ชี้เคาะนายกฯทำแตกแยก ม็อบอโศกรุมจวก‘สภาสูง’

นิด้าโพลชี้คนส่วนใหญ่มองการเลือกนายกฯ จะทำให้สังคมแตกแยก  แต่เชื่อรัฐบาลใหม่จะอยู่ยาวครบ 4 ปี   “สวนดุสิตโพล” ตอกย้ำ 71% มองการเลือกผู้นำจะสร้างความขัดแย้ง เพราะต่างมุ่งแต่ผลประโยชน์ “บก.ลายจุด” ลุยฝนปลุกม็อบซัด สว. อัดเป็นลูกเผด็จการ   คสช.ที่สถาปนาอำนาจเหนือประชาชน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค. ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง เลือกนายกรัฐมนตรี สังคมแตกแยก? ซึ่งสอบถามประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ   จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนว่าจะเกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย จากการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ พบว่า 37.10% ระบุว่าเชื่อมาก, 26.64% ค่อนข้างเชื่อ,  20.15% ไม่เชื่อเลย, 16.03% ไม่ค่อยเชื่อ และ 0.08%ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ 

เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับระยะเวลาที่รัฐบาลใหม่จะอยู่ได้ พบว่า 60.53% อยู่กันจนครบเทอม 4 ปี,   15.34% ประมาณ 2 ปี, 11.91% ประมาณ 1 ปี, 6.95% ไม่เกิน 6 เดือน,  3.28% ประมาณ 3 ปี และ 1.99% ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ขณะที่สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เผยสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศทางออนไลน์ เรื่อง ความขัดแย้งกรณีการเลือกนายกรัฐมนตรี จำนวน 1,809 คน โดยเมื่อถามประชาชนคิดอย่างไรกับกรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการเลือกนายกฯ พบว่า 71.73% ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคม,   67.90% ทำให้เบื่อการเมือง การเมืองล้าหลัง ไม่พัฒนา และ 62.23% กระทบต่อภาคเศรษฐกิจ ปากท้อง ความเป็นอยู่ของประชาชน                   

เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งนี้คืออะไร พบว่า 74.21% การมุ่งแต่อำนาจจนเกินขอบเขต แย่งชิงผลประโยชน์, 63.76% การปฏิบัติหน้าที่ของ สว. และ 62.42% การไม่ยอมรับเสียงของประชาชน ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้  ทั้งนี้ เมื่อถามถึงแนวทางการยุติความขัดแย้งกรณีการเลือกนายกฯ  พบว่า 77.39% เคารพเสียงจากการเลือกตั้ง, 57.97% แสวงหาแนวทางร่วมกันอย่างสันติ ร่วมมือและไว้วางใจกัน และ 47.10% ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก            

สำหรับข้อถามเรื่องบทเรียนจากความขัดแย้งกรณีการเลือกนายกฯ ครั้งนี้คืออะไรบ้าง พบว่า 64.13% ทุกคนมีความเห็นทางการเมืองที่ต่างกันได้ แต่ควรเคารพซึ่งกันและกัน, 59.17% ความแตกต่างระหว่างวัยส่งผลต่อความคิดทัศนคติทางการเมือง และ 55.16% ประชาธิปไตยไทยยังคงมีปัญหา แก้ไขได้ยาก สุดท้ายเมื่อถามว่าประชาชนคิดว่ากรณีการเลือกนายกรัฐมนตรีจะทำให้การเมืองไทยเป็นอย่างไร พบว่า 40.63% แย่ลง, 33.72% เหมือนเดิม และ 25.65% ดีขึ้น                   

วันเดียวกัน ที่แยกอโศกมนตรี ฝั่งห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด อดีตแกนนำม็อบเสื้อแดง ได้นัดมวลชนชุมนุมทำกิจกรรม “#พร้อม” เวลา 17.00 น. เรียกร้องมวลชนแสดงจุดยืนไม่เอา สว.ที่มาจากการแต่งตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยก่อนถึงเวลานัดหมาย  นายสมบัติได้ลงพื้นที่ตั้งแต่เวลา 15.30 น.เพื่อเตรียมสถานที่เวที เครื่องเสียง ไฟส่องสว่างในการปราศรัย มีมวลชนเริ่มเข้ามาในพื้นที่ประปราย พ่อค้าแม่ขายได้เข้าจับจองพื้นที่เพื่อจำหน่ายสินค้า โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.ทองหล่อ คอยอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจร

นายสมบัติกล่าวถึงการนัดมวลชนทำกิจกรรม #พร้อม ครั้งที่ 1 ว่า เมื่อประชาชนตัดสินมาแล้วกลายเป็นโมฆะ  ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย แถมยังถูกพวก สว.สั่งสอนอีกว่าเลือกคนประเภทนี้มาได้ไง เลือกพรรคแบบนี้มาทำไม ซึ่ง สว.ได้สถาปนาอำนาจใหม่เหนืออำนาจของประชาชน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พิสดารและเป็นเรื่องที่อุบาทว์ ไม่ควรเกิดขึ้น จึงขอเชิญชวนประชาชนที่พร้อมเชื่อว่าประเทศนี้มันต้องปกครองโดยประชาชน อำนาจประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด สามารถตัดสินว่าจะเอาอย่างไรให้ออกมาแสดงตัว  สว.ชุดนี้เป็นลูกติดของ คสช. พ่อแม่ตายไปแล้ว แต่ลูกยังมีชีวิตอยู่ในระบบการเมือง และมีอุปนิสัยพฤติกรรมเฉกเช่นเดียวกันกับ คสช.เป็น คือขัดขวางประชาธิปไตย ตอนนี้เรากำลังสู้กับรุ่นลูกของ คสช.อยู่ จะปล่อยให้เขาสถาปนาอำนาจใหม่มากดขี่ข่มเหงประชาชนไม่ได้  จึงชวนประชาชนมายืนพร้อม ถ้าวันนี้สัญญาณที่ส่งไปแล้วประชาชนตอบรับก็มีโอกาสยกกำลัง

“หวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยจะอยู่บนหลักการและสัญญาประชาคมที่เคยให้ไว้ จะต้องไม่ขัดต่อสิ่งนั้น หากพรรคเพื่อไทยตัดสินใจไปจากสัญญาที่เคยให้ไว้ พรรคเพื่อไทยจะต้องแบกรับความรับผิดชอบทางการเมืองซึ่งจะเกิดขึ้น โดยขอให้กำลังใจพรรคเพื่อไทยพยายามแสวงหาความร่วมมือให้มีความประนีประนอมกันได้ในระดับหนึ่ง รวมถึง 8 พรรคการเมืองอื่นด้วย พรรคก้าวไกลก็ขอให้มีความยืดหยุ่นให้ได้ระดับหนึ่งโดยที่ไม่เสียหลักการ” นายสมบัติกล่าว

ต่อมาในเวลา 16.30 น. ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างหนัก มวลชนต้องหาที่หลบฝนกันวุ่นวาย และทำให้กิจกรรมต้องล่าช้าออกไป ขณะที่การจราจรก็เริ่มติดขัดอย่างหนัก และในเวลา 17.30 น. นายสมบัติได้สวมเสื้อกันฝนขึ้นปราศรัย ตอนหนึ่งย้ำว่า สว.ที่ไม่ยกมือให้นายพิธาเกิดจาก คสช.ทำคลอด พฤติกรรมของ สว.ชุดนี้จึงไม่แตกต่างจากผู้เป็นบิดา เพราะ คสช.คือคณะที่ทำการยึดอำนาจจากประชาชน ทำกระบวนการเปลี่ยนถ่ายอยู่กันมา 9 ปี ต้นไม้พิษเมื่อออกผลก็จะเป็นผลไม้พิษ  สว.คือผลไม้พิษ

นายสมบัติปราศรัยต่อว่า สว.ได้ทำการโหวตครั้งที่ 1 ในการโหวตนายกฯ ปี 2562 โดย สว.ได้อธิบายว่าที่ต้องโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่น เพราะสภาได้เสนอชื่อบุคคลจากเสียงส่วนใหญ่ในสภา และ พล.อ.ประยุทธ์ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องโหวตทั้งหมด และเขาได้อธิบายว่าต่อให้เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าถูกเสนอมาจากสภาเขาก็จะโหวตเช่นกัน แต่ทางกลับกัน เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาได้เสนอชื่อบุคคลที่ถูกสรรหามาจากพรรคก้าวไกลขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ แต่ในทางกลับกันตรรกะที่ สว.มีไว้เมื่อปี 2562 กลับแปรเปลี่ยนเป็นบอกว่า คนที่ถูกเสนอชื่อจากสภานั้น ไม่มีคุณสมบัติและมีการโหวตไม่เห็นชอบ

“พฤติกรรมบังอาจกำเริบสืบสาน สว.ไม่ได้มีความยึดโยงจากประชาชน แถมยังมีหน้ามาขัดขวางประชาชน แถมยังสถาปนาอำนาจใหม่ ประเทศไทยไม่มีอำนาจไหนเหนือกว่าอำนาจประชาชน ซึ่งมีการเขียนในรัฐธรรมนูญว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ดังนั้น สว.ไม่สามารถสถาปนาอำนาจใหม่ที่เหนือกว่าอำนาจประชาชนได้” นายสมบัติกล่าว

นายสมบัติกล่าวต่ออีกว่า ชั่วโมงนี้คนไทยกำลังสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในสมาชิกวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรวุ่นวายไปหมดแล้ว รวมทั้งองค์กรอิสระอย่าง กกต.และศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งเหล่านี้เกิดจากความผิดปกติ ความผิดปกตินี้ถ้าดำเนินการไปตามแนวทางที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน นี้ มันจะบิดเบี้ยวและซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ  และจะไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงหนทางเดียวที่รูปแบบการปกครองจะกลับเข้าสู่ความเป็นปกติ นั่นก็คือการคืนอำนาจรับฟังเคารพต่อการตัดสินใจของประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่แกนนำอย่างนายสมบัติ บุญงามอนงค์, นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา และนายธัชพงศ์ แกดำ แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ขึ้นปราศรัย ได้มีฝนกระหน่ำลงมาเป็นระยะๆ แต่มวลชนได้สวมเสื้อกันฝน กางร่มกันฝน จากนั้นได้มีการทำกิจกรรมที่เป็นไฮไลต์ของงานงานคือแปรอักษร เป็นตัวอักษรไทย ค. เพื่อส่งถึง สว.และเจ้าหน้าที่ กกต. ที่อ้างว่าขัดขวางหลักประชาธิปไตยที่ทำให้นายพิธาชวดเก้าอี้นายกฯ คนที่ 30 ซึ่งนายสมบัติระบุว่าการแปรอักษร ค. เป็นการส่งความคิดไปให้ สว. ก่อนที่นายสมบัติได้ประกาศหยุดกิจกรรมเวลา 19.15 น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ธปท.จับตาแจกเงินเฟส2-3

“คลัง” ฟุ้งเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.โตต่อเนื่อง อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด