สั่งนับใหม่47หน่วย กกต.ชี้ส่อพลิกเสียงพรรค พิธาหยันไร้ข้อมูลฟัน151

"กกต." สั่งนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ 47 หน่วย ทั้งแบ่งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์ หลังพบผลคะแนนไม่ตรงจำนวนบัตรและผู้มาใช้สิทธิ ด้อมส้มขนทัวร์ป่วน! เพจ กกต.ต้องปิดห้ามคอมเมนต์ "อิทธิพร" แจงคดี "พิธา" ถือหุ้นสื่ออยู่ในชั้นพิจารณารับคำร้องหรือไม่ ยังไม่ถึงขั้นตั้ง  คกก.ไต่สวน ลั่นยึด กม. ทำตามหน้าที่ "หน.ก้าวไกล" มั่นใจชี้แจงได้หมด ถก "8 พรรคพันธมิตร" ชื่นมื่น ไฟเขียวตั้ง 2 คณะทำงานประมง-งบประมาณ "อุ๊งอิ๊ง" แวะเสิร์ฟมินต์ช็อก  "ทิม" ปลุกกำลังใจบอกสัญญาณดีจัดตั้ง รบ.เร็วขึ้น "ชลน่าน" เชื่อไร้อุบัติเหตุ  "ก.ก." โวยโดนสอบรูปค้อนเคียว "ธนกร" เย้ย "ปิยบุตร" เก่งสร้างวาทกรรม เชื่อ ปชช.ยังศรัทธาศาล วอนอย่าสร้างปัญหาให้ประเทศ

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันที่ 7 มิ.ย. มีรายงานว่าที่ประชุม กกต. ได้มีมติสั่งให้มีการนับคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อใหม่ ใน 31 หน่วยเลือกตั้ง และนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ใน 16 หน่วยเลือกตั้ง จากการลงคะแนนการเลือกตั้งทั้งหมด 95,000 หน่วย ทั้งนี้ เป็นไปตามที่สำนักงาน กกต.เสนอว่า เป็นกรณีที่พบว่ามีปัญหาบัตรออกเสียงเลือกตั้งและจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมีจำนวนตรงกัน แต่ผลคะแนนที่ออกมาไม่ตรงกับจำนวนดังกล่าว และ กกต.เห็นว่าอาจมีผลต่อจำนวนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ และมีผลต่อลำดับของผู้ได้รับเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยว่า จำนวน 47 หน่วยเลือกตั้งที่ให้มีการนับคะแนนใหม่นั้นคือหน่วยเลือกตั้งใด ในจังหวัดใดบ้าง โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างที่สำนักงานกำลังทำคำสั่งเพื่อเสนอให้ประธาน กกต.ลงนาม และแจ้งให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทราบ โดยตามแผนของสำนักงานต้องการให้มีการนับคะแนนใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 11 มิ.ย.นี้ เนื่องจากเมื่อได้ผลคะแนนแล้วจะต้องนำมาคิดคำนวณสัดส่วน ส.ส.ใหม่ เพื่อให้ทันกับแผนงานที่กกต.ตั้งใจว่าจะมีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งภายในเดือนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันที่ 7 มิ.ย. เฟซบุ๊กสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีผู้แห่เข้าไป

คอมเมนต์ใต้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่สำนักงาน กกต.ได้นำเสนออย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เพื่อเรียกร้องให้ กกต. ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งโดยเร็ว รวมถึงตำหนิกรณีที่ กกต.กำลังพิจารณาคำร้องให้ตรวจสอบการถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน)  ของนายพิธา จนทำให้สำนักงาน กกต.ต้องปิดการแสดงความคิดเห็นที่มีการโพสต์ข้อมูลผลการดำเนินกิจกรรมการอบรมให้ความรู้ภาคีเครือข่ายประชาสัมพันธ์ระดับจังหวัดดังกล่าว

ขณะที่นายอิทธิพร บุญประคอง  ประธาน กกต. ชี้แจงถึงกรณี กกต.มีการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอของสำนักงาน กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ว่ากรณีนี้เป็นเรื่องที่มีผู้ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ กกต. ตรวจสอบกรณีการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ดังนั้น กกต.จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบกรณีมีคำร้องหรือเหตุอันควรสงสัย หรือความปรากฏว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

"ยืนยันขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณารับคำร้องไว้ดำเนินการตามระเบียบหรือไม่เท่านั้น กกต.ยังไม่ได้พิจารณาว่ากรณีมีมูลตั้งคณะกรรมการไต่สวนหรือไม่แต่อย่างใด" ประธาน กกต.ระบุ

ด้านนายพิธา กล่าวถึงกรณีข่าว กกต.เตรียมเอาผิดคุณสมบัติตามมาตรา 151 เข้าข่ายรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแล้วมาลงสมัครว่า จากการอ่านข่าวดังกล่าวพบว่าข้อมูลยังไม่เพียงพอ และยังต้องมีการพิจารณากันอยู่ เพราะฉะนั้นเนื้อหาที่ออกมาคือ ทาง กกต.ยังจัดการเรื่องการตั้งรูปคดีอยู่ จึงไม่จำเป็นต้องตอบมากไปกว่านี้ ต้องรอความชัดเจนจาก กกต.

ถามว่า ที่เคยระบุมีกระบวนการไอทีวีนั้นคืออย่างไร นายพิธากล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลังในการฟื้นฟูไอทีวี ซึ่งมีหลายคนส่งข่าวมาให้ตน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมฟื้นคืนชีพในทางธุรกิจของผู้บริหาร หรือเพื่อเหตุผลทางการเมืองเพื่อสกัดกั้นตน ซึ่งความน่าจะเป็นยังมีอยู่ในอนาคต จึงทำให้ตนต้องบริหารจัดการเพื่อลดความเสี่ยง ย้ำว่าไม่มีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล

พิธามั่นใจแจงหุ้นสื่อ

ซักว่ากรณีที่เคยเป็นผู้จัดการมรดกหุ้นไอทีวีเริ่มเมื่อไหร่ และจบเมื่อไหร่ และครั้งที่เป็น ส.ส.เมื่อปี 2562 ยังถือหุ้นดังกล่าวอยู่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า  ตนเป็นผู้จัดการมรดกเมื่อศาลอนุญาตตามคำสั่งศาล และการโอนหุ้นไอทีวีออกไปนั้นได้ชี้แจงไปแล้ว วันนี้ตนเป็นผู้จัดการมรดกเพียงอย่างเดียว ไม่ได้รับโอนหุ้นแต่อย่างใด ซึ่งตนมีเอกสารยืนยันในเรื่องนี้

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เวลา 10.00 น. นายพิธาเป็นประธานการประชุมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรค พท.เป็นเจ้าภาพ โดยมีหัวหน้าพรรคการเมืองทั้ง 8 พรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค พท., นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, น.อ.​อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, นายวสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง, พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม และตัวแทนจากพรรคพลังสังคมใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเริ่มประชุม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค พท.​ เดินทางมาประชุมและได้เข้าไปทักทายแกนนำ 8 พรรคร่วม โดยบอกกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ไม่ได้มาเข้าร่วมประชุมกับ 8 พรรค แต่มาทักทายตามมารยาทในฐานะเจ้าบ้าน พร้อมนำกาแฟส้มและมินต์ช็อกมาเสิร์ฟให้ทุกคนได้ลองดื่ม

จากนั้นนายพิธาเริ่มต้นการประชุมระบุว่า การจัดตั้งรัฐบาลตอนนี้เหมือนเป็นการประชุมสัญจรไปแล้ว ตนตั้งใจที่จะให้มีการประชุมอาทิตย์เว้นอาทิตย์  เพื่อให้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ส่วนวาระที่จะต้องมีการประชุมกันวันนี้ คือการประเมินสถานการณ์การเมือง และจะมีการพูดคุยถึงไทม์ไลน์ในการจัดตั้งรัฐบาล มีการติดตามผลการทำงานของคณะกรรมการเปลี่ยนผ่านทั้ง 12 ชุด ว่าพบปัญหาหรืออุปสรรคใด ควรปรับหรือเพิ่มจุดใด เพื่อให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพสูงสุด ยุทธศาสตร์รวมเสียงเพื่อผลักดันให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็ในช่วงท้ายก็จะเปิดโอกาสให้ทุกพรรคได้แสดงความคิดเห็นต่อการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ รวมถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน

ภายหลังการประชุมกว่า 2 ชม. นายพิธาแถลงว่า วาระการประชุมสำคัญมี 2 เรื่อง คือ 1.การประเมินสถานการณ์การเมือง ตลอดจนถึงกรอบเวลาของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ กกต.จะรีบทำงานในการรับรอง ส.ส.ให้เร็วที่สุด ให้ครบ 95% หากเป็นไปอย่างที่ประธาน กกต.เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า วันที่ 13 ก.ค. จะเป็นวันสุดท้าย ซึ่งจะมีกระบวนการต่อมา ตั้งแต่ให้ ส.ส.รายงานตัว เลือกประธานสภาฯ เลือกนายกรัฐมนตรี และถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งเราเห็นตรงกันทั้ง 8 พรรคว่าน่าจะเลื่อนเข้ามาได้เร็วมากขึ้น 2-3 สัปดาห์ และหมายความว่าหัวหน้าพรรคทุกคนจะต้องเตรียมการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมนโยบายในการแถลงต่อรัฐสภา หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนผ่านงบประมาณ ซึ่งคาดว่าจะเข้าในช่วง ส.ค.หรือ ก.ย. ถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว ก็น่าจะมีการบริหารจัดการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูและพี่น้องประชาชนได้รวดเร็วขึ้นเช่นเดียวกัน

มั่นใจตั้ง รบ.ไร้อุบัติเหตุ

เรื่องที่ 2 การอัปเดตความคืบหน้าของคณะทำงาน คณะกรรมการประสานงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล สืบเนื่องจากการประชุมเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งหัวหน้าพรรคทั้ง 8 พรรคเห็นได้ให้แนวทางในการทำงานต่อ ซึ่งการประชุมครั้งต่อไปจะประชุมในวันที่ 20 มิ.ย. ที่ที่ทำการพรรคไทยสร้างไทย และมีการขอให้ประสานไปยังคณะทำงาน เพื่อตั้งคณะทำงานเพิ่มอีก 2 คณะ ประกอบด้วย 1.คณะทำงานเกี่ยวกับการปฏิรูปประมง ซึ่งระบุไว้ในเอ็มโอยูอยู่แล้ว และเราเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน 2.คณะทำงานดูแลการเปลี่ยนผ่านของงบประมาณ ถึงแม้จะมีงบประมาณผูกพันมาจากงบประมาณของปี 66 แต่หากเราทำงานได้เร็ว งบประมาณของปี 67 ก็น่าจะสามารถใช้ได้เร็ว และนำงบประมาณไปแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน

ถามว่า ที่ประชุมจะขยับไทม์ไลน์ปัญหาประธานสภาฯ ด้วยหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ยังพูดคุยกันอยู่ ในเมื่อการประกาศรับรอง ส.ส.อาจจะเร็วขึ้น ทุกกระบวนการในการทำงาน ไม่ว่าบุคลากร นโยบาย หรืองบประมาณก็คงต้องเร่งรัดเข้ามา

ซักว่านายพิธาต้องเจอ 3 ด่าน คือ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ส.ว. กว่าจะได้เป็นนายกฯ รู้สึกอย่างไรบ้าง รวมทั้งยังมีเรื่องหุ้นไอทีวี นายพิธากล่าวว่า ไม่กังวลแต่ก็ไม่ประมาท เพราะทั้ง 3 ด่านมีการวางแผนในการทำงานมีคีย์แมนดูแลทั้ง 3 ด่านอยู่แล้ว พอมีคนทำงานและดูฉากทัศน์แต่ละอย่างทำไงให้เป็นความเสี่ยงการจัดตั้งรัฐบาลของพวกเรา เลยไม่มีความกังวล ยังสามารถเดินหน้าทำงานได้อยู่ อย่างเมื่อวานก็มีโอกาสได้คุยกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่ก็จะเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างไม่ประมาท ขอเรียนประชาชนผ่านสื่อมวลชน ไม่ต้องกังวล    สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้แน่นอน

เมื่อถามว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุกับนายพิธา แคนดิเดตจะมาจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ในเรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองก็อย่างที่บอกว่าเราก็อนุมานได้หลายรูปแบบ ในทุกรูปแบบที่มีมาอยู่ก็เป็นสิ่งที่เราคิดมาก่อนแล้ว เตรียมตัวมาก่อนในชุดสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทางฝั่งเราก็ได้คำนวณคิดไว้โอกาสเกิดอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุให้น้อยที่สุด

นพ.ชลน่านเสริมทันทีว่า พท.มุ่งมั่นในฉากทัศน์แรกว่าเราต้องจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเหมือนที่นายพิธาได้กล่าวไว้ให้มากที่สุด จากการพูดคุยของเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ฉะนั้นสถานการณ์สมมติไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ 1 หรือเรื่องที่ 2, 3 ขออนุญาตไม่สมมุติ และมั่นใจว่าจะไม่เกิดขึ้น

ซักว่า หาก กกต.ให้ใบแดงว่าที่ ส.ส.ก้าวไกล สัดส่วน ส.ส.ที่เฉือนกับเพื่อไทยแค่ 10 ที่นั่ง จะทำให้การเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลเปลี่ยนหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ถึงแม้จะเป็นจริงก็ไม่ได้กระทบการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนจะเยอะจริงหรือไม่ จากที่สอบถามกันภายในไม่ใช่ฝั่งนี้ น่าจะเป็นฝั่งตรงกันข้าม กลับกันถ้ามีการพูดคุยเรื่องนี้จริง และมีการรับรอง ส.ส.ไม่ได้จริง มีการเลือกตั้งใหม่ ทางฝั่งเราก็พร้อมที่จะเลือกตั้งใหม่ที่ทำให้เราได้ ส.ส.เพิ่มขึ้น

ต่อมานายพิธาให้สัมภาษณ์กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับพรรคก้าวไกลที่ได้ ส.ส.เป็นอันดับหนึ่งว่า ธรรมเนียมการปฏิบัติของตนกับพล.อ.ประยุทธ์คงจะต่างกัน ถ้าเป็นใน 8 พรรคจัดตั้งร่วมรัฐบาล เมื่อมีผลการเลือกตั้งออกมาก็มีการโทร.พูดคุยกันแสดงความยินดีของผลการเลือกตั้งกับตนที่ได้เป็นอันดับ 1 ขณะเดียวกันถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งครั้งหน้าตนแพ้การเลือกตั้ง ตนก็ต้องโทร.ไปหาผู้ชนะ และก็ยอมแพ้ เพื่อที่จะให้การเปลี่ยนผ่านของรัฐบาลไร้รอยต่อให้มากที่สุด

ก.ก.โวยสอบรูปค้อนเคียว

ถามถึงกรณีโปสเตอร์แนะนำตัว ส.ส.ของพรรคก้าวไกลมีรูปค้อนเคียว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์อยู่ในโปสเตอร์ นายพิธากล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกลก็ได้ชี้แจงตามโพสต์เมื่อคืนว่าเป็นการนำเสนอ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล โดย ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้ง 100 คนของพรรคเรามีทั้งพี่น้องแรงงาน เกษตรกร ที่ต้องใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการทำมาหากิน เพราะฉะนั้นจุดประสงค์มีอยู่แค่นี้ โดยแสดงออกถึงเครื่องมือทำมาหากิน แค่นี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงกลางดึกวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา เฟซบุ๊กแฟนเพจพรรคก้าวไกล - Move Forward Party โพสต์ข้อความเรื่อง "เอาแล้ว!!! คดีอิลลูมินาติภาค 2 กกต. สอบก้าวไกลมีรูป "ค้อนเคียว" ปฏิปักษ์การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข?!?" เนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า  กล่าวหาว่าในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลเผยแพร่การ์ตูนแนะนำผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มีชุดหนึ่งรวมเครือข่ายแรงงาน แล้วดันมี "ค้อนเคียว" อยู่ในภาพ จึงถือเป็นกระกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เบิ่ดคำสิเว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจพรรคก้าวไกลยังได้นำเอกสารที่ กกต.ส่งขอให้ก้าวไกลชี้แจงว่า "ขอทราบว่าตามที่พรรคก้าวไกลได้โพสต์ข้อความและรูปภาพทาง Facebook Fanpage เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2566 ในหัวข้อ เตรียมพบกับซีรีส์ชุดปาร์ตี้ลิสต์ก้าวไกลนั้น โพสต์ดังกล่าวมีความหมายว่าอย่างไร และตัวละครตามที่ปรากฏในภาพตามโพสต์หมายถึงผู้ใด อย่างไร สื่อความหมายว่าอย่างไร และสัญลักษณ์ค้อนไขว้กับเคียวที่ปรากฏในภาพตามโพสต์นั้น สื่อความหมายว่าอย่างไร และเหตุใดจึงต้องใช้สัญลักษณ์ค้อนไขว้กับเคียวประกอบตัวละครในโพสต์ดังกล่าว"

ช่วงท้ายเพจดังกล่าวยังระบุว่า นี่แหละนะ คือนิติสงคราม คือการเอาคดีความต่างๆ มายัดทำให้พวกเราเสียสมาธิในการทำงาน ต้องเสียเวลาไปชี้แจง หาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเอง ส่วนนักร้องก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ไล่กล่าวหาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แต่เราจะไม่เสียสมาธิในการทำงานเด็ดขาด

วันเดียวกัน นพ.ชลน่านให้สัมภาษณ์กรณีนายสนธิญา สวัสดี นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อเอาผิดพรรคเพื่อไทยที่ชะลอจัดทำนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทว่า เรื่องนี้จริงๆ อยากจะขอบคุณไปที่นายสนธิญา เพราะเขาขยันทำหน้าที่ของตัวเองในการที่จะตรวจสอบประเด็นทางสาธารณะ โดยเฉพาะนโยบายของพรรค พท. ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนค่อนข้างมาก และเป็นนโยบายที่เราใช้หาเสียงในการเลือกตั้งในเรื่องของกระเป๋าเงินดิจิทัล ซึ่งคำร้องนี้เราไม่ได้หวั่นเกรงอะไร เชื่อมั่นว่าในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่มีอยู่ชัดเจนอยู่แล้ว

นพ.ชลน่านกล่าวว่า ในทางนโยบายได้แถลงข่าวไปแล้วว่าจะมีการดำเนินการอย่างไรหรือไม่ ในฐานะที่เป็นพรรคอันดับ 2 กรรมการนโยบายของเราค่อนข้างชัดเจน เมื่อเราเป็นพรรคอันดับ 2 ก็มีโอกาสที่นโยบายของพรรคจะนำไปเสนอเพื่อให้เป็นนโยบายรัฐบาลก็ต้องให้เกียรติพรรคอันดับ 1 ก่อน จึงใช้คำว่าชะลอ เพื่อพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ เพราะเม็ดเงินที่จำเป็นต้องใช้ในปีแรกในการขับเคลื่อนนโยบายมันค่อนข้างชัด  พท.เราต้องใช้เงินประมาณ 560,000 ล้าน กับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลตรงนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ภายใน 1 ปี ขณะที่พรรคแกนหลักก็ต้องใช้เม็ดเงินในการทำนโยบายของเขา ในเรื่องของสวัสดิการประมาณ 650,000 ล้าน จึงเป็นเหตุผลให้ทางพรรคต้องประกาศแจ้งให้กับประชาชนทราบ

พท.เล็งฟ้องกลับสนธิญา

"ผมมั่นใจว่ามันไม่ได้เข้าข่ายในการที่จะร้องฐานความผิดว่าไปหลอกลวงประชาชน เพราะการจัดทำนโยบายสาธารณะ หากนายสนธิญาไปศึกษา ถ้าเข้าใจก็จะคงไม่ร้องประเด็นนี้ เพราะหากเขาร้องเขาจะอาย ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้งแล้วไปร้องให้เป็นประเด็น ในฐานะที่ทำให้สังคมเกิดความสับสนวุ่นวาย บางเรื่องประเด็นอะไรที่ทำให้สังคมสับสนวุ่นวาย มันก็เข้าข่ายก่อความวุ่นวายในสังคมได้ โดยเฉพาะเรื่องทางการเมืองที่ขณะนี้อาจจะส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลด้วย" นพ.ชลน่านกล่าว

ถามว่าจะฟ้องกลับหรือไม่ หัวหน้าพรรค พท.กล่าวว่า ตามข้อกฎหมายเขาคุ้มครองพรรคการเมืองมาตรา 101 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ถ้าผู้ใดร้องเท็จหรือฟ้องเท็จต่อพรรคการเมืองพรรคการเมืองก็สามารถที่จะร้องเอาผิดกับผู้ที่จงใจกลั่นแกล้งหรือทำให้พรรคการเมืองเขาเสียหายได้ ถ้าเป็นจริงก็ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี ติดคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท ขณะนี้ทางฝ่ายกฎหมายก็ต้องไปดูในรายละเอียดต่อไป

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่หากรัฐบาลใหม่เข้ามาอาจตรวจสอบย้อนหลังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ว่า วันนี้นายพิธาเองก็เป็นว่าที่นายกฯ ก็ควรไปเตรียมตัวเป็นนายกฯ ไม่ควรคิดว่าตัวเองยังเป็นฝ่ายค้านทำหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาล ต้องรู้บทบาทหน้าที่ของตัวเอง คนที่จะเป็นรัฐบาลจะต้องคิดว่าวันนี้ท่านเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี จะทำนโยบายให้สำเร็จอย่างไร เพราะบางนโยบายก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้นต้องมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายสำเร็จ เช่น ค่าแรง 450 บาท คุณพิธาจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของพี่น้องคนไทยทุกคน เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็น ไม่ใช่ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีของคนแค่ 14-15 ล้านเสียงที่เลือกมาเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านต้องไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร

"พล.อ.ประยุทธ์ก็มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ตามรัฐธรรมนูญ และได้บริหารงานประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์มาโดยตลอด พล.อ.ประยุทธ์พร้อมให้ตรวจสอบ ที่ผ่านมาหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล มีองค์กรอิสระอยู่หลายองค์กรคอยตรวจสอบอยู่แล้ว" นายธนกรกล่าว

ซัด 'ปิยบุตร' สร้างวาทกรรม

นายธนกรยังกล่าวถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ออกมาระบุการที่นายพิธาถูกร้องเรียนหลายเรื่องเป็นการทำนิติสงครามหรือตุลาการภิวัตน์ จะเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของศาลหรือไม่ว่า การสร้างวาทกรรมในเรื่องนิติสงครามหรืออะไรต่างๆ นายปิยบุตรก็เก่งที่ใช้คำน่าสนใจ แต่วันนี้ตนเชื่อว่าประชาชนคนไทยทุกคนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่ ฉะนั้นวันนี้เมื่ออยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่ว่าพอศาลตัดสินถูกใจก็บอกว่าศาลดี พอศาลตัดสินตรงข้ามก็บอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

"ผมเห็นว่ามีมาทุกยุคทุกสมัย วันนี้คําว่าตุลาการภิวัตน์ไม่มีหรอก เพราะไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล เวลาทำผิดก็โดนลงโทษเหมือนกันหมด และที่ผ่านมาไม่มีการใช้องค์กรอะไรต่างๆ กลั่นแกล้ง เพราะเป็นองค์กรอิสระ รัฐบาลไม่สามารถไปแทรกแซงได้เหมือนรัฐบาลในอดีต ฉะนั้นวันนี้ผมเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมของศาลเป็นที่เชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน เราก็ต้องยอมรับ" นายธนกรกล่าว

ด้านนายคารม พลพรกลาง ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธาว่า ในฐานะคนเคยถูกตรวจสอบจากศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อครั้งเป็น ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ว่าเป็น ส.ส.ที่ถือหุ้นสื่อหรือไม่ และได้ยื่นคำแก้ข้อกล่าวด้วยตนเอง ไม่ได้ให้ทนายที่ไหนทำให้ และไม่ได้ใช้ทนายพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น สุดท้ายก็ชนะคดี ในศาลรัฐธรรมนูญ เพราะบริษัทที่มีอยู่นั้นไม่ได้ประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน

นายคารมกล่าวอีกว่า ในประเด็นเรื่อง ส.ส. จะถือคุณสมบัติเกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ ขณะลงสมัคร ส.ส. ส่วนคุณสมบัติของคนจะเป็นนายกฯ นั้น จะถือขณะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ หรือขณะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ  อันนี้ก็น่าสนใจ การที่คุณพิธาโอนหุ้นให้ทายาทคนอื่นไปแล้วในขณะนี้นั้น แสดงว่าเขาไม่มั่นใจในเรื่องคุณสมบัติของตนเองขณะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ว่าจะชนะไหม เกี่ยวกับการถือหุ้นสื่อ

"เมื่อมีการโอนหุ้นออกไปแล้วในขณะนี้ จึงอาจพอที่จะเอาไว้สู้ตอนถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ว่าโอนหุ้นไปแล้ว คุณสมบัติไม่ขัดรัฐธรรมนูญ สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ ซึ่งไม่นานศาลรัฐธรรมนูญคงวินิจฉัย มีข้อน่าคิดคือสำหรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น จะผูกพันทุกองค์กรตามกฎหมาย เอาไว้อ้างเอาไว้ต่อสู้ได้ แต่คำพิพากษาศาลฎีกานั้นไม่ได้ผูกพันองค์กรไหน ผูกพันเฉพาะคู่ความ" นายคารมระบุ

ที่สำนักงาน กกต. นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เดินทางมายื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. ให้มีการตรวจสอบนายพิธา อาจจะทำผิดข้อบังคับพรรคก้าวไกล ข้อที่ 12 (6) ที่ระบุว่า ผู้ที่จะเป็นสมาชิกพรรคต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยข้อบังคับของพรรคก้าวไกลเพิ่งจะมีการแก้ไขภายหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์พรรคการเมืองจากกรณีการถือหุ้นสื่อ แสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลมีความละเอียดอ่อนต่อเรื่องดังกล่าวมาก ซึ่งการที่มีนักวิชาการออกมาแสดงภูมิรู้ โดยยกกฎหมายคดีแพ่ง คดีมรดก มาอธิบายเรื่องการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา แต่ต้องไม่ลืมว่าการกระทำของนายพิธา เป็นการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และมาตรา 106 (6) ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายมหาชน และเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งมีบทบัญญัติมาตรา 5 กำหนดว่า บทบัญญัติของกฎหมาย ข้อบังคับ หรือการกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญจะเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะยกกฎหมายว่าด้วยมรดก แพ่ง หรืออาญาใดๆ ก็ตามขึ้นมาต่อสู้ก็ไม่สามารถเอามาหักล้างบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญกำหนดได้

 “การกระทำของนายพิธาที่ขัดต่อข้อบังคับพรรคก้าวไกล และรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ถ้าได้รับการวินิจฉัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเป็นความผิด ก็จะเท่ากับนายพิธาไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะลงสมัคร ส.ส. และอาจจะไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ตามมาตรา 88 ซึ่งจะเท่ากับนายพิธากลายเป็นบุคคลธรรมดา และกระทำการเข้าข่ายครอบงำ ชี้นำ ทำให้พรรคก้าวไกลเข้าข่ายมาตรา 28 พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งเป็นเหตุนำไปสู่การยุบพรรคตามมาตรา 92 (3) ได้” นายสนธิญากล่าว 

ถามว่า นายพิธาได้ชี้แจงและอ้างว่าการที่นำเอาบริษัทไอทีวีมานั้นเพื่อเล่นงานเขา นายสนธิญากล่าวว่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน ถามว่าถ้านายพิธาไม่ถือหุ้นจะมีปัญหาไหม ถ้านายพิธาขายหุ้นตั้งแต่รู้ว่าตัวเองจะเข้ามาทำงานการเมืองจะมีปัญหาไหม และถ้าพรรคก้าวไกลไม่มีข้อบังคับว่าบุคคลที่จะเป็นสมาชิกไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือบุคคลที่มาเป็นสมาชิกก้าวไกลจะต้องมาถือหุ้นนั้น นายพิธาจะมีปัญหาไหม และพวกที่มาร้องๆ นายพิธาเหล่านี้จะมีเรื่องไปร้องไหม

"ผมเรียนว่าคนที่ร้องอย่างผม ถ้าร้องผิด นายพิธา พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย แจ้งความตามมาตรา 101 กฎหมาย กกต. ผมจะติดคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท และห้ามทำงานการเมือง 10 ปี" นายสนธิญาระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'แก้วสรร' แนะ 'ธีรยุทธ' ปรับยุทธวิธี เสริมความแกร่งของสำนวนมุ่งไปที่ กกต.-ปปช.

หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย กรณีที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ในฐานะประชาชน ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ