พปชร.ชูค่าไฟ2.50บ.

ครม.เหงา "รัฐมนตรี"  ลาประชุมอื้อ "บิ๊กตู่" ขอช่วยกันทำงานแม้เป็นรัฐบาลรักษาการ ลั่นไม่ขัดแย้งกับใคร ย้ำคนทำผิด กม.ว่าไปตามกติกา "รทสช." ปรับแผนหาเสียง วางคิวลุงตู่เดินสาย 4 ภาคทั่วประเทศ "บิ๊กป้อม" ปลื้มโพลหนุนเบอร์ 1 นายกฯ โดดเด่นก้าวข้ามความขัดแย้ง เตรียมนั่งรถไฟไปหาเสียงโคราช "พปชร." ชูนโยบายลดค่าไฟครัวเรือนเหลือ 2.50 บาท/หน่วย ภาคอุตฯ 2.70 บาท/หน่วย "พท." เดินสายอ้อนชาวร้อยเอ็ด-กาฬสินธุ์ "อุ๊งอิ๊ง" เตือนผู้สมัครส.ส.อย่าแผ่ว ไม่ฟันธงจับมือร่วมรัฐประหาร อ้างให้เกียรติ ปชช. แต่ส่วนตัวไม่ชอบอยู่แล้ว

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 18 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีรัฐมนตรีแจ้งลาประชุม 10 คน ประกอบด้วย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน, นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน, น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม, นายสินิต เลิศไกร รมช.พาณิชย์, คุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์ รมช.ศึกษาธิการ, นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข, นายสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ และลาป่วย 1 คนคือ นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า วันนี้ตนได้ขอบคุณทุกระทรวงที่ได้ร่วมกันทำงาน แม้ช่วงนี้จะเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการ แต่ได้เน้นย้ำว่าเป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่ว่าจะมีอะไรก็ตามช่วยกันทำงานกันต่อไปในนามของรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเรายังต้องทำหน้าที่ของเราอยู่แล้ว ก็รอผลการเลือกตั้งค่อยว่ากันอีกทีว่าจะมีรัฐบาลใหม่เมื่อไหร่อย่างไร แต่วันนี้เราหยุดงานไม่ได้ แม้วันนี้จะมีการลากันบ้าง แม้ไม่อยู่ในที่ประชุม ครม.ก็ต้องทราบเรื่อง

ถามถึงผลสำรวจดุสิตโพลระบุประชาชนชื่นชอบ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาอันดับ 1 เพราะเป็นนายกฯ ช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็โอเค ก็ฟังกันไป ดูกันไป แต่ก็เปลี่ยนกันทุกวันสำหรับผลโพล เรื่องก้าวข้ามความขัดแย้งก็ว่ากันไปเถอะ อยู่ที่พวกเราว่ามองว่าขัดแย้งกันหรือเปล่า หรือไม่มีความขัดแย้ง พวกเราก็ดูกันเอาเอง

"อย่างน้อยตรงนี้ผมก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร ผมไม่เคยขัดแย้งกับสื่อ ผมไม่เคยขัดแย้งกับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเขาทำผิดกฎหมายก็ต้องทำตามกติกา เท่านั้นเอง นี่คือประชาธิปไตยไม่ใช่เหรอ ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยต่างก็มีกฎหมายเป็นของตัวเอง ประเทศไหนไม่มีบ้างล่ะ แล้วประเทศไหนที่ไม่ใช้กำลังกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น มีหรือไม่ ของเราถือว่าเบาที่สุดแล้ว และไม่อยากให้มันเกิดขึ้น ระมัดระวังกันอย่างที่สุด ก็ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่กันบ้าง อันตรายเกิดขึ้น เขามีครอบครัว มีลูกมีเมีย ไม่มีใครอยากจะทะเลาะกับประชาชนหรอก ทุกอย่างเราต้องช่วยกันปรับพฤติกรรมทั้งหมด" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการหาเสียง ก็ว่ากันไป ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ก็ขอให้ดูด้วยว่าประเทศไทยวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน หลายคนอาจจะไม่สังเกต บางคนสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ก็ไม่รู้ตัว บางคนเกิดไม่ทันว่าก่อนนี้เราลำบากแค่ไหน มีถนน มีรถไฟฟ้าแบบนี้หรือเปล่า บางคนลืมสังเกตอยากจะได้อะไรที่ดีกว่าเดิม ซึ่งรัฐบาลนี้เตรียมยุทธศาสตร์ไว้หมดแล้วจะเดินอย่างไรสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ใครเป็นพิเศษ ไม่ใช่ทำเพื่อนักธุรกิจหรือคนรวย ตนไม่ใช่คนแบบนี้อยู่แล้ว

ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงแนวทางการหาเสียงของพรรคว่า ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานจัดกำหนดการหาเสียงและการปราศรัย ได้มีการเสนอแผนปราศรัยหาเสียงไปยังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค โดยเสนอให้เริ่มต้นที่ภาคเหนือ คือ จ.พิษณุโลกและเชียงใหม่ ซึ่งจะเริ่มในสุดสัปดาห์นี้ จากนั้นเป็นภาคอีสาน ต่อด้วยภาคกลาง และไปภาคใต้

"ภาคใต้ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ผมดูแลพื้นที่มาโดยตลอด ซึ่งต้องมีการปรับแผนหาเสียง โดยได้มีการพูดคุยกับคณะกรรมการภาคว่าจะมีการปรับแผนหาเสียงก่อนการเลือกตั้งประมาณ 10 วันก่อนโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ซึ่งจากการลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ต้องมีการปรับยุทธศาสตร์ อย่างที่ผมได้ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำขอให้ประชาชนกาหมายเลข 22 และต้องเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของพรรคทุกเขต เพื่อให้ผู้สมัครเหล่านี้มาเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีบางพรรคไปหาเสียงโดยทิ้งพรรคตัวเองแล้ว ไปบอกประชาชนให้เลือกพรรคลุงตู่ แต่เลือกคนให้เลือกตัวเองเป็น ส.ส.โดยอ้างว่าเพื่อไปเลือก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ในสภา" นายธนกรกล่าว

พปชร.ชูลดค่าไฟ 2.50 บ.

ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง พรรค พปชร. กล่าวถึงกรณีสวนดุสิตโพลระบุผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ยกให้ พล.อ.ประวิตรเป็นอันดับ 1 ของนายกรัฐมนตรีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและจัดตั้งรัฐบาลราบรื่นว่า พล.อ.ประวิตรกล่าวขอบคุณประชาชนที่ร่วมกันโหวตให้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความโดดเด่นในทั้งสองด้านดังกล่าว ซึ่งผลโพลที่ออกมาสอดคล้องกับแนวคิดก้าวข้ามความขัดแย้งที่ตนเองและพรรคชูธงนำมาโดยตลอด พร้อมให้ความมั่นใจว่าจะพาคนไทยออกจากวังวนความขัดแย้งได้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทยต่อไป

"ภายหลังการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนโยบายที่ทุกพรรคการเมืองใช้ในการรณรงค์หาเสียง เพื่อนำมาปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง โดยไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก หรือเป็นพรรคการเมืองฝ่ายใด หากนโยบายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะเชื่อว่านโยบายของทุกพรรคการเมืองผ่านการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว" นายชาญกฤชกล่าว

ด้านนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ กรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร. ที่มี พล.อ.ประวิตรเป็นประธานว่า ที่ประชุมมีมติให้เสนอนโยบายการลดราคาค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือน เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และโรงงานอุตสาหกรรม เหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย โดยใช้แนวทางจากการปรับเปลี่ยนสัญญาสัมปทานผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย เป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต เพื่อทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติปรับลง และสามารถลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าได้กว่า 50% โดยคิดจากฐานค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ 4.77 บาทต่อหน่วย รวมทั้งเสนอให้ปรับโครงสร้างพลังงานไฟฟ้า โดยใช้วิธีการพักชำระหนี้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่มีมูลค่าประเมิน 1.5 แสนล้านบาท เป็นเวลา 1 ปี โดยรัฐจะการันตีอัตราดอกเบี้ยให้กับ กฟผ. และขอให้ลดการคิดค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ที่ 0.9827 บาทต่อหน่วย โดยการใช้มติของคณะรัฐมนตรี (ครม.)

อย่างไรก็ตาม หากไม่ดำเนินการค่าไฟฟ้า อีก 4 เดือนข้างหน้าค่าไฟฟ้าอาจจะขึ้นไปเป็น 5-6 บาท จะส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรม เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย เนื่องจากต้นทุนค่าพลังงานของไทยสูง หากเลือกพรรค พปชร.ให้มาเป็นรัฐบาลจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถคำนวณต้นทุนได้มีความแน่นอนมากขึ้น 

 “การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้เอื้อกลุ่มทุนใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้ราคาค่าไฟฟ้าของไทยถูกลงกว่าค่าไฟฟ้าของประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งหาก พปชร.ได้เป็นรัฐบาล หลังจากลดค่าไฟฟ้าแล้ว จะมีการตั้งคณะกรรมการที่มาจากทุกส่วน ทั้งเอ็นจีโอ เอกชน ข้าราชการมาตรวจสอบ และรายงานข้อมูลต่อประชาชนเพื่อแสดงความโปร่งใสในการปรับโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่" นายมิ่งขวัญกล่าว 

ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจกรรมและการปราศรัยหาเสียง กล่าวถึงกำหนดการลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงว่า พล.อ.ประวิตรจะลงพื้นที่ปราศรัยหาเสียงวันที่ 19 เม.ย. เวลา 17.00 น. จะไปที่วัดสมานรัตนาราม อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา จากนั้นในวันที่ 22 เม.ย. พล.อ.ประวิตรจะนำคณะแกนนำ พรรคเดินทางโดยรถไฟลงพื้นที่ปราศรัยที่ จ.นครราชสีมา โดยขบวนรถจะออกเดินทางจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ในเวลา 07.00 น. จากนั้นแวะที่สถานีดอนเมือง  สถานีรถไฟรังสิต สถานีรถไฟบ้านภาชี สถานีรถไฟหนองแซง กลางดง ปากช่อง สีคิ้ว สูงเนิน และไปจบที่สถานีนครราชสีมา ซึ่งระหว่างจุดพักแต่ละสถานี พล.อ.ประวิตรจะปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงจากบนรถไฟไปถึงประชาชน หากมีช่วงเวลาว่างอาจจะแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง จ.นครราชสีมา 

นอกจากนั้น พรรคมีกำหนดการปราศรัยในพื้นที่อื่นๆ โดยวันที่ 28 เม.ย.นี้ จะเดินทางไปที่ จ.สงขลา, วันที่ 29 เม.ย.ที่ จ.นครศรีธรรมราช และวันที่ 30 เม.ย.จะลงพื้นที่ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น, วันที่ 1 พ.ค. แกนนำของพรรคจะช่วยกันลงพื้นที่ โดยวางโปรแกรมไว้ที่ จ.ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ชัยภูมิ อุบลราชธานี ยโสธร อำนาจเจริญ อุดรธานี นอกจากนั้นยังมีภาคกลาง เช่น จ.นครสวรรค์ และจังหวัดรอบๆ กทม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.ประวิตรเสร็จสิ้นการประชุม ช่วงค่ำได้เดินทางกลับออกจากพรรค ผู้สื่อข่าวสังเกตเห็นเสื้อแจ็กเกตที่สวมใส่มีหมายเลข 37 จึงได้สอบถามว่าเสื้อมีหมายเลข 37 แล้ว พล.อ.ประวิตรจึงตอบว่า ใช่ มีเลข 37 แล้ว ไม่ใช่ของใหม่ เป็นตัวเก่าที่ไปใส่หมายเลขเพิ่ม จากนั้นผู้สื่อข่าวจึงถามถึงการลงพื้นที่หาเสียงที่จะขึ้นรถไฟจาก กทม.ไปยัง จ.นครราชสีมา ตื่นเต้นหรือไม่ โดย พล.ประวิตรหัวเราะพร้อมตะโกนว่า “โอ้โห” เมื่อถามถึงผลโพลที่ พล.อ.ประวิตรได้ที่ 1 ในประเด็นนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว เมื่อถามอีกว่าพรรค พปชร.มีนโยบายเรื่องของสิทธิมนุษยชนอย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตร ยิ้มแต่ไม่ตอบคำถาม ก่อนจะขึ้นรถเดินทางออกจากที่ทําการพรรคไป  

อิ๊งค์ลั่นไม่ชอบรัฐประหาร

ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอิทธิเดช สุพงษ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 15 คันนายาว-บึงกุ่ม (เฉพาะแขวงคลองกุ่ม) พรรค ภท. กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ได้แต่งตั้งให้ตนเป็นโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อทำหน้าที่สื่อสารชี้แจงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวหน้าพรรค รวมถึงบางเรื่องที่เป็นงานของรองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ให้สังคมได้รับรู้และเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย

พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แถลงถึงยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งโค้งสุดท้ายพรรคว่า ขณะนี้มีกระแสต่างๆ มากมายถาโถมใส่พรรค ล่าสุดมีเสียงสะท้อนจากประชาชนถึงกระแสวิจารณ์ผู้สมัครส.ส.เขตไม่ลงพื้นที่หาเสียง ชาวบ้านหาตัวผู้สมัครพรรคไม่เจอ และไม่ค่อยเห็นป้ายหาเสียงของพรรคนั้น ตนและพรรคส่งทีมงานไปตรวจสอบข้อมูลในพื้นที่ต่างๆ พบว่า ส.ส.เขตลงพื้นที่สม่ำเสมอ อาจมีส่วนน้อยลงพื้นที่ไม่มากพอ

ถามว่า ผลโพลที่ออกมาล่าสุดแม้คะแนนพรรค พท.ยังนำ แต่คะแนนไม่กระเตื้อง ขณะที่พรรคที่ตามมาอันดับ 2 แรงขึ้น น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เราไม่หวั่นใจ เพราะถ้ารวมคะแนนกับฝ่ายประชาธิปไตย เรายังนำขาด แต่ก็ไม่ประมาท อีกกว่า 20 วันที่เหลืออะไรก็เกิดขึ้นได้ ถึงบอกให้ทุกคนหนักแน่น ไม่แผ่ว ส่วนตัวอีกไม่เกิน 2 สัปดาห์ก็คลอดแล้ว แต่ไม่เป็นอุปสรรค พร้อมทำงานเต็มที่ในส่วนที่ยังทำได้ 

ซักว่า ผลโพลที่คะแนนเพื่อไทยลดลงจะเป็นปัจจัยให้ต้องจับมือฝ่ายตรงข้ามเพื่อตั้งรัฐบาลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังและน้ำเสียงหนักแน่นว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกฯ เคยพูดว่ารังเกียจรัฐประหาร ขอให้ดูหน้าตนไว้ การรัฐประหารที่เกิดขึ้น 2 ครั้ง ตนก็ไม่ได้ชอบ แต่การไม่ตอบตรงๆ เพราะให้เกียรติประชาชน ผลเลือกตั้งยังไม่เกิดขึ้น แต่คนที่ทำรัฐประหารมา ถ้าถามว่าอยากจับมือด้วยหรือไม่ เชื่อว่าประชาชนย่อมทราบดี แต่ถ้าจะให้ตอบแบบใช้อารมณ์คงไม่ใช่แนว แต่คำตอบน่าจะชัดเจนอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า ฝ่ายคู่แข่งมองว่าแม้ประชาชนจะเลือกพรรคเพื่อไทย แต่คนที่ได้เป็นนายกฯ คือนายเศรษฐา น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ตนพร้อมเป็นนายกฯ แต่นายเศรษฐา และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ก็พร้อมเป็นนายกฯ เช่นกัน แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยทั้ง 3 คนพร้อมเป็นนายกฯ อยู่ที่ผลการเลือกตั้งจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครทราบได้

ที่ จ.ร้อยเอ็ด แกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อมคณะ ลงพื้นที่เพื่อช่วยผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรค พท.หาเสียง

นายเศรษฐากล่าวถึงกรณีคะแนนนิยมของพรรคลดลงว่า อาจจะเป็นเพราะเรายังไม่ได้ลงพื้นที่ก็ได้ ตนคิดว่าหากใช้เวลาสักหน่อย ตนลงพื้นที่มากขึ้น พบปะประชาชนและพูดถึงนโยบาย ก็น่าจะเข้าใจกันมากขึ้น ส่วนวิธีการทำเพราะของแต่ละคนก็ต่างกันไป บางคนอาจจะเป็นออนไลน์ แต่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นออฟไลน์ก็ได้ จึงจะรับฟังและวิเคราะห์ให้ดี

จากนั้นคณะ พท.ได้เดินทางช่วยผู้สมัครหาเสียงที่ว่าการ อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีประชาชนร่วมฟังปราศรัยจนเต็มพื้นที่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

30วันเลือกนายกปทุม

"พิเชษฐ์" แจ้งสภา 143 สส.สังกัดพรรคประชาชนแล้ว ด้าน "ณัฐวุฒิ" เผยใช้อักษรย่อ "ปชน."