ก้าวไกลแซงเพื่อไทย โพลเชื่อ‘ภท.-ปชป.’ตาอยู่ อิ๊งค์อุ้มท้องขึ้นเวทีทิ้งทวน

ซูเปอร์โพลเผยผลสำรวจล่าสุด “ก้าวไกล” เรตติ้งกระฉูด คะแนนนิยมพุ่งแซงเพื่อไทย เผยหากไม่เกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” อาจเป็นตาอยู่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “บิ๊กตู่” ลุยหาเสียง “พิษณุโลก-อุตรดิตถ์” เตือนสติไตร่ตรองให้ดีในการเลือกคน “บิ๊กป้อม” ตอบเยาวชนชอบทำมากกว่าพูด สกลธีลั่น พปชร.ไม่จับมือพรรคชังชาติ “อุ๊งอิ๊ง” อุ้มท้อง 9 เดือนปราศรัยเวทีดอนเมืองทิ้งทวน พท.ย้ำไม่จับมือเผด็จการแน่นอน “ธนาธร” ยกฝรั่งบอกนโยบายก้าวไกลไม่สุดโต่งเรื่องปฏิรูปกองทัพ-กระจายอำนาจ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 เม.ย.2566 ยังคงมีการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นหรือโพลอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลการศึกษาต่อเนื่องเรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 5 ศึกษาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ อายุ 18 ปีขึ้นไป 8,065 ตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความตั้งใจจะไปเลือกตั้งของประชาชนเปรียบเทียบผลล่าสุด พบว่าไม่พบความแตกต่าง ซึ่งคนส่วนใหญ่หรือ 70.8% ตั้งใจจะไปเลือกตั้ง โดยครั้งที่แล้วพบว่ามีผู้จะไปเลือกตั้ง 70.5%

ซูเปอร์โพลยังเผยว่า โพลเคยระบุเชิงเปรียบเทียบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองต่างๆ เสมือนปลาในบ่อเลี้ยงสามบ่อ บ่อแรกคือบ่อของฝูงปลานิยมพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคก้าวไกล (ก.ก.), บ่อที่สองคือบ่อของปลานิยมพรรคภูมิใจไทย (ภท.), พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และบ่อที่สาม คือบ่ออื่นๆ รวมถึงพลังเงียบ โดยผลการศึกษาครั้งนี้พบประเด็นที่น่าสนใจคือ พรรค ก.ก.ได้รับความนิยมพุ่งขึ้นอันดับหนึ่ง จาก 6.7% ในการศึกษาปลายเดือน มี.ค. ขึ้นมาเป็น 24.4% ในการศึกษาล่าสุดเดือน เม.ย. แต่พรรค พท.ลดลงจาก 29.1% ในช่วงปลายเดือน มี.ค. ตกมาอยู่ที่ 11.2% ในเดือน เม.ย. ซึ่งชี้ให้เห็นได้ในมุมหนึ่งว่า ปลาไม่กระโดดข้ามบ่อ สิ่งที่พบคือความนิยมเพิ่มที่พรรค ก.ก. ความนิยมลดลงจากพรรค พท.

ส่วนพรรค ภท.ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจาก 20.5% ในการศึกษาปลายเดือน มี.ค. ขึ้นมาเป็น 23.9% ในการศึกษาล่าสุด ขณะที่พรรค ปชป.พุ่งขึ้นมาจ่อความนิยมจาก 14.2% ในการศึกษาปลายเดือน มี.ค. ขึ้นมาอยู่ที่ 23.6% ในการศึกษาล่าสุด แต่ที่น่าพิจารณาคือ ความนิยมของประชาชนต่อพรรค พปชร.ลดลงจาก 10.9% ลงมาอยู่ที่ 4.1% และพรรค รทสช.ลดลงเช่นกัน จาก 9.3% มาอยู่ที่ 3.7%

ทั้งนี้ สัดส่วนของผู้นิยมพรรคร่วมรัฐบาลยังสูงกว่าสัดส่วนของผู้นิยมพรรคร่วมฝ่ายค้านและอื่นๆ คือ 59.8% ต่อ 40.2% และเมื่อสอบถามถึงพรรคการเมืองที่ต้องการเห็นร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง พบว่า 34% ระบุ ภท.กับ ปชป., พปชร., รทสช. และอื่นๆ รองลงมาคือ 29.4% ระบุพรรค ก.ก.กับ พท.และอื่นๆ, 13.4% ระบุ ภท.กับ พท. และอื่นๆ และ 5.6% ระบุ พท.กับ พปชร. และอื่นๆ

“เมื่อปลาไม่โดดข้ามบ่อ พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางพรรคอาจใช้เครือข่ายอำนาจในมือเปลี่ยนเกมโดยมุ่งโจมตียุบพรรคในบ่อปลาเดียวกัน เพื่อให้ฝูงปลาที่ไม่โดดข้ามบ่อมาเลือกพรรคที่เหลืออยู่ มุ่งเป็นรัฐบาลและได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ตั้งไว้ ถ้าทำลายกันเองในพรรคร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นจริง ผลที่อาจเกิดขึ้นได้ตามมาคือฝูงปลาอาจถูกบังคับให้กระโดดข้ามบ่อไปสู่แลนด์สไลด์โดยพรรค ก.ก. ถึงขั้นปิดสวิตช์ ส.ว. เพราะพรรค ก.ก.กำลังทำอะไรที่โดนใจและสะใจ ก็เป็นไปได้ในทางสถิติ และอะไรจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการเปลี่ยนประเทศไทยค่อยว่ากัน  แต่ถ้าไม่มีใครเปลี่ยนเกม และไม่เกิดการโกงการเลือกตั้ง ปล่อยให้เป็นไปตามความนิยมศรัทธาของประชาชนที่อิสระ พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลในเวลานี้น่าจะเห็นความโดดเด่นเปลี่ยนผ่านมาอยู่ที่พรรค ภท.กับ ปชป.เป็นแกนนำ โดยมีฐานสนับสนุนจากพรรค รทสช.และพรรค พปชร.เป็นกำลังสำคัญให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อได้” ซูเปอร์โพลระบุ

ศรีสะเกษเทใจให้ ‘เพื่อไทย’

ขณะเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง คนศรีสะเกษเลือกพรรคไหน โดยสอบถามประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งใน จ.ศรีสะเกษ จำนวน 600 หน่วยตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงบุคคลที่คนศรีสะเกษจะสนับสนุนให้เป็นนายกฯ พบว่า 47.67% ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร, 16.50% ระบุเป็นนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์, 10.50% นายเศรษฐา ทวีสิน,  7.33% พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา,  5.17% ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้, 3.17% คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, 2.33% นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ 1% นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

สำหรับพรรคการเมืองที่คนศรีสะเกษจะเลือกให้เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต พบว่า 67.17% ระบุว่าเป็นพรรค พท., 15.83% พรรค ก.ก., 5.50% พรรค รทสช., 4.50% พรรค ภท., 2% พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.), 1.17% พรรค ปชป. และ 1% ยังไม่ตัดสินใจ ส่วนพรรคการเมืองที่คนศรีสะเกษจะเลือกให้เป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พบว่า 64.67% ระบุพรรค พท., 16.33% พรรค ก.ก., 6.17% พรรค รทสช., 3.83% พรรค ภท., 2.17% พรรค ทสท. และ 1.33% พรรค ปชป.

วันเดียวกัน ยังคงมีความเคลื่อนไหวในการเดินสายหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ อย่างคึกคัก โดย พล.อ.ประยุทธ์พร้อมแกนนำพรรค รทสช.เดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยัง  จ.พิษณุโลก เพื่อพบปะประชาชนในพื้นที่ จ.พิษณุโลก, อุตรดิตถ์ และแพร่ โดยก่อนขึ้นเครื่อง พล.อ.ประยุทธ์และคณะได้พบนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ที่กำลังเดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงราย และใช้เวลาทักทายกันประมาณ 5 นาที  และยังได้เจอ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำพรรค ภท.ด้วย ซึ่งระหว่างรอขึ้นเครื่องบินมีประชาชนมาขอถ่ายรูปกับ พล.อ.ประยุทธ์และนายวราวุธจำนวนมาก โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้อวยพรนายวราวุธว่าขอให้โชคดี

และเมื่อมาถึง จ.พิษณุโลก คณะ พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือวัดใหญ่ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ลงจากรถยนต์อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 1 ขศ 87 กทม. ทักทายแฟนคลับที่มาต้อนรับจำนวนมาก ต่างตะโกนส่งเสียงเชียร์ลุงตู่สู้ๆ  และลุงตู่อยู่ต่อ โดย พล.อ.ประยุทธ์ใช้ถ่ายรูปคู่กับแฟนคลับก่อนเข้าไปกราบไหว้ขอพรพระพุทธชินราชภายในวิหาร จากนั้นได้เดินทางไปยังพระราชวังจันทน์ เพื่อสักการะศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดยได้ถวายพานพุ่ม ดอกไม้และดาบ 2 เล่ม ก่อนเดินทางมาที่ศาลหลักเมืองพิษณุโลก ซึ่งได้มีการถวายดอกไม้และพันผ้าแพรบนศาลหลักเมือง

บิ๊กตู่เตือน ปชช.ไตร่ตรองให้ดี

ต่อมาคณะ พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทางมาที่ อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ เพื่อช่วยผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคหาเสียง โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า อยากให้ทุกคนไตร่ตรองให้ดี ถ้าเราเดินผิดนำพาประเทศชาติไปในทางที่ผิด ไม่มีชาติ  ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เราจะอยู่กันอย่างไร จะอยู่ไม่ได้

“ที่ผ่านมาผมได้ทำหลายๆ อย่างให้ปรากฏแล้ว แต่ยอมรับบางอย่างอาจไม่ดีมากนัก เพราะเป็นรัฐบาลผสม แต่ถ้าเป็นของผมและสามารถสั่งคนเดียวได้คงไม่เป็นแบบนี้ ฉะนั้นต้องทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้คะแนนมากที่สุดในสภาได้หรือไม่ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพื่อให้ได้รัฐบาลที่ดีมีประสิทธิภาพในการบริหารภายใต้ระบอบประชาธิปไตย”

ทั้งนี้ ระหว่างปราศรัย นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ผู้สมัคร ส.ส.เบอร์ 4 ประกาศหน้าเวทีว่า ประชาชนมารอลุงตู่ 3 ชั่วโมง ถ้าไม่รักไม่ศรัทธาไม่มารอลุงตู่มากขนาดนี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์สวนกลับทันทีว่า “ถ้าไม่รักก็ไม่มาเหมือนกัน เราต้องมีน้ำใจให้กันและกัน” เรียกเสียงเฮลั่นสนั่นเวที

ต่อมาเวลา 14.30 น. คณะ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมายังฌาปนสถานประตูมาร ต.ในเมือง อ.เมืองฯ จ.แพร่  เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพนางวัลลีย์ ศุภศิริ มารดาของนางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู (แม่เลี้ยงติ๊ก) ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรค รทสช.

สำหรับการเดินสายหาเสียงของ พล.อ.ประยุทธ์นั้น มีรานงานว่า วันที่ 24 เม.ย. จะลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.อุดรธานี และในวันที่ 29-30 เม.ย. จะลงพื้นที่หาเสียงภาคใต้ โดยช่วงเช้าวันที่ 29 เม.ย.ลงพื้นที่ จ.ตรัง ช่วงบ่ายปราศรัยที่ จ.พัทลุง และพักค้างคืนที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้นวันที่ 30 เม.ย. ช่วงเช้าลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.สตูล ช่วงบ่าย จ.สงขลา และในช่วงเย็นปราศรัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

ขณะที่เฟซบุ๊ก FC ลุงป้อม โพสต์คลิปตัวแทนเยาวชนจากสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพฯ และเยาวชนกลุ่มสิทธิพลเมืองและสิทธิประชาธิปไตย พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร.ระหว่างที่ พล.อ.ประวิตรมาปราศรัยหาเสียง จ.นครราชสีมา โดยเมื่อเยาวชนถามว่า พล.อ.ประวิตรไม่มีครอบครัวจะพร้อมมาดูแลคนไทยได้หรือไม่ ทำให้ พล.อ.ประวิตรกล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า การที่ไม่มีภรรยาและครอบครัวนั้น เพราะไม่ได้นำภรรยามาช่วยบริหารประเทศ ตรงนี้ตัวเบา เพราะสามารถบริหารระบบภาพรวมของประเทศได้โดยไม่จำเป็นต้องมีภรรยามาช่วย คนที่จะเป็นนายกฯ นั้น ต้องมองว่าคนไทยเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว การก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น ต้องการให้คนไทยรักเป็นหนึ่งเดียวและสามัคคีกัน

ตัวแทนเยาวชนถามว่า ปฏิเสธการดีเบตและไม่ค่อยให้สัมภาษณ์ เพราะชอบทำมากกว่าพูด หรือชอบพูดมากกว่าทำ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ชอบทำมากกว่าพูด” และเมื่อถามว่าการทำงานในวันนี้ทำไปเพราะอยากทำหรือทำด้วยเหตุผลอื่น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทำงานเพราะเป็นคนไทยคนหนึ่ง เกิดมาเพื่อแผ่นดินของบรรพบุรุษและรักษาแผ่นดินที่ต้องตอบแทนบุญคุณ ทำงานวันนี้เพื่อสถาบันและประชาชน พร้อมและจะทำงานได้ เพราะมีใจบันดาลแรง

พปชร.ลั่นไม่เอาพรรคชังชาติ

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรค พปชร. ลงพื้นที่ตลาดเช้าศิริเกษม หมู่บ้านเศรษฐกิจ เขตบางแค กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. บอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับ 2 ป. ว่าเป็นสิทธิของเขา ซึ่งต้องถามด้วยว่าเราจะอยากร่วมด้วยหรือเปล่า จุดยืนของพรรค พปชร.คืออยากก้าวข้ามความขัดแย้ง เราอยากเปิดโอกาสให้กับทุกฝ่าย แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไปรวมกับใครก็ได้ เราก็มีจุดยืนเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าพรรคไหนแนวทางไม่ตรงกัน ก็รวมกันไม่ได้ และพรรคที่มีนโยบายทำลายเศรษฐกิจ เราก็รวมด้วยไม่ได้เช่นกัน

ขณะที่พรรค ปชป.จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ โดยนายจุรินทร์ปราศรัยถึงยุทธศาสตร์ “4 ทำ 3 ไม่” ว่ามั่นใจแลนด์สไลด์ไม่มีอยู่จริง โดยยุทธศาสตร์ 4 ทำ คือ 1.จะทำประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีความเข้มแข็งยั่งยืนต่อไป 2.ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต้องมีเงื่อนไข 2 ข้อ ข้อ 1 ต้องได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมรัฐสภา และต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร 3.พร้อมเป็นนายกฯ และ 4.จะจัดการปัญหายาเสพติดให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด ส่วน 3 ไม่ คือ 1.ไม่ยกเลิกมาตรา 112 2.ไม่เอายาเสพติด และ 3.ไม่เอาทุจริตคอร์รัปชัน

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า จากการติดตามสถานการณ์มาจนถึงวันนี้ ยืนยันว่า ปชป.ในพื้นที่ทั่วประเทศดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้และกรุงเทพฯ โดยเฉพาะหลังจากอดีตหัวหน้าพรรค 3 ท่านช่วยหาเสียงอย่างเข้มแข็ง ทำให้พรรคมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป้าหมายที่ได้วางไว้แต่เดิม 70-80 ที่นั่งมีความเป็นไปได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้มีความหวังว่าจะได้มากกว่า 40 ที่นั่ง

 ที่ จ.เชียงราย นายวราวุธพบปะกับพี่น้องประชาชน รณรงค์หาเสียงช่วยนายวันชัย เจียมวิจักษณ์ ผู้สมัครเบอร์ 4 พรรค ชทพ.เขต 3 ที่โรงเรียนแม่ลาววิทยาคม ต.ดงมะดะ อ.แม่ลาว โดยนายวราวุธกล่าวว่า พรรค ชทพ.ทำงานมาตั้งแต่สมัยพ่อบรรหารถึงลูกวราวุธ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่ติดดินที่สุด เพราะตัวเตี้ยที่สุด

ด้าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรค พท. อุ้มท้อง 9 เดือน ขึ้นเวทีปราศรัยที่ดอนเมือง ซึ่งเป็นเวทีสุดท้ายก่อนลาคลอด โดยมีสามีและคนในครอบครัวมาร่วมให้กำลังใจติดขอบเวที

พท.ย้ำไม่จับมือเผด็จการ

น.ส.แพทองธารเริ่มปราศรัยว่า ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยจนถึงพรรคเพื่อไทย เป็นเวลากว่า 22 ปี ทุกคนร่วมกันต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย นโยบายของพรรคจะเปลี่ยนชีวิตของพี่น้องประชาชน ให้เป็นประชาธิปไตยที่กินได้ และมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างถาวร การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ เราต้องปิดสวิตช์ ส.ว.และ 3 ป. แต่เราเริ่มต้นจากศูนย์ ไม่มีแต้มต่อ มีแต่พี่น้องประชาชนเท่านั้นที่จะอนุญาตให้เราเข้าไปเปลี่ยนชีวิตของพี่น้องประชาชนได้

ส่วนที่ลานข้างวัดโสภาราม อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทยจัดเวทีปราศรัย โดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรค พท. กล่าวตอนหนึ่งว่า มีหลายคนบอกว่าพรรคสู้ไปกราบไป ขอยืนยันว่าพรรคยืนหยัดในระบอบประชาธิปไตย เราต่อสู้ยืนหยัดกับฝ่ายประชาธิปไตย มาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย จนถึงเพื่อไทย ขอยืนยันว่าเรายังคงต่อสู้ในกติกาประชาธิปไตยมาโดยตลอด

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ปราศรัยว่า ปัญหาค่าไฟฟ้าแพงชี้ให้เห็นถึงปัญหาการจัดการของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เปรียบถึงนโยบายบัตรสวัสดิการพลัส พรรค รทสช.ให้เดือนละ 1,000 บาท แต่ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นเดือนละ 2,000 บาท แต่พรรค พท.ชูกระเป๋าเงินวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งหากเลือก พท.ไม่ได้แค่ 10,000 บาทเท่านั้น แต่ยังได้การเติมเงินในครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ถึง 20,000 บาทเต็มให้ และค่าไฟค่าแก๊สจะลดราคาลงทันที

 “ผมฟันธงหากนายทักษิณเป็นนายกฯ  8 ปี ประชาชนหายจนไปนานแล้ว และหากรัฐบาลเพื่อไทยเป็นรัฐบาล 8 ปี ประเทศเจริญไปนานแล้ว" นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า การจับขั้วการเมืองว่า พรรคประกาศชัดมาตลอดคือ 1.หากเพื่อไทยได้คะแนนอันดับหนึ่งไม่ว่ากี่เสียงเพื่อไทยต้องตั้งรัฐบาล 2.คนเพื่อไทยเท่านั้นต้องเป็นนายกฯ และ 3.นโยบายหลักของเพื่อไทยต้องเป็นนโยบายหลัก ไม่มีความคิดจับมือกับเผด็จการ

ขณะที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ลงพื้นที่ จ.พิจิตร กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งว่า ถ้าพี่น้องประชาชนเลือกจนเกิดการแลนด์สไลด์ พรรค พท.ก็ไม่จำเป็นต้องจับมือกับใคร เพราะเราต้องการให้ทุกนโยบายที่พี่น้องประชาชนอยากได้ถูกขับเคลื่อนทั้งหมด

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้ช่วยหาเสียงพรรค ก.ก. ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตช่วยผู้สมัครหาเสียง โดยปราศรัยตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาเชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่เดิม และพรรคก้าวไกลปัจจุบันได้แสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าต้องต่อสู้เรื่องความถูกต้อง ก็พร้อมที่จะยืนเคียงข้างประชาชน ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ก่อนตอกย้ำนโยบายการปฏิรูปกองทัพและการกระจายอำนาจ 

“มีคนหาว่าธนาธรจะปฏิรูประบบราชการ ธนาธรมันสุดโต่ง ไม่ใช่สุดโต่งครับ นี่คือความเจริญก้าวหน้า ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทุกประเทศมีการกระจายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา แคนาดา ทุกประเทศที่เจริญแล้ว ไม่มีประเทศไหนรวมอำนาจและงบประมาณไว้ที่ส่วนกลางมากเท่ากับประเทศไทย” นายธนาธรระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ชาญ’นำ‘แจ๊ส’นายกอบจ.ปทุม

ลุ้นมันหยด ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กกต.ปทุมฯ ตั้งเป้าผู้ออกมาใช้สิทธิ์ร้อยละ 70 ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ "บิ๊กแจ๊ส" กับ "ลุงชาญ" คะแนนเบียดกันสูสี ก่อนที่ลุงชาญจะขึ้นนำในช่วงท้าย