ศาล รธน.ตีตกคำร้องปมโหวตนายกฯ ซ้ำ ชี้ผู้ร้องเรียนไม่เสียหายโดยตรง พร้อมขยายเวลา 30 วันให้ก้าวไกลชี้แจงนโยบายยกเลิก ม.112 ล้มล้างการปกครอง ขณะที่ “พิธา” ปล่อยผ่านยันไม่ใช้สิทธิยื่นเรื่อง ลั่นปัญหาต้องแก้ที่สภา ขณะที่ “กกต.” ก้นร้อน ร่อนแถลงปัดกลั่นแกล้งทางการเมืองหุ้นไอทีวี ด้าน “ศักดิ์สยาม” หายใจโล่งอีกยก คดีหุ้นบุรีเจริญยังไม่ชี้ขาด มั่นใจไม่กระทบโควตา รมต.
เมื่อวันพุธ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้นัดประชุมในเวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณาว่าจะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้วินิจฉัยหรือไม่ หลังขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 กรณีรัฐสภามีมติไม่เห็นชอบกับการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง เป็นญัตติทั่วไป ห้ามนำเสนอญัตติซ้ำอีก ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ 41 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 หรือไม่
โดยข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องแก้ไขเพิ่มเติมคำร้อง และเอกสารประกอบ สรุปได้ว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากรองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ผู้ร้องเรียนที่หนึ่ง และผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญส่ง ชเลธร ผู้ร้องเรียนที่สอง ซึ่งเป็นบุคคลผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและแบบแบ่งเขตเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล และนางปัญญารัตน์ นันทภูษิตานนท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล และคณะ ซึ่งเป็นประชาชนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งและเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลจำนวน 17 คน (ผู้ร้องที่สาม) กับผู้ร้องเรียนเพิ่มเติมอีก 13 คน ซึ่งเป็นประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง
ผู้ร้องเรียนทุกคนกล่าวอ้างว่าการที่รัฐสภามีมติดังกล่าวละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้ร้องเรียนทุกคนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 วรรค สอง มาตรา 5 วรรคหนึ่ง มาตรา 25 วรรคสาม และมาตรา 27 และขอให้กำหนดมาตรการหรือวิธีชั่วคราวก่อนวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยให้มีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ต่อมาเวลา 12.43 น. ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้ารัฐธรรมนูญมาตรา 213 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2516 มาตรา 46 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ให้ศาลรัฐธรรมนูญคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจากการกระทำละเมิดโดยใช้อำนาจรัฐ แต่บุคคลที่จะมีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง สำหรับกระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีมาตรา 272 วรรคหนึ่งประกอบแล้ว ถ้ารัฐธรรมนูญ 159 วรรคหนึ่ง ให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบเฉพาะจากบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอและเป็นผู้ที่มีชื่อในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 เท่านั้น
ดังนั้น ผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากรัฐสภา ต้องเป็นผู้ที่พรรคการเมืองเสนอตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง อันเป็นสิทธิเฉพาะบุคคลที่รัฐธรรมนูญ 2560 ก่อตั้งขึ้นเป็นหลักการใหม่ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นอกเหนือจากสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในหมวดที่ 3 เมื่อผู้ร้องเรียนทุกคนไม่ใช่บุคคลที่พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อไว้ว่าจะเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
ทั้งไม่ได้เป็นบุคคลที่พรรคการเมืองเสนอชื่อต่อรัฐสภา ผู้ร้องเรียนทุกคนจึงไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 กรณีไม่ต้องอาศัยด้วยหลักเกณฑ์ วิธีและเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคหนึ่ง ประกอบมีช่องทางในการยื่นคำร้องที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะแล้ว ดังนั้นผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213 ได้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องแล้ว คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป
พิธายันไม่ยื่น รธน.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ..... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของผู้ถูกร้องทั้ง 2 ลงวันที่ 15 ส.ค.66 ขอขยายระยะเวลายื่นคำแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่สองออกไปอีก 30 วัน นับถัดจากวันครบกำหนดขยายระยะเวลาครั้งแรกแล้วมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอ
วันเดียวกัน นายพิธาระบุว่า คิดว่าเป็นปัญหาของสภา ดังนั้นก็ควรแก้กันอยู่ที่สภา อย่างที่นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล ได้ยื่นญัตติหารือต่อที่ประชุมไปแล้ว ซึ่งตนไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอะไรกับการสิ้นสุดหรือการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ถ้าประธานสภาฯ บอกว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป ก็คงสามารถที่จะไปต่อได้ และคิดว่าปัญหาที่สภาก็ควรแก้ที่สภา
เมื่อถามว่า จะยื่นศาลเองหรือไม่ เพราะมติที่ตีตกเป็นเพราะผู้ที่มาร้องไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรง นายพิธาระบุว่า ไม่ได้ยื่น อย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องของนิติบัญญัติ ก็อยู่ที่นิติบัญญัติ
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ขยายเวลาการชี้แจงคำร้องเรื่องการหาเสียงแก้ไข ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่ จะเป็นผลดีกับพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธาระบุว่า ไม่ได้เป็นการล้มล้างอย่างที่ถูกกล่าวหา
อย่างไรก็ตาม วันเดียวกันนี้ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุมกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ ไว้พิจารณา และมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญยังคงอยู่ในกระบวนการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องดังกล่าว สส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 54 คน ได้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
ที่รัฐสภา นายศักดิ์สยามระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าจะนำไปอภิปรายเพื่อที่จะมีการวินิจฉัย ซึ่งหลักฐานคงครบแล้ว ต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้เรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกระทบกับการแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีหลังจากนี้หรือไม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวกันหรอก เป็นคนละเรื่อง” เมื่อถามกรณีกังวลว่าจะกระทบหากเข้ามาทำหน้าที่ในรัฐบาลใหม่ นายศักดิ์สยามกล่าวว่า “น้อมรับคำวินิจฉัย ไม่กังวลเรื่องนี้”
ปัดกลั่นแกล้งหุ้นไอทีวี
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารชี้แจงกรณีที่นายพิธา โพสต์ข้อความ ระบุใจความว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต. มีมติยกคำร้องในคดีอาญา มาตรา 151 เป็นที่น่าสงสัยว่าจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ โดย กกต.ชี้แจงว่าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเห็นว่ามีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าสมาชิกภาพความเป็น สส.ของนายพิธาอาจมีเหตุสิ้นสุดลง จึงเสนอความเห็นต่อ กกต.ให้มีมติยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันต่อไป
กกต.ขอชี้แจงว่า คณะกรรมการฯ ตามที่ได้รับแต่งตั้งจาก กกต. จำนวน 2 คณะ เป็นผู้ที่มีหน้าที่และอำนาจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นตรงภายใต้การบังคับบัญชาซึ่งกันและกัน ดังนั้น คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯ จะมีความเห็นเป็นเช่นใด ถือได้ว่าเป็นดุลยพินิจอันเป็นความเห็นเบื้องต้น เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสืบสวนและไต่สวนเท่านั้น โดยจะมีกระบวนการและขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนอีกหลายขั้นตอน กระบวนการดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หลังจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการที่บัญญัติไว้ตามกฎหมายแล้ว จะนำเสนอความเห็นต่อ กกต.พิจารณาในลำดับสุดท้าย
การพิจารณาเสนอความเห็นว่า นายพิธากระทำความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.หรือไม่ กกต.จะต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาใช้ประกอบการตัดสินใจที่จะดำเนินคดีอาญากับนายพิธาหรือไม่ ประการใด อันเป็นหลักประกันว่าบุคคลจะได้รับโทษในทางอาญา เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย มาต่อสู้และหักล้างข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็น
ศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า นายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นประการใด ย่อมส่งผลโดยตรงต่อสมาชิกภาพการเป็น สส.ของนายพิธา เฉพาะตน โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร
ดังนั้น กระบวนการในการดำเนินคดีอาญาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ต่อนายพิธา จึงยังไม่เสร็จสิ้นหรือมีผลเป็นที่สุดเด็ดขาด กกต.จึงไม่ได้กลั่นแกล้งหรือจงใจที่จะทำให้นายพิธาต้องได้รับโทษตามกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น การนำข้อมูลมาเสนอต่อสาธารณชนอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่ากระบวนการตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. เป็นกระบวนการเดียวกันกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 82 ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อิ๊งค์รับนายกฯ2คน! ไม่เกี่ยง‘ทักษิณ’ตัวจริง ปชน.โวซักฟอกน็อกรบ.
“นายกฯ อิ๊งค์” ยันไม่มีแผนปรับ ครม. คุย “พีระพันธุ์” ปกติ เมินกระแสเหน็บนายกฯ
ค่าไฟ3.7บาทเป้ารัฐบาล หวยพิเศษหาเงินหมื่นล.
"นายกฯ อิ๊งค์" ชี้ลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทเป็นเป้าหมายรัฐบาลอยู่แล้ว
ไฟเขียวงบ69วงเงิน3.78ล้านล.
ครม.เคาะกรอบงบประมาณปี 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท
‘สว.พันธุ์ใหม่’หนุนแก้รธน.ฉบับส้ม
"อนุทิน" ย้ำจุดยืนตลอดกาลแก้ รธน.ไม่แตะหมวด 1-2 ท่าที สส.ภูมิใจไทยไม่เกี่ยว สว. "ไอติม" พร้อมพูดคุยทุกฝ่ายทำความเข้าใจร่างฉบับ
10วันปีใหม่เมาขับ7พันคดี ขับรถเร็วตายบนถนนพุ่ง
ปิดศูนย์ 10 วันอันตรายปีใหม่ สังเวย 436 ศพ เจ็บ 2,376 ราย
‘อ้วน’สั่งทบทวน หนทางดับไฟใต้ พูดคุยให้ถูกคน
ยังไร้แววเมียนมาปล่อย 4 คนไทย "ภูมิธรรม" ย้ำต้องรอจบกระบวนการ