แจกเงินดิจิทัลแท้ง! ชี้ขัดกม.แบงก์ชาติ/‘เศรษฐา’ปัดเลิกบัตรคนจน

“เศรษฐา” ปัดทีมเศรษฐกิจ-กฎหมายเสียงแตกปมแจงที่มาเงินดิจิทัล 10,000 บาท พร้อมแจ้นแจงไม่ยกเลิกบัตรคนจนของลุงตู่ “ธีระชัย” ฟันธงให้ 3 เหตุผลเชื่อดิจิทัล พท.แท้งแน่ เพราะเข้าข่ายกฎหมายเงินตราที่ให้อำนาจแบงก์ชาติคนเดียว “พีระพันธุ์” โวบัตรสวัสดิการพลัส 1 ปีได้เงินจริงเกินครึ่งแสน 

เมื่อวันอังคารที่ 18 เม.ย. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีทีมเศรษฐกิจและฝ่ายกฎหมาย พรรค พท. มีความเห็นคนละทิศทางในการชี้แจงนโยบายเรื่องกระเป๋าเงินดิจิทัลต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ทั้งทีมเศรษฐกิจและทีมกฎหมายนั่งกับตนเองไม่มีความเห็นต่างกันเลย ได้พูดคุยกันแล้ว และเห็นเหมือนกัน ส่วนกระแสที่จะยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อนำเงินมาใช้ในนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้นไม่เป็นความจริง ยืนยันอีกครั้งว่าทีมกฎหมายและคณะกรรมการเศรษฐกิจไม่มีแตกคอกัน ทุกอย่างยังเดินหน้าเหมือนเดิม

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่างบประมาณปี 2567 ทั้งการจัดเก็บภาษี รีดงบกระทรวงต่างๆ รวมถึงงบกลาง ยังไม่เพียงพอมาจัดทำนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต นายเศรษฐากล่าวว่า ยืนยันว่างบพอ และได้ส่งเอกสารได้ทันในระยะเวลาที่ กกต.กำหนด ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนและที่ กกต.ถามมา โดยที่ กกต.ไม่จำเป็นต้องมาทวงถามเพิ่มเติม เรารู้หน้าที่ของเรา

ถามถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมแถลงข่าวเกี่ยวกับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของพรรค พท. นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องของเขาให้เขาพูดไป เราพูดแต่เรื่องของพรรคเรา ให้ประชาชนคิดไตร่ตรองให้ดี หน้าที่ของตนเองคือการนำเสนอนโยบายที่ดีให้กับประชาชน และหากมีข้อสงสัยก็พอที่จะชี้แจง

ในขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. ยืนยันว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลของพรรคต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทุ่มครั้งเดียวแล้วให้เศรษฐกิจบูมขึ้นทั่วประเทศ ไม่กระจุกอยู่ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จะทำให้จีดีพีโตตามเป้าหมายที่ 5% สร้างงานและรายได้ให้พี่น้องประชาชนอีกมหาศาล รวมถึงให้พี่น้องประชาชนได้เรียนรู้การใช้งานบล็อกเชนที่จะเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจสำคัญในอนาคต

“ยืนยันว่าผู้ที่เคยได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน จะยังคงได้รับต่อไป” นายภูมิธรรมระบุ

ด้านนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบายพรรค พปชร. แถลงถึงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลทำได้หรือไม่ ว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ใช่นโยบายของพรรค พปชร. โดยการดูในรายละเอียดเห็นว่าเป็นโครงการที่มีอุปสรรคหลายประการไม่สามารถดำเนินการได้จริง และมีปัญหาที่ต้องแก้ไขปรับปรุง 3 ประการ ได้แก่ 1.โครงการออกแบบให้ส่งเหรียญเข้าไปในกระเป๋าดิจิทัล  โดยระบุว่าเป็นแนวคิดเหมือนการใช้คูปองให้ประชาชนนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการ ลักษณะอย่างนั้นเป็นการใช้รอบเดียว แต่แนวทางการออกแบบเหรียญดิจิทัลพรรค พท.นั้นเป็นเหรียญที่นำมาใช้วนชำระหนี้ระหว่างประชาชนด้วยกันได้  ฉะนั้นถือเป็นการออกเงินตราอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีสภาพเป็นเงินตรา จะเข้าข้อบังคับของพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 และกฎหมายยังระบุไว้ว่าการออกอะไรที่เป็นเงินตราผู้ออกสามารถขออนุญาตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ รมว.การคลังที่จะอนุญาตให้เอกชนรายใดรายหนึ่งอนุมัติสิ่งที่เป็นลักษณะเงินตราทำไม่ได้ เพราะ พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทยบัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นองค์เดียวที่มีอำนาจออกเงินตรา จึงขอแนะนำให้ไปศึกษาหาทางแก้ไขไว้แต่เนิ่นๆ

นายธีระชัยกล่าวว่า 2.เหรียญดิจิทัลออกแบบให้เป็นบล็อกเชน โดยเก็บข้อมูลในการใช้จ่ายของผู้ใช้มากถึง 54 ล้านคนโดยที่ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากเจ้าของข้อมูลก่อน ซึ่งถ้าเปิดให้เอกชนรายใดรายหนึ่งล้วงลึกเข้าไปในข้อมูลการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน 54 ล้านคนได้ จะเป็นข้อมูลที่มีมูลค่าในการตลาด มีความเสี่ยงที่จะรั่วไหล และถ้าเกิดรั่วไหลขึ้นมาจะเป็นอันตรายต่อประชาชน และ 3.รัฐบาลหน้าถึงเวลาต้องมีการจัดทำแผนแม่บทเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลสำหรับประเทศไทย เพราะแนวโน้มในการดำเนินการในระดับสากลที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจดิจิทัล

 “ปัญหาที่ผมชี้ออกมา 3 ข้อการแก้ไขไม่ใช่ง่าย เพราะการใช้เหรียญดิจิทัลที่ออกมาโดยเอกชนเป็นประเด็นในทางกฎหมายและธรรมาภิบาลอยู่หลายจุด ซึ่งถ้าไม่ดำเนินการป้องกันตั้งแต่ต้นๆ พอเดินแล้วจะสะดุดและเดินไม่ได้ ผมมีข้อกังวลว่าโครงการอันนี้จะปฏิบัติไม่ได้จริง”นายธีระชัยกล่าว

เมื่อถามว่า โครงการนี้เสี่ยงจะเกิดความเสียหายเหมือนโครงการรับจำนำข้าวในอดีตหรือไม่ นายธีระชัยกล่าวว่า  คงไม่เกิดความเสียหาย เพราะอาจไม่เกิดเลย ไม่ได้เดินหน้า เพราะถือเป็นเงินตราอย่างหนึ่ง จำเป็นต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ย้ำว่าองค์กรเดียวที่มีสิทธิและอำนาจในการออกเงินตราให้กับประเทศมีแค่เฉพาะ ธปท. ถ้าไม่ดัดแปลงจากเอกชนให้เป็น ธปท.ออกจะเดินหน้าได้ยาก ถ้าเดินหน้าไม่ได้ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

ส่วนนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และแคนดิเดตนายกฯ กล่าวถึงกรณีนำบัตรสวัสดิการพลัสเปรียบเทียบกับนโยบายการแจกเงินดิจิทัลว่า ปกติจะไม่ออกมาตอบโต้ แต่เมื่อถูกถามก็จำเป็นต้องตอบว่าเงินดิจิทัลที่บอกว่าจะแจก 10,000 บาท ไม่ใช่เงินจริง แต่บัตรสวัสดิการพลัสที่ต่อยอดมาจากบัตรลุงตู่จะได้เดือนละ 1,000 บาท 1 ปีจะได้ 12,000 บาท มากกว่าเงินดิจิทัล 2,000 บาท ถ้า 4 ปีก็จะได้ถึง 48,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นบัตรที่เป็นหลักประกันได้อีก เมื่อเดือดร้อนฉุกเฉินสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารของรัฐได้ถึง 10,000 บาท ถ้ารวมแล้วบัตรนี้จะช่วยเหลือประชาชนได้ถึง 58,000 บาท และที่สำคัญที่สุดคือนี่คือเงินจริงๆ ที่ประชาชนจะได้รับ

“นโยบายของพรรคทำตามสิ่งที่ทำมาแล้ว เวลาเราบริหารประเทศก็จะมีเงินได้ที่ทยอยมา ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะเอาเงินงบประมาณมาทีเดียวหมด ของเราเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลังและวินัยทางการเงินของประเทศ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคได้วางรากฐานจนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระบบการเงินแล้ว ดังนั้นเราจึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ด้วย ไม่เสียวินัยทางการเงินการคลัง และไม่กระทบภาวะเศรษฐกิจของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อมั่นของต่างชาติที่มีกับเงินบาทและเศรษฐกิจไทย” นายพีระพันธุ์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'มาดามเดียร์' ซัดผู้บริหาร ปชป.ก้าวข้ามหัวประชาชน

'มาดามเดียร์' ซัดผู้บริหาร ปชป. เหตุผลจะร่วมรัฐบาลก้าวข้ามความขัดแย้งหรือก้าวข้ามหัวประชาชน ชี้เป็นการตัดสินใจที่ทำลายพรรคทำลายศรัทธา ยันการกู้วิกฤตต้องเป็นฝ่ายค้านตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจรัฐ

30วันเลือกนายกปทุม

"พิเชษฐ์" แจ้งสภา 143 สส.สังกัดพรรคประชาชนแล้ว ด้าน "ณัฐวุฒิ" เผยใช้อักษรย่อ "ปชน."