‘บิ๊กตู่’อ้อนอย่าทิ้งลูกข้าวนึ่ง!

"บิ๊กตู่" ลาราชการบินหาเสียงเมืองอุดรฯ ขึ้นเวทีเว้าอีสาน “สบายดีบ่ คิดฮอดหลายๆ เด้อ" ยืนยันเป็นลูกอีสานแท้ๆ เปรียบตัวเองเป็นกัปตันแก่ขับเครื่องบิน แต่มากประสบการณ์พาผู้โดยสารถึงที่หมายปลอดภัย ลั่นตายเมื่อไหร่ก็ช่าง ขอทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ย้ำต้องมี “ทหาร-อาวุธ” ไม่ใช่เพื่อไปรบ แต่เพื่อจะได้ไม่ต้องไปรบ "อนุทิน" ปลุกชาวภูเก็ตเลือก ภท. ทำให้ด้ามขวานเป็นทองแท่งประเทศไทยยิ่งใหญ่ “เศรษฐา” นำทัพ พท.ล่องใต้อันดามัน-อ่าวไทย จัดเวทีปราศรัยใหญ่ 4 จว. "เต้น" ยัน “ก้าวไกล” ยังเป็นมิตร แต่ละพรรคมีสิทธิ์เสนอแนวทางของตนเอง "ชัยธวัช" เชื่อ ก.ก.ได้ ส.ส.ทะลุ 100 ที่นั่ง "ไพบูลย์" เตือนสำนักโพลระวังผิด กม.เลือกตั้ง

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 24 เมษายน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค สวมเสื้อโปโลสีน้ำเงินมีโลโก้พรรค ลาราชการลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค นายธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรค นายชัชวาลล์ คงอุดม รองหัวหน้าพรรค นางพิชชารัตน์ เลาหพงศ์ชนะ รองเลขาธิการพรรค และผู้บริหารพรรค รทสช.

ทันทีที่เดินทางมาถึงสนามบิน จ.อุดรธานี มีผู้บริหารพรรค อาทิ นายวิทยา แก้วภราดัย, นายเสกสกล อัตถาวงศ์ รองหัวหน้าพรรค และผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสานมาให้การต้อนรับ ท่ามกลางความสนใจของประชาชนขอถ่ายรูป

จากนั้นเวลา 10.50 น. พล.อ.ประยุทธ์และคณะเดินทางถึงวัดอัมพวันวิทยาราม ต.เมืองเพีย อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เพื่อกราบสักการะหลวงปู่แก้ว ก่อนเข้ากราบนมัสการเจ้าอาวาส โดยช่วงหนึ่งมีประชาชนสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าทำไมถึงดูไม่แก่ พล.อ.ประยุทธ์ร้องอ้าว ก่อนจะตอบว่า ก็เป็นเพราะมีกำลังใจจากพวกเราทุกคน ซึ่งก็จะดูแลและแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการเพิ่มรายได้ ก็ขอให้ช่วยลุงหน่อยนะ

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปยังหอประชุม อ.กุดจับ เพื่อปราศรัยหาเสียงช่วยนายผดุงศักดิ์ หันจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 8, นายนิธิศ ประกอบใส ผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 เบอร์ 10 และนายทรงกิตติ สุวรรณทอง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 10 เบอร์ 2 โดยมีประชาชนเข้าร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "สบายดีบ่ คิดฮอดหลายๆ เด้อ ขอถือโอกาสเล่าความในใจ ผมอยากเดินทางกลับมาบ้านเกิด เพราะบ้านผมเกิดที่โคราช แม่เป็นคนชัยภูมิเพราะฉะนั้นผมถือว่าผมเป็นคนอีสาน แล้วทำไมจะไม่คิดถึงชาวอีสาน ทุกวันนี้ได้แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้ชาวอีสานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม"

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "หลายอย่างผมยอมรับว่ายังทำไม่สำเร็จ แต่หลายอย่างก็ได้ทำไปแล้ว และยังมีหลายอย่างที่เราต้องทำต่อ ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ผมจะต้องทำงานต่ออีก 2 ปี ถ้าอยู่ได้ตามนั้น เพราะจะได้สืบสานสิ่งที่ทำไว้แล้วและส่งต่อไปให้กับคนใหม่ทำให้ดีต่อไปในอนาคต การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร แต่ถ้าใครทำอะไรที่ไม่ดีไม่ถูกต้องผมก็ยอมรับไม่ได้"

"วันนี้ถ้าเปรียบประเทศไทยเหมือนเครื่องบินลำหนึ่ง ลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ ที่ปลอดภัย สำคัญที่นักบินมี 2 คน คนหนึ่งเป็นกัปตัน อีกคนเป็นผู้ช่วยนักบิน ดังนั้นคนเป็นกัปตันต้องเก่งกว่า และกัปตันก็มีแต่คนแก่ๆ เหมือนผม จึงขอถามชาวกุดจับว่า อยากจะขึ้นเครื่องบินที่มีกัปตันมากประสบการณ์ หรือจะเอาวัยรุ่นมาขับเครื่องบิน ขอให้มั่นใจว่าอย่างไรก็ถึงที่หมาย เพราะกัปตันอย่างผมมีประสบการณ์ รู้ปัญหาทุกอย่าง ถ้าแก้ได้แก้ไขไปหมดแล้ว สิ่งที่อยากเตือนพวกเรา สิ่งที่เสนอว่าจะให้ อยากดูว่าเป็นรัฐบาลแล้วจะแก้ได้หรือไม่ เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาไม่ทันการเปลี่ยนแปลงตรงนี้ แต่อยากจะเห็นอะไรใหม่ๆ ทันทีทันใด คงไม่ได้ ต้องดูการเปลี่ยนแปลงในอดีตด้วย ความเจริญต้องอาศัยเวลา สิ่งสำคัญอย่าทิ้งสถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนทุกคน"

นักบินแก่มีประสบการณ์

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า วันนี้อายุ 70 ปีแล้ว ถ้าเป็นนักบินก็แก่แล้วแต่ยังมีสมรรถภาพ เป็นนักบินมีประสบการณ์ เวลาเกิดอากาศวิกฤตนักบินที่มีประสบการณ์จะช่วยนำพาเครื่องบินให้ปลอดภัยได้ ถ้าเป็นเด็กอาจจะตกใจ แต่ตนมีประสบการณ์ขับเครื่องบินลำนี้ได้ วันนี้จึงต้องมาขอร้องด้วยความจริงใจต่อกัน ในช่วงหาเสียงมีการเสนอว่าจะให้มากมาย ขอให้พิจารณาด้วยว่าหากเป็นรัฐบาลแล้วจะให้ได้อย่างนั้นหรือไม่ หากทำไม่ได้ประชาชนจะว่าอย่างไร เพราะเขาไม่พูดถึงวิธีการหาเงิน พูดแต่เรื่องการให้เงินเพียงอย่างเดียว

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวถึงนโยบายต่างๆ ในช่วงที่เป็นรัฐบาล และทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องโควิด การก่อสร้างถนนหนทาง การแก้ปัญหายาเสพติด โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งการติดต่อกับต่างประเทศเพื่อหารายได้

ขณะนั้นมีชาวบ้านตะโกนแทรก ขอให้รับปากสัญญาว่าจะสร้างถนนอุดรฯ-สุวรรณคูหา ให้เป็นถนน 4 เลนให้ หากได้เป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะรับไปดูให้ว่าอยู่ในแผนดำเนินการหรือไม่ ในส่วนเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สัญญาเอาไว้แล้วว่าจะเพิ่มให้ แต่คนที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์จะมีการพิจารณาทบทวน

ต่อมาเวลา 13.39 น. ที่สวนสาธารณะสวนไผ่ ต.หนองเม็ด อ.หนองหาน พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีปราศรัยจุดที่ 2 พร้อมกล่าวว่า สบายดีบ่ คิดฮอดหลายเด้อ ลูกอีสานแท้ๆ วันนี้มายืนยันความเป็นลูกอีสานชัดเจนแน่นอน วันนี้อยากให้ทุกคนรักกันมากๆ วันนี้ถ้าทะเลาะกันก็จบหมด อยากให้ทุกคนช่วยกันสานต่อ

 “เวลาพูดมันเครียดว่าจะทำได้ไหม เหมือนนักบินที่สะสมชั่วโมงบินพอสมควร ถึงจะเจออากาศแปรปรวน มันก็ยังฟันฝ่ามาถึงพื้นได้อย่างปลอดภัยในวันนี้ ผมสมัครใจเป็นนักบินเบอร์หนึ่งให้อีกรอบหนึ่ง สุดแล้วแต่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือก ผมรักใครรักจริง เพราะผมเป็นคนอีสาน รักใครรักจริง ผมเป็นคนรักแรง เพราะเป็นคนอีสาน อย่าทิ้งกันนะ อีสานอย่าทิ้งฉันนะ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า ขอให้ไว้ใจขอให้เชื่อมั่นลุงตู่คนเดิม อย่าลืมลูกข้าวนึ่งคนนี้ด้วย หน้าตาก็พอดูได้ นี่คือหน้าตาคนอีสานที่เป็นผู้นำรัฐบาลในตอนนี้ ทั้งนี้บัตรประชารัฐเขาไม่เรียกบัตรคนจน เขาเรียก "บัตรลุงตู่" เราจะดูแลและจะพัฒนาให้ โดยทำอย่างไรเพื่อนำไปกู้เงินด่วน ฉุกเฉิน 10,000 บาท อันนี้ไม่ผิดอะไรเพราะเป็นการหาเสียง ไปกู้เงินหมื่นแล้วเอาเงินพันผ่อน และเราจะต้องเปิดกองทุนภาคประชาชนให้มากขึ้น

ขณะที่จุดวัดอัมพวันวิทยาราม จ.อุดรธานี เจ้าอาวาสได้ผูกสายสิญจน์และมอบองค์จำลองหลวงปู่แก้ว ระหว่างนั้นชาวบ้านตะโกนว่า "ใครได้หลวงปู่แก้วไปบูชาจะได้เป็นนายกฯ แน่นอน" และมีชาวบ้านเข้ามาขอถ่ายรูปเซลฟี เชียร์ให้เป็นนายกฯ ต่อ พร้อมมอบผ้าขาวม้า ชูป้ายข้อความ "ให้ลุงตู่อยู่ต่อ, รักลุงตู่กาเบอร์ 22" เป็นต้น

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่ห้องสยามมนตรา โรงแรมสยามแกรนด์ อ.เมืองอุดรธานี พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปจุดที่ 3 โดยทันทีที่มาถึงได้มีการเปิดเพลง "รักกันไว้เถิด" โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ร้องคลอไปด้วย และขึ้นเวทีปราศรัยว่า สบายดีบ่ คิดฮอดหลายๆ เด้อ ตนลูกอีสาน ลูกข้าวเหนียว วันนี้ดีใจมาพบทุกคนอีกครั้ง จากนั้นได้พูดถึงนโยบายต่างๆ อาทิ การแก้ปัญหาหนี้สิน ที่ดินทำกิน รายได้เกษตรกร ประมง การจัดการน้ำ ป่าไม้ และบัตรลุงตู่

ตายเมื่อไหร่ก็ช่างขอทำหน้าที่

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การหาเสียงตนต้องการสร้างความรับผิดชอบและร่วมมือไปด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นเราก็ตีกันอยู่แบบนี้ รักกันให้มาก อย่าแตกแยกกันอีกเลย เพราะเป็นคนไทยทั้งสิ้น รักกันให้มาก รักประเทศชาติให้มากขึ้น และทุกอย่างจะกลับมาที่เราทั้งหมด "สิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอ ตายเมื่อไหร่ก็ช่าง ขอทำหน้าที่ของผมให้สมบูรณ์"

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนเคยทำหน้าที่ทหารมาก่อน ซึ่งตนขอทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ ที่ผ่านมามีทหารหลายนายที่สละชีวิต เสียแขนเสียขามันทรมาน ตนเจอภาพอย่างนี้ตลอดในการสู้รบ เราจะรบอีกหรือ แต่เราต้องมีความพร้อมของทหารใช่ไหม การมีทหาร การมีอาวุธไม่ใช่เพื่อไปรบ แต่มีเพื่อจะได้ไม่ต้องไปรบกับใคร เราต้องมีศักดิ์ศรีของเรา ทหารต้องเข้มแข็ง ตนต้องการใช้อำนาจตรงนี้เพื่อหยุดสงครามให้ได้ เพื่อไม่ให้มีการสู้รบให้ได้ วันนี้เราต้องทำให้การสู้รบอยู่ในพื้นที่จำกัด ถ้าปะทะกันมีอาวุธสู้กัน เดี๋ยวก็เลิกแล้วก็เจรจา แต่ถ้าเราสู้เขาไม่ได้วันหน้าแล้วก็เสียไป มันต้องหยุดให้ได้เร็วที่สุด จึงจำเป็นที่จะต้องมีอาวุธเพื่อป้องกัน

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ดร.นที รัชกิจประการ, นายสรอรรถ กลิ่นประทุม,  นายศุภชัย ใจสมุทร และนางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ เปิดเวทีปราศรัยแนะนำผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต ทั้ง 3 เขตของพรรคภท.และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยมีชาวภูเก็ตเข้าร่วมกว่า 1,000 คน ณ โรงยิมเนเซียมอาคาร 4,000 ที่นั่ง สะพานหิน อำเภอเมืองภูเก็ต โดยนายอนุทินกล่าวว่า นโยบายของ ภท.ได้รับการขนานนามจากพ่อแม่พี่น้องแล้ว ว่าเราเป็นพรรคที่พูดแล้วทำ ไม่ใช่เป็นพรรคที่เราคิดขึ้นมา  คนที่เข้ามาอยู่ร่วมกับ ภท.ต้องพูดแล้วทำ หรือภาษาใต้ว่า "แหลงแล้วทำ" ซึ่ง ภท.เกิดในภาคใต้เมื่อปี 61 ส.ส.ภูมิใจไทยฟันฝ่ามาได้ในพื้นที่ภาคใต้ ไม่เพียงมี 8 มี 10 คนแล้ว ขอภาคใต้ให้ ภท. และตนมีภรรยาเป็นคนใต้ที่จังหวัดระนอง

นายอนุทินกล่าวว่า พวกเราตั้งใจให้ภูเก็ตเป็นศูนย์กลาง เป็นศูนย์พยาบาลศูนย์ดูแลสุขภาพของโลก จะมีชาวต่างประเทศเข้ามาพักฟื้นดูแลสุขภาพท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามในภูเก็ต พวกเราก็จะกระเป๋าตุง ประเทศจะได้ภาษีจากรายได้ของการค้าขาย ประเทศจะมีเงินจากต่างประเทศเข้ามา และต่อไปภูเก็ตจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศูนย์กลางการจัดนิทรรศการอีกมากมาย ต่อไปนี้จะไม่ใช่ด้ามขวานปิดทองแล้ว จะเป็นด้ามขวานที่เป็นทองแท่ง ทุกอย่างอยู่ที่ด้ามขวาน รับรองว่าถ้าให้ ภท.กลับเข้ามาทำงานเป็นรัฐบาล เราจะตอกเสาเข็มร่วมกัน ทำให้ประเทศไทยยิ่งใหญ่ เจริญไม่มีวันสิ้นสุด

"หลังการเลือกตั้งรัฐบาลที่บริหารประเทศ สิ่งที่มาพูดคือจะทำทันที 6 เดือนแรกหลังจากที่ประชาชนให้กลับไปทำงานบริหารประเทศ ที่พูดมาทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน เรื่องกัญชายกมาไม่ต้องห่วงกฎหมายอยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว เที่ยวนี้กลับไปใหญ่กว่าเดิม กัญชาที่เป็นกฎหมายต้องผ่านอย่างเดียวไม่มีทางเลือกอื่น" นายอนุทิน กล่าว

เมื่อเวลา 11.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นำทีมลุยตลาดเจ้าพรหม จ.พระนครศรีอยุธยา ขอคะแนนเสียงเลือก ปชป.เบอร์ 26 และผู้สมัครทั้ง 5 คน โดยมีพี่น้องประชาชนและแฟนคลับเข้ามาทักทายอย่างคึกคัก นอกจากนี้ยังมีแม่ค้ารายหนึ่งชักชวนให้นายจุรินทร์ซื้อปลาไหล โดยบอกว่าถ้าได้ปล่อยปลาไหลจะทำงานลื่นไหลและจะได้เป็นนายกฯ นายจุรินทร์จึงได้ซื้อปลาไหลไปปล่อยเพื่อเป็นสิริมงคลต่อไป

นายจุรินทร์ให้สัมภาษณ์ว่า จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นพื้นที่สำคัญที่นโยบายประชาธิปัตย์มีความชัดเจนว่า จะทำให้คนอยุธยาและเกษตรกรทั่วทั้งประเทศได้รับประโยชน์โดยตรง

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย แถลงถึงกรณีการลงพื้นที่ปราศรัยภาคใต้ของ พท.ว่า วันที่ 25-27 เม.ย. เราจะเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย ซึ่งจะมีทั้งเวทีปราศรัยใหญ่และเดินพบปะประชาชน ถือเป็นการลงพื้นที่ภาคใต้ของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พท. ในวันที่ 25 เม.ย.จะเริ่มที่ จ.ภูเก็ต จากนั้นจะเดินทางไปปราศรัยใหญ่หน้าที่ว่าการอำเภอเมืองจังหวัดพังงา วันที่ 26 เม.ย.จะเดินทางไปที่หาดใหญ่ เพื่อที่ช่วงเช้าวันที่ 27 เม.ย. จะได้เดินพบปะพี่น้องประชาชน จากนั้นเดินทางไปปราศรัยใหญ่ที่สนามหน้าเมือง อ.เมืองนครศรีธรรมราช

ก้าวไกลฝันเกิน 100 ที่นั่ง

เมื่อถามว่า การที่นายเศรษฐาประกาศไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เป็นความคิดเห็นในนามส่วนตัวหรือในนามพรรค นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ที่นายเศรษฐาพูดในนามแคนดิเดตนายกฯ คนหนึ่ง ก็คิดว่าเป็นท่าทีของพรรคที่ประกาศต่อประชาชน และเมื่อวานนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พท.ก็ให้สัมภาษณ์พร้อมนายเศรษฐา ก็ไม่ได้มีคำตอบที่แตกต่างหรือขัดแย้งแต่อย่างใด มีการยืนยันมาตลอดว่าเป้าหมายของ พท.คือการแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย แคนดิเดตนายกฯ ของ พท.ต้องเป็นนายกฯ นโยบายของ พท.ต้องเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล 

ถามต่อว่า การที่ออกมาประกาศชัดเจนว่าจะไม่จับมือกับทั้งสองพรรคนั้น เพราะกลัวคะแนนเสียงของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) จะเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้านด้วยกันหรือร่วมประชาธิปไตย ใครจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว ส่วนกรณีที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในลักษณะของการแซะพรรค ก.ก.เรื่องนโยบายหลายอย่างที่พูดไป พท.เคยทำมาแล้วนั้น เป็นข้อเท็จจริงในเรื่องนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นการเกณฑ์ทหารโดยความสมัครใจ สุราเสรีไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ พท. แต่ละพรรคมีสิทธิ์ที่จะเสนอแนวทางและยุทธศาสตร์ของตนเองก็ถือว่าไม่ผิด เราเห็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรคเป็นมิตร ไม่ได้คิดเป็นอื่น

นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงคะแนนความนิยมของพรรค ก.ก. หลังเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่สามย่าน มิตรทาวน์ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า เสียงตอบรับจากพี่น้องประชาชนดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว การที่มีคนมาร่วมฟังการปราศรัยเมื่อวันที่ 22 เมษายนก็เป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่ง รวมถึงการทำโพลของ ก.ก. พบว่าเราได้รับการสนับสนุนมากกว่าปี 2562 มาก ถ้ายังสามารถเพิ่มคะแนนความนิยมได้ในระดับนี้จนถึงวันเลือกตั้ง หรือสามารถทำให้ก้าวกระโดดได้อีก ก็มีความเป็นไปได้ที่จะได้ ส.ส.เกิน 100 คน แต่อย่างน้อยตอนนี้มั่นใจแล้วว่า เราน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่าสมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ ส่วนคะแนนป็อปปูลาร์โหวต คิดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 30% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ เท่ากับว่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 30 คนหรือมากกว่านั้น เป็นความนิยม จากความชัดเจนอย่างต่อเนื่องของการทำงานจริงตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนรับรู้ได้ว่าเราทำงานการเมืองอย่างตรงไปตรงมา และมีความมุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือ ประชาชนจำนวนมากอยากเห็นน้ำใหม่ทางการเมืองเข้าไปบริหารประเทศ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามที่ปรากฏมีสำนักโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการเลือกตั้งหลายสำนัก ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจของสำนักตนเองนั้น มีบางสำนักปรากฏข้อมูลในการเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนน่าจะไม่สอดรับกับความเป็นจริงในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ส.ส.หรือพรรคการเมือง จึงเป็นห่วงว่าสำนักโพลเหล่านั้นอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมายตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 มาตรา 72 และมาตรา 73 (5) ที่ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรวมถึงสำนักโพลต่างๆกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง จะมีบทลงโทษตามมาตรา 159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี  หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี เชื่อว่าจะมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไปยื่นคำร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบสำนักโพลดังกล่าว ก็อาจจะทำให้สำนักโพลบางสำนักอาจมีปัญหาทางกฎหมายได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง