ปชป.เลือกหัวหน้าใหม่ก.ค.

ปชป.-รทสช.จัดทัพใหม่   “ราเมศ” กางไทม์ไลน์เลือก กก.บห. เล็งว่าที่ 24 ส.ส.คุมชะตา จับตาเดือน ก.ค.ได้หัวหน้าพรรคใหม่ ขณะที่ “พีระพันธุ์-เอกนัฏ” ปลุกใจสมาชิกเดินหน้าต่อบนถนนการเมือง หนุนคนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนงาน พร้อมปรับยุทธศาสตร์สื่อสารให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อวันพุธ ที่พรรคประชาธิปัตย์  (ปชป.) นายราเมศ รัตนะเชวง รักษาการโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดรักษาการ ว่าที่ประชุมได้มีการหารือ ประกอบด้วย 1.ในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพรรคการเมือง คือการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์  ขณะนี้มีประชาชนสมัครสมาชิกทั่วประเทศแล้ว 89,180 คน ทั้งนี้ หลังจากที่มีการแก้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปรับลดค่าบำรุงเป็น 20 บาท เชื่อว่าจะมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น

2.ที่ประชุมรับทราบกรณีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค โดยขั้นตอนต่อไปจะมีการเลือกตั้งหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ภายใน 60 วัน ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง ทั้งนี้ ในส่วนของกระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ตามข้อบังคับข้อที่ 32 ในอดีตจะต้องเปิดให้มีการหยั่งเสียงเบื้องต้น เหมือนดังเช่นเมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออก แต่ขณะนี้เรามีกลไกประจำจังหวัดและสาขาพรรค ที่ประชุมจึงเสนอให้มีการยกเว้นข้อบังคับข้างต้น แต่ยังยืนยันที่จะรับฟังสมาชิกทุกท่าน โดยหลังจากนี้พรรคจะมีการเรียกประชุมใหญ่วิสามัญ ซึ่งวันนั้นก็จะมีสมาชิกทั่วประเทศเข้าร่วมอยู่แล้ว

 นายราเมศกล่าวด้วยว่า ที่ประชุมกก.บห.ชุดรักษาการได้มีการกำหนดองค์ประชุมในการเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยองค์ประชุมสำคัญที่สุดคือ ว่าที่ ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งทั้ง 24 คน ที่จะเป็นองค์ประชุมหลัก 70% ดังนั้นจึงเห็นควรให้รอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีการรับรองก่อน โดยจะให้องค์ประชุมหลักเป็นในส่วนของ ส.ส.ที่ผ่านการเลือกตั้งล่าสุด 70% ในส่วนอื่นๆ ยังเป็นไปในข้อบังคับพรรคทุกประการ เช่น จะต้องมีกรรมการบริหารพรรค อดีตหัวหน้าพรรค อดีตรัฐมนตรี อดีตผู้ว่าราชการ ที่จะร่วมเป็นองค์ประชุม 30% โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมเพื่อกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมอีกครั้ง

"การประชุม กก.บห.ชุดรักษาการครั้งนี้ยังไม่ใช่นัดสุดท้าย แต่หลังจาก กกต.มีการรับรอง ส.ส. จะมีการประชุมอีกครั้งเพื่อกำหนดวันในเรื่องวันที่ชัดเจนอีกครั้ง ซึ่งหากนับกำหนด 60 วันหลังจากนายจุรินทร์ลาออก จะต้องมีการเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ภายในวันที่ 13 ก.ค.นี้" นายราเมศระบุ

 เมื่อถามว่า การที่ยกเว้นข้อบังคับในเรื่องการหยั่งเสียง เป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตหรือไม่ นายราเมศกล่าวว่า ในอดีตแข่งขันตามระบอบประชาธิปไตยเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อเลือกเสร็จก็จบ ยืนยันว่าเหตุผลที่ยกเว้นข้อบังคับมาจากว่าขณะนี้เรามีสมาชิกพรรค รวมถึงกลไกแต่ละจังหวัดที่เพียงพออยู่แล้ว ย้ำว่าเรายังเห็นความสำคัญของสมาชิก

"ย้ำว่าในที่ประชุมยังไม่มีการให้ความเห็นประเด็นร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล หรือลงมติเลือกนายกฯ คนไหน การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมดต้องอยู่ภายใต้มติพรรค เช่นเดียวกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ที่ยืนยันต่อที่ประชุมอย่างชัดเจนว่าไม่เคยพูดคุยติดต่อประสานงานเรื่องตั้งรัฐบาลกับใครทั้งสิ้น ข่าวที่ออกไปเป็นการบิดเบือนเพื่อดิสเครดิตพรรค แต่ในส่วนของสมาชิก ยังเชื่อในหลักการว่าท่านยังรักพรรคประชาธิปัตย์ และยังต้องการคำปรึกษาจากท่าน รวมถึงผู้อาวุโสอีกหลายท่านที่มีประสบการณ์ ซึ่งเราก็ดำเนินการมาโดยตลอด" โฆษก ปชป. ระบุ

ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค พร้อมด้วยผู้บริหารพรรค ได้แก่ นายเกรียงยศ สุดลาภา, รศ.ดร.(พิเศษ) ดวงฤทธิ์ เบญจาธิกุล (ชัยรุ่งเรือง) ร่วมประชุมกับตัวแทนผู้สมัคร ส.ส.กทม. และผู้สมัคร ส.ส.รุ่นใหม่ของพรรค เพื่อสรุปผลการทำงานจากการเลือกตั้งล่าสุดที่ผ่านมา

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรค ขอขอบคุณผู้สมัครทุกคนที่ได้ต่อสู้ร่วมกันในการเลือกตั้งในครั้งนี้ แม้ว่าพรรคจะไม่ได้ผู้แทนฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ แม้จากคะแนนเสียงที่ได้รับในหลายพื้นที่ อยู่ในลำดับ 2 หรือลำดับ 3 แต่ถือว่าเป็นความสำเร็จของพรรคใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นการทำงานเชิงการเมือง

 “ผมขอให้กำลังใจกับผู้สมัคร ส.ส.กทม. ทั้งผู้ที่เคยเป็น ส.ส.มาก่อน และผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีความตั้งใจและมีอุดมการณ์เดียวกับพรรค หลังจากนี้พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเดินหน้าทำงานการเมืองต่อ และยินดีต้อนรับทุกคน ที่ยังมุ่งมั่นจะเดินบนเส้นทางสายการเมืองต่อ” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวด้วยว่า ขอให้ทุกคนใช้ประสบการณ์ครั้งนี้เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนา ปรับปรุงวิธีคิด และวิธีหาเสียง เพื่อให้ทันตามยุคสมัยและวิธีการสื่อสารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะการบริหารจัดการการสื่อสารในประเด็นต่างๆ แรงกระแทกต่างๆ ทางการเมือง เพื่อให้การทำงานทางการเมืองเป็นไปอย่างเหมาะสม และขอให้นึกถึงอุดมการณ์ที่เข้ามาทำงานเพื่อสังคม  ประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้งไว้เสมอ แนวทางของพรรคคือจะไม่ทิ้งคนที่ตั้งใจทำงาน ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม   เพราะทุกคนต่างร่วมสู้ศึกอย่างเต็มที่มาด้วยกัน

ด้านนายเอกนัฏกล่าวว่า ถึงแม้ว่า สนามใน กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ จะไม่มี ส.ส.เลย แต่หลายพื้นที่ก็พบว่า มีคะแนนมาเป็นอันดับสอง อันดับสาม สามารถเอาชนะผู้สมัครพรรคที่เคยคาดว่าจะได้รับการเลือกตั้งไปได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานของทุกคน ที่ลงพื้นที่ตามแนวทางที่พรรคได้ตั้งไว้

 “หลังจากนี้จะได้นำประสบการณ์ต่างๆ มาถอดบทเรียน เพื่อเติมเต็มในการทำงานต่อไปข้างหน้าให้สมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พรรคจะเดินไปในทิศทางของการทำงานในรูปแบบใหม่ ก้าวทันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยจะมีทั้งคนรุ่นใหญ่และคนรุ่นใหม่มาทำงานร่วมกัน และยืนยันว่าไม่ใช่การรีแบรนดิ้ง เพราะแบรนด์ของพรรครวมไทยสร้างชาติดีอยู่แล้ว” นายเอกนัฏระบุ

 นายเอกนัฏระบุด้วยว่า สิ่งที่จะต้องทำต่อก็คือการผสมผสานแนวคิดของทุกรุ่น โดยใช้เวลาที่มีต่อจากนี้ในการทำงาน เพราะที่ผ่านมามีเวลาน้อยในการเข้าสู่สนาม แต่หลังจากนี้จะได้เดินหน้าพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติร่วมกันต่อไป โดยจะทำงานควบคู่กัน ทั้งเรื่องของนโยบาย และเน้นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ที่เรียกว่าการสื่อสารยุคใหม่ ที่จะใช้ความสามารถของคนรุ่นใหม่ของพรรคจำนวนมาก ที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายด้าน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความสามารถตามที่ถนัดอย่างเต็มที่ เชื่อว่าหากนำมาผสมผสานกับการทำงานของคนทุกรุ่นในพรรค จะยิ่งทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติเข้มแข็งในทุกด้านอย่างแน่นอน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง