ยื่นกกต.สอบ‘พิธาคิโอ’ กุเรื่องไปงานศพพ่อไม่ทัน/พท.แฉมีคนฝากกลับไทย

"พิธา" แจงดรามาไปงานศพพ่อไม่ทัน ไม่นึกจะต้องมาอธิบายเรื่องบีบหัวใจที่สุดในชีวิต ขุดภาพยืนยันกลับทันงานครึ่งไม่ทันครึ่ง อ้างเป็นการโจมตีทางการเมืองโค้งสุดท้าย "ศรีสุวรรณ" จ่อร้อง กกต.สอบ

 ชี้ปรุงแต่งเรื่องหวังให้เป็นนักสู้กับเผด็จการ เข้าข่ายจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ด้าน "ปานปรีย์" แฉยับมีคนฝากกลับไทยเพราะเป็นหลาน "ผดุง" ยันไม่มีการระงับธุรกรรมทางการเงิน

เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล    ออกมาเคลื่อนไหวหลังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางกลับไทยช่วงปี 2549 หลังเกิดการรัฐประหาร เพราะพูดหลายครั้งแต่ไม่ตรงกัน และล่าสุดพยายามใช้ประเด็นนี้เพื่อเรียกคะแนนสงสาร แต่โลกโซเชียลกลับแฉว่านายพิธาพูดโกหก

นายพิธาโพสต์ชี้แจงในเฟซบุ๊กระบุว่า ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาอธิบายหนึ่งในเหตุการณ์บีบหัวใจผมที่สุดในชีวิต นั่นคือการสูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่รักอย่างกะทันหัน โดยที่ไม่ได้มีโอกาสร่ำลากัน ในช่วงการรัฐประหาร 2549

ต่อประเด็นที่มีความพยายามนำบทสัมภาษณ์ของผมกับคุณสรยุทธเมื่อสัปดาห์ก่อน ไปเปรียบเทียบกับบทสัมภาษณ์ของผมกับคุณหนูแหม่ม สุริวิภา เมื่อสิบกว่าปีก่อน ว่าผมให้สัมภาษณ์ 2 ครั้ง ไม่ตรงกัน

ผมขอยืนยันความจริงโดยรูปภาพ 3 ภาพครับ เพื่อให้กระจ่าง และจะกลับไปมีสมาธิหาเสียงต่อครับ

รูปที่ 1 แสดงให้เห็นว่างานศพของคุณพ่อผมนั้น เป็นเวลา 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-24 กันยาครับ ต่อคำถามว่า สรุปแล้วมาทันหรือไม่ทันกันแน่ คำตอบคือ มาทันครึ่ง (วันที่ 22-24) “และ” ไม่ทันครึ่ง (วันที่ 18-20) ครับ ทั้งการสัมภาษณ์ของคุณสุริวิภากับของคุณสรยุทธจึงไม่มีอะไรขัดแย้งกันครับ

รูปที่ 2 อ้างอิงถึงข่าวจาก Channel News Asia รายงานว่า วันที่ 21 กันยายน 2549 เครื่องบินรัฐบาลไทยที่กลับสู่ประเทศไทยหลังการรัฐประหาร โดยลงจอดที่สนามบินกองทัพอากาศ ในช่วงประมาณ 12.40 น. ซึ่งเป็นเครื่องบินลำที่ผมโดยสารมาจากนิวยอร์กและลอนดอน จากรายงานข่าวจะพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมตัวและตรวจสอบบนเครื่องบินอย่างละเอียด ผมถูกกักตัวอยู่ 5-6 ชั่วโมง กว่ารถบัสจะออกมา กว่าจะมีรถของผมมารับ ก็ถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ ผมจำได้ว่าถึงบ้านก่อนคุณแม่และน้องที่ใส่ชุดดำกลับมา แล้วเราก็กอดกันเป็นครั้งแรกหลังสูญเสียคุณพ่อ

ส่วนเรื่องข่าวที่มีบุคคลอ้างว่าเป็นเพื่อนพ่อ บอกว่าเห็นผมในงานศพพ่อตั้งแต่วันแรก ซึ่งก็คือวันที่ 18 คงจะเข้าใจผิดนะครับ เป็นไปไม่ได้ครับ จำเป็นน้องชายผมรึเปล่า เพราะหลักฐานก็ชัดว่าวันนั้นผมยังอยู่ที่อเมริกาอยู่เลยนะครับ

และรูปที่ 3 คือรูปถ่ายของครอบครัวและผมในงานศพของคุณพ่อ ในวันที่ 22 กันยายน 2549 หลังจากนั้นก็เก็บศพคุณพ่อไว้อีก น่าจะ 100 วันก่อนเผาครับ

อย่างที่ผมเคยได้พูดในหลายโอกาส เมื่อคุณเข้าสู่การเมือง และโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ก็จะมีการโจมตีกันมาเรื่อยๆ จากนี้เป็นต้นไป ซึ่งผมก็ทราบดีว่าเป็นปกติของการเมือง ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวอะไร ขอให้ทุกคนมีสมาธิกับการหาเสียงและเดินหน้าแก้ไขปัญหาของประชาชนต่อไปครับ

ก่อนหน้านี้ นายพิธาให้สัมภาษณ์กับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา โดยช่วงหนึ่งได้เล่าถึงเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ว่า หลังจากเกิดการยึดอำนาจได้เดินทางมากับเครื่องบินของคณะที่ไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติ มาลงที่กองทัพอากาศ แล้วถูกกักตัวข้ามวันจนไปงานศพพ่อไม่ทัน ซ้ำยังถูกอายัดบัญชีจนทำให้ต้องวิ่งวุ่นหาเงินมาจัดงานศพ

อย่างไรก็ตาม นายพิธาเคยให้สัมภาษณ์กับ "แหม่ม สุริวิภา" เมื่อปี 2552 ถึงเรื่องเดียวกันนี้ว่า หลังจากเครื่องลงที่กองทัพอากาศแล้ว ตนถูกกักตัวอยู่ประมาณ 4-5 ชั่วโมง แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน

สำหรับเรื่องที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปยื่นฟ้อง นายพิธากล่าวว่า อยากจะฝากข้อความที่ได้อธิบายไปพร้อมรูปภาพที่ยืนยันงานศพคุณพ่อ 18-24 ก.ย. และก็ภาพที่เครื่องบินมาถึงกองทัพอากาศวันที่ 21 ก.ย. เวลา 12.40 น. นายศรีสุวรรณอาจจะข้อมูลไม่ครบ ถ้าตอนนี้เห็นข้อมูลแล้วก็อาจจะเปลี่ยนใจไม่ไปยื่นแล้วก็ได้

ทั้งนี้ นายศรีสุวรรณโพสต์เฟซบุ๊กว่า ตามที่โลกโซเชียลจับโป๊ะนายพิธา หลังถูกขุดบทสัมภาษณ์ที่ไปออกรายการกับสองพิธีกรชื่อดังคือ คุณสรยุทธ (ปี 2566) และคุณหนูแหม่ม (ปี 2552) ซึ่งบทสัมภาษณ์ใน 2 รายการ 2 ช่วงเวลา แต่เห็นการณ์เดียวกัน กลับมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะประเด็นที่นายพิธาได้อ้างว่ากลับมาเมืองไทยช่วงรัฐประหารปี 2549 ซึ่งมีถ้อยความที่ดูจะต่างกันพอสมควร อาทิ การรับราชการเป็นทีมงานนักการเมือง การให้ร้ายกองทัพ เพราะถูกควบคุมตัว การไปงานศพคุณพ่อไม่ทัน การถูกควบคุมการเงินจนไม่มีเงินทำศพพ่อ ฯลฯ

การปรุงแต่งเรื่องในการเล่าความจริงในเรื่องเดียวกันที่แตกต่างกันดังกล่าว หลายคนชี้ว่ามันคือละคร หรือลิเก เพราะการเล่า ถ้าเกิดเล่าเรื่องไม่จริง มันก็คือการดูถูกคนดู ดูถูกคนฟัง แม้กระทั่งผู้สนับสนุนของตัวเอง เป็นการหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพื่อต้องการปรุงแต่งภาพลักษณ์ ให้ดูเป็นนักสู้กับเผด็จการ เพราะนายพิธาไม่เคยปรากฏประวัติในการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนมาก่อน อยู่ๆ เป็นนักธุรกิจ แล้วก็กลายมาเป็นนักการเมืองเท่านั้น

 “การให้สัมภาษณ์ล่าสุดดังกล่าวจึงอาจเป็นการจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองอีกด้วยหรือไม่ ตามมาตรา 73 (5) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 ซึ่งต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปีอีกด้วย โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวน และวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวในวันศุกร์ที่ 28 เม.ย.66 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการฯ อาคาร B”

ขณะที่นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ปี 2549 กล่าวกรณีนายพิธาว่า ก่อนเครื่องขึ้นจากนิวยอร์ก มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งนำนายพิธามาฝาก โดยระบุว่าฝากน้องพิธากลับไทยด้วย แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่านายพิธาจะมาเล่นการเมืองอะไรในอนาคต ขณะนั้นเข้าใจเพียงว่าเป็นน้องคนหนึ่งที่อาศัยเครื่องบินกลับมา

เขาบอกว่า เมื่อเครื่องมาถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่คิดว่าจะเจออะไร เพราะได้ส่งนายทักษิณที่ลอนดอนประเทศอังกฤษแล้ว แต่เมื่อเครื่องถึงสนามบินดอนเมือง เครื่องบินลำดังกล่าวกลับจอดนิ่งประมาณครึ่งชั่วโมง ท่าทางไม่ค่อยดี ซึ่งตนในฐานะหัวหน้าคณะเดินทาง จึงเดินไปบอกคนในเครื่องรวมถึงนายพิธาว่าเราคงไม่ได้ลงที่ดอนเมือง ตอนนี้เครื่องมาจอดที่ บน.6 แล้วขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เชื่อว่าไม่มีปัญหาเพราะเราไม่ใช่นักการเมือง

เมื่อถามว่า ขณะนั้นนายพิธาขึ้นเครื่องบินในฐานะที่เป็นทีมงานนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ในขณะนั้น หรือเป็นแค่คนไทยที่อาศัยเครื่องบินเดินทางกลับประเทศ นายปานปรีย์ตอบว่า ทราบเพียงว่าเป็นหลานของนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตเลขาฯ ส่วนตัวนายทักษิณ

ซักว่าเมื่อเครื่องบินเดินทางมาถึง บน.6 เมื่อลงเครื่องมีการถูกกักตัวหรือคลุมหัวตามที่นายพิธากล่าวอ้างหรือไม่ เขาชี้แจงว่า เมื่อเครื่องถึงกรุงเทพฯ มีทหารเดินเข้ามาตรวจ แล้วก็ปล่อยตัวออกไป ไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถกลับบ้านได้ทันที ส่วนคนอื่นนั้นไม่ทราบ เพราะต่างคนต่างแยกย้าย

ถามถึงกรณีนายพิธากล่าวอ้างว่ามีการระงับธุรกรรมทางการเงินของผู้ที่อยู่บนเครื่องบินลำดังกล่าว นายปานปรีย์ เผยว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบ คงต้องไปถามนายพิธา แต่ตนในฐานะหัวหน้าคณะไม่โดนอะไรเลย

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติของนักการเมือง เมื่อถึงเวลาหาเสียงเลือกตั้งมักจะพูดให้มีดรามา ให้คนสงสารเรียกคะแนน แต่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณในการตัดสิน ที่สําคัญตามโซเชียลมีเดียมีการยุยง ปลุกปั่น หรือพูดในทางลบให้คนไทยเกลียดชังกัน ซึ่งเป็นการพูดให้คนเกลียดประเทศ

 “ทําไมเราไม่โทษตัวเอง เราควรมาทําตัวเองให้ดี ช่วยกันทําหน้าที่ให้ดี ตั้งใจเรียน ตั้งใจทํางาน ตั้งใจทํามาหากิน ประเทศชาติก็ดีเอง ไม่ใช่มาโทษกัน มัวแต่โทษคนอื่น การเมืองมันต้องสร้างสรรค์” นายชัยวุฒิกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘หนู’ ลั่นฟังแค่ ‘อิ๊งค์’ ยันร่วมรัฐบาลเป็นไฟต์บังคับ ‘ทักษิณ’ พูดไม่นำพา

"อนุทิน" ลั่น! รับสัญญาณจากนายกฯ อิ๊งค์เท่านั้น ยันที่ "ทักษิณ" พูดไม่ได้หมายถึงรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย "ท่านทักษิณพูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก"