ธปท.ชี้มีรบ.ช้า กระทบเชื่อมั่น ส่งออกยิ่งทรุด

“แบงก์ชาติ” หวั่นตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าบีบเชื่อมั่นต่างชาติสะดุด ยันไม่กระทบเศรษฐกิจ ชี้ยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ห่วงเร่งเครื่องกู้ทำนโยบายกระตุ้นบริโภคอาจไม่คุ้ม ลุยขึ้นดอกเบี้ยต่อ แม้เงินเฟ้อลดเร็วแต่แค่ชั่วคราว เอกชนหวังได้นายกฯ เร็ว ศก.ไทยเดินหน้า

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาถ้าพิจารณาจากรายงานจัดอันดับความเชื่อมั่นของต่างชาติหลายราย ก็เป็นห่วงในเรื่องของความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย รวมทั้งนโยบายที่จะออกมาหลังจากที่ได้รัฐบาลใหม่ ซึ่งภาคธุรกิจ ตลาด  นักวิเคราะห์ อยากเห็นการทำนโยบายการเงินและนโยบายการคลังกลับสู่ภาวะปกติ (Policy Normalization) ต้องให้ความสำคัญกับเสถียรภาพเศรษฐกิจ

 “ความไม่แน่นอนเรื่องรัฐบาล ใครจะมา มาเมื่อไหร่ จะไม่กระทบภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ให้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะในประมาณการ ธปท.ได้รวมสมมุติฐานไปหมดแล้ว คาดว่างบประมาณจะล่าช้าไป 1 ไตรมาส แต่ข้อเท็จจริงกระบวนการยังเป็นไปตามปกติ งบประจำยังเบิกจ่ายได้ โดยไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567 ที่หายไปจริงๆ คืองบลงทุน แต่ก็ไม่ได้มีสัดส่วนมาก คงไม่กระทบปีนี้ แต่จะไปกระทบปี 2567” นายเศรษฐพุฒิระบุ

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า มุมมองเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ยังมีศักยภาพในการขยายตัวได้ในระดับ 3-4% ซึ่งการทำนโยบายรัฐบาลควรมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการสร้างเสถียรภาพ มากกว่าการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าดูตัวเลขการบริโภคเอกชนครึ่งปีแรก ขยายตัวได้ 5% การกระตุ้นการบริโภคจึงอาจจะยังไม่จำเป็น ขณะที่การท่องเที่ยวก็เริ่มฟื้นกลับมา ควรมุ่งนโยบายในการสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องหนี้ ต้องใช้อย่างระมัดระวัง

ทั้งนี้ ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือหนี้ครัวเรือนไทย ที่อยู่ค่อนข้างสูงที่ระดับ 90% ของจีดีพี ขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% ต้นๆ ของจีดีพี ถ้าอยากให้เศรษฐกิจโต ใช้วิธีไหนก็กระตุ้นเศรษฐกิจได้ทั้งนั้น ซึ่งการกู้เงิน ถ้าเป็นครัวเรือน การกู้ก็เป็นการบริโภค เป็นรัฐบาลกู้ ก็เป็นใช้ในนโยบายรัฐ และการลงทุน แต่ถ้าเอกชนกู้มา ก็จะเป็นการกู้เพื่อการลงทุน คิดว่าอยากได้แบบไหน จริงๆ ที่เศรษฐกิจไทยขาดที่สุดคือการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งไม่ใช่ช่วยแค่กระตุ้นเศรษฐกิจเท่านั้น

นอกจากนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งหลังของปีนี้จะขยายตัวได้ 4.2% จะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 2.9% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคที่เติบโตดี และตัวหัวใจสำคัญคือภาคการท่องเที่ยว ที่ปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 29 ล้านคน ส่วนกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทย ทำให้คาดว่าการส่งออกของไทยทั้งปีนี้คือแทบจะไม่โต

ขณะที่เงินเฟ้อ ธปท.ยอมรับว่าต่ำกว่าที่คาด โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา  จากราคาอาหาร ราคาพลังงานโลกที่ปรับ แต่ก็เป็นปัจจัยชั่วคราว คาดว่าทิศทางเงินเฟ้อจะกลับขึ้นมา และขึ้นมากกว่าที่เห็น จากปัจจัย 1.ท่องเที่ยวฟื้นกลับมา จะเห็นหมวดการบริการมีโอกาสที่เงินเฟ้อจะขึ้น และ 2.การใช้กำลังการผลิตมากขึ้น โอกาสส่งผ่านต้นทุนของภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อที่ปรับลดลงกว่าที่คาด แต่มีโอกาสปรับสูงขึ้นในระยะต่อไป ส่งผลให้นโยบายการเงินจึงไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน ยังจำเป็นต้องทำนโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกติ แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องดูปัจจัยระยะยาวให้กลับสู่สภาวะปกติ หาจุดที่เหมาะสม สมดุลของดอกเบี้ย เหมาะให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ตามศักยภาพ เงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% และไม่ได้สร้างปัญหาเสถียรภาพการเงิน ไม่ใช่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อจัดการเงินเฟ้อ

ขณะที่ภาคเอกชนต่างแสดงความเห็นต้องการให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว อาทิ น.ส.จันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ภายใต้แบรนด์ “ดีโด้” กล่าวว่า หากการเลือกนายกฯ  ยังไม่เสร็จสิ้น อาจจะทำให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวได้ เนื่องจากคนขาดความเชื่อมั่น และไม่จับจ่าย แน่นอนว่าหากสถานการณ์การเมืองของไทยมีเสถียรภาพและนิ่ง จะเป็นผลดีต่อการลงทุน และเศรษฐกิจก็จะเดินหน้าตามไปด้วย

พญ.พิมพิดา วรัญญูรัตนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สยามเลเซอร์ คลินิก ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มต่างชาติจำนวนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะดีขึ้น หากได้นายกฯ คนใหม่ โดยไม่ได้มองที่ตัวบุคคลว่าเป็นใครที่ได้ตำแหน่ง เพียงแต่อาจจะไม่ใช่กลุ่มเดิม แต่เป็นขั้วใหม่ที่ได้จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากการเลือกนายกฯ ล่าช้า อาจส่งผลต่ออารมณ์และความเชื่อมั่นของประชาชนได้ 

นายสมบัติ หงส์ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคที เรสทัวรองท์ จำกัด หรือร้านซานตาเฟ่ กล่าวว่า หากพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เชื่อว่าจะกระทบกับปัญหาค่าแรง ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับราคาขึ้นสินค้า แต่จะต้องดูสถานการณ์ก่อน และบริษัทเริ่มเตรียมแผนในการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในร้านซานตาเฟ่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีการทดลองแล้วที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต 2 ตัว 

นายณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือซีอาร์จี กล่าวว่า บริษัทให้ความสนใจเรื่องของโควิดและการท่องเที่ยวมากกว่าเรื่องของการเมือง เนื่องจากมองว่าการเมืองไม่กระทบกับผู้บริโภคในกลุ่มธุรกิจอาหาร ซึ่งหากมีการชุมนุมเกิดขึ้นก็ไม่กระทบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง