพิจารณา" นายพีระพันธุ์กล่าวถึงการโหวตนายกฯ

เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายพีระพันธุ์จะไปนั่งตำแหน่ง รมว.กลาโหม นายพีระพันธุ์ถึงกับอุทานว่า อุ้ย ก่อนกล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ และเมื่อถามว่าได้โควตากระทรวงพลังงานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ปฏิเสธไม่ตอบคำถาม

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี และโฆษกพรรค รทสช. แถลงภายหลังการประชุมพรรคว่า พรรคจัดตั้งรัฐบาลจะไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่แก้ไขทั้งฉบับ จะสนับสนุนให้แก้ไขเรื่องที่เกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตย และการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ที่สำคัญจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 พรรค รทสช.ยืนยันกับประชาชนทุกคนว่าในการจัดตั้งรัฐบาลเรามีจุดยืนชัดเจน

“สิ่งที่สำคัญในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นการปรองดอง สมานฉันท์ ซึ่งที่ผ่านมาเกือบ 20 ปี มีความขัดแย้งทางการเมือง แบ่งเป็นสองสีเสื้อ วันนี้ถือว่าได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ในการเชิญชวนคนไทยทั้งประเทศสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยเดินหน้าประเทศไทยไปด้วยกัน” นายอัครเดชกล่าว

นายอัครเดชยังกล่าวถึงโควตารัฐมนตรีว่า การเจรจาการกำกับดูแลกระทรวงไหนนั้นวันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุย และใครจะได้นั่งก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยเช่นกัน เป็นหน้าที่ กก.บห. แต่ในฐานะพรรคการเมืองและ สส.ของพรรคก็อยากให้หัวหน้าพรรคเข้าไปร่วมเป็น ครม. ถือเป็นสิ่งที่สมาชิกพรรคทุกคนต้องการ

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค ชพก. กล่าวถึงโควตารัฐมนตรีว่า ยังไม่เคยคุยโควตาอะไรทั้งสิ้น และไม่ได้คาดหวังอะไร แค่ขอให้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรัฐบาลทำงานให้มีเสถียรภาพทางการเมือง ส่วนจะได้ทำงานอะไรให้พรรค พท.ในฐานะแกนนำพิจารณา

ขณะเดียวกัน ชพก.มีการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2556 โดยมีวาระสำคัญคือการเลือกตั้ง กก.บห.พรรคชุดใหม่ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ กลับมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว ด้วยคะแนน 274 เสียง

ส่วนนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค ก.ก. แถลงหลังประชุม สส.ว่าที่ประชุมมีมติจะออกเสียงไม่เห็นชอบต่อแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคร่วมรัฐบาลผสมข้ามขั้ว เพื่อแสดงจุดยืนตามเหตุผลต่อไปนี้ 1.เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลผสมข้ามขั้วที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ ได้รวมเอาพรรคสืบทอดอำนาจรัฐประหาร เท่ากับขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ที่แสดงออกอย่างชัดเจนไปแล้วผ่านการเลือกตั้ง 2.การโหวตไม่เห็นชอบ ไม่ได้พิจารณาบนพื้นฐานของคุณสมบัติของตัวแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย แต่ตัดสินใจบนจุดยืนทางการเมืองและคำมั่นสัญญา มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา และ 3.การจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว ไม่ใช่การลดเงื่อนไขความขัดแย้ง หรือเดินหน้าประเทศไทยต่อ โดยมีวาระของประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่นี่เป็นการสยบยอมและต่อลมหายใจให้กับระบบการเมืองที่ไม่ยอมให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน          

น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ สส.ตรัง ในฐานะรองประธาน สส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แถลงผลการประชุม สส.ว่า ที่ประชุมได้มีมติงดออกเสียงโหวตให้นายเศรษฐาเพราะไม่ได้ถูกเชิญร่วมรัฐบาล

ชูวิทย์ตอกฝาโลงครั้งสุดท้าย

รายงานข่าวแจ้งว่า มี สส.ของพรรค ปชป.ที่จะลงมติไม่เห็นชอบด้วย ประกอบด้วย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา               วันเดียวกัน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้แถลงแฉเพื่อชาติครั้งสุดท้าย ep.3 ตอกฝาโลงพฤติกรรม นิติกรรมอำพรางของว่าที่นายกตัวสูงๆ นอมินีของใคร? โดยแถลงพร้อมชูเอกสารในมือว่า เป็นโฉนดที่ดินจำนวน 10,000 ล้านบาท จำนวน 13 ไร่ ใจกลางสุขุมวิท ซึ่งโฉนดแปลงที่เป็นต้นเหตุคือแปลงที่มีชื่อของ นายเศรษฐา โดยที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นบ้านดั้งเดิมของนายเศรษฐา แต่ถูกแบงก์ยึดแบงก์นำมาขายตนเอง ก่อนซื้อไว้เมื่อปี 2542 โดยทั้งหมดมี 9 โฉนด นายเศรษฐาพยายามซื้อคืนแต่ไม่ได้ขาย

ต่อมานายชูวิทย์กล่าวถึงการโอนที่ดิน ซึ่งเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 11 มี.ค. 2559 โดยมีบริษัทนอมินีซามัว โดยมีผู้ถือหุ้นหลักคือ บริษัท C. อยู่ที่ฮ่องกงถือหุ้น 48.57% และมีนาย ช.ถือหุ้น 51.43% ซึ่งมีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ที่จังหวัดมุกดาหาร จากนั้นทีมงานนายชูวิทย์เป่านกหวีดทำการแสดงเปิดตัว รปภ. ก่อนพูดว่าเป็น รปภ. หรือเป็นประธานบริษัทไหนๆ  ขอเปิดเสื้อแจ็กเก็ตดูหน่อย ว่าสรุปแล้วเป็นประธานบริษัทจริงไหม ก่อนเผยให้เห็นข้อความที่เสื้อสกรีนว่านอมินี และพูดอีกว่าเห็นมั้ยเป็น รปภ.อีกแล้ว ครั้งก่อน รปภ.ก็เป็นนอมินี

จากนั้นนายชูวิทย์อธิบายการทำนิติกรรมในวันศุกร์ที่ 11 มี.ค. 2559 ของบริษัท C. ว่ามีการไปปลดจำนองที่ดินในราคา 1,000 ล้านบาท และซื้อหุ้นจากบริษัท ศ. อีก 175 ล้านบาทเท่ากับทุนจดทะเบียน จึงรวมเป็น 1,175 ล้านบาท ซึ่งในวันที่ 11 มี.ค.ยังคงสถานะเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่ ต่อมาวันจันทร์ที่ 14 มี.ค. 2559 ปรากฏว่าบริษัท C. หรือนอมินีซามัว ได้เปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยบริษัท C. กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% และมีนาย พ.ถือ 1 หุ้น ส่งผลให้ในขณะนี้บริษัทอยู่ในสถานะเป็นบริษัทนอมินีต่างด้าว โดยมีนาย พ.เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามทุกอย่าง เหมือนกับนาย ส. (รปภ.เคสก่อนหน้า) นอกจากนี้ยังพบว่า บริษัทนอมินีต่างด้าวในช่วงบ่ายของวันที่ 14 มี.ค. 59 ได้ขายที่ 2 ไร่ ราคาตารางวาละ 565, 000 บาท รวมราคาที่ดิน 499.6 ล้านบาท ให้บริษัทลูกของแสนสิริ แต่บริษัทลูกของแสนสิริลงบันทึกในงบการเงินว่าต้นทุนค่าที่ดินอยู่ที่ 1,850 ล้านบาท ซึ่งตรวจสอบโดย บ. EY office Limited ผู้สอบบัญชีระดับโลก เมื่อนำเงินต้นทุนที่ระบุ 1,850 ล้านบาท ลบกับเงินปลดจำนอง 1,000 ล้านบาท คงเหลือ 850 ล้านบาท จากนั้นลบค่าทุนจดทะเบียนอีก 175 ล้านบาท คงเหลืออีก 675 ล้านบาท คำถามว่าเงินดังกล่าวหายไปไหน เงินทอนตรงนี้ถูกโอนไปที่ฮ่องกง ที่บริษัท C. ซึ่งตั้งอยู่ที่ชั้นที่ 16 ถนนเฮนเนสซี ฮ่องกง

 นายชูวิทย์ยังได้นำแผ่นชาร์ตระบุว่า Connection Tree ก่อนเปิดตัวละครต่างๆ ทั้ง นาย พ., นาย อ., บริษัท N. และ บริษัท อ. ก่อนระบุว่าได้ส่งเอกสารถึง สส.และ สว.ทั้ง 750 คน เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของนายเศรษฐา และมั่นใจว่าถ้านายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ จะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ครม.เปลี่ยนใหม่หมด เพราะเรื่องราวที่พูดเกี่ยวพันกับนายเศรษฐา และจะอ้างว่า ไม่รู้จักนาย พ.ไม่ได้ เพราะเป็นนอมินีที่ใกล้ชิดกับขงเบ้ง บุคคลสำคัญอยู่เบื้องหลังนายเศรษฐา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง