กกต.ขีดเส้นพรรคการเมืองส่งนโยบายที่ต้องใช้เงินภายใน 18 เม.ย. ก่อนเผยแพร่บนเว็บไซต์ 21 เม.ย.นี้ ขณะที่ "เพื่อไทย" เสียงแตกปมแหล่งที่มารายได้นโยบายแจก "เงินดิจิทัล 10,000 บาท" จ้องขึ้นภาษี VAT ควบหั่นงบทุกกระทรวง หากไม่เพียงพออาจกู้เงินบางส่วน แต่ไม่แจง กกต.หวั่นโดนโจมตีส่งผลลบต่อคะแนนเสียง แบไต๋ยกเลิก "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" อ้างโครงการซ้ำซ้อน งบสูงขึ้น "เต้น" โวประชาชนตื่นตัวอยากเข้าถึงนโยบาย "ศรีสุวรรณ" ไล่บี้ไม่หยุด ร้อง สตง.สอบแจกเงินดิจิทัลเสี่ยงทำลายวินัยการเงินการคลัง
เมื่อวันที่ 17 เมษายน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศ การกำหนดนโยบายของพรรคการเมือง ว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 57 กำหนดให้การกำหนดนโยบายใดของพรรคการเมืองที่ต้องใช้จ่ายเงิน นอกจากให้คำนึงถึงความเห็นของสาขา พรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดแล้ว
นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้นอย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้ 1.วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีหนังสือแจ้งให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งดำเนินการกำหนดนโยบายให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่มาตรา 57 กำหนด ก่อนที่จะนำไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบและส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมาเป็นลำดับ โดยล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีหนังสือแจ้งให้พรรคการเมืองทุกพรรคส่งนโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงินให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ ภายในวันที่ 18 เมษายน 2566 เพื่อจะได้นำไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเป็นข้อมูลอีกทางหนึ่งด้วย
ในการนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงขอประชาสัมพันธ์การกำหนดนโยบายตามมาตรา 57 ของแต่ละพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ประชาชนได้รับทราบผ่านทางเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th โดยสามารถเข้าดูได้ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2566 เป็นต้นไป
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ กกต.ขอให้พรรคการเมืองชี้แจงนโยบายเกี่ยวกับการใช้งบประมาณ ที่ยังขาดเรื่องข้อมูลการแจ้งที่มาของเงินและวงเงินที่จะใช้ว่า พรรคเพื่อไทยจะเข้าไปชี้แจงต่อ กกต.ในที่ 18 เม.ย. โดยเป็นเรื่องทางธุรการ อาจไม่จำเป็นต้องไปด้วยตัวเอง สามารถส่งหนังสือไปได้ หรืออาจจะส่งเจ้าหน้าที่ไป อย่างไรก็ดี ได้มีการสรุปข้อมูลการใช้งบประมาณต่างๆ ไว้หมดแล้ว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องนโยบายดิจิทัลวอลเลต แต่มีหลายนโยบาย ส่วนประเด็นที่จะชี้แจงนั้นไม่สามารถพูดได้ เนื่องจากมีรายละเอียดจำนวนมาก
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงปฏิกิริยาที่มีต่อนโยบายดิจิทัลวอลเลตของพรรคเพื่อไทยว่า มีทั้งประชาชนที่ตื่นตัวอยากเข้าถึงนโยบาย ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็จะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้เราเชื่อมั่นในประสบการณ์และเกียรติประวัติของพรรคเพื่อไทย ว่าสามารถทำนโยบายให้ปรากฏชัดเจนเป็นรูปธรรม พล.อ.ประยุทธ์อาจไปเทียบเคียงกับพรรคที่เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ ที่อาจจะทำนโยบายไม่สำเร็จ ยืนยันว่าไม่ใช่แนวทางของพรรคเพื่อไทย ส่วน พล.อ.ประยุทธ์มีหน้าที่กลับไปดูว่านโยบายใดที่ประกาศแล้วทำสำเร็จ และนโยบายใดที่ประกาศในนามพรรคการเมืองใหม่ อาจจะทำไม่ได้อีก
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยเปิดเผยว่า จากกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้ชี้แจงเกี่ยวกับการใช้งบประมาณนโยบายหาเสียงของพรรค ซึ่งยังขาดเรื่องข้อมูลการแจ้งที่มาของเงินและวงเงินที่จะใช้ โดยเฉพาะนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้ผู้มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ซึ่งมีประชาชนอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าวกว่า 50 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท
โดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้หารือกับทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ข้อสรุปเกี่ยวกับแนวนโยบายและที่มาของงบประมาณ เพื่อส่งคำชี้แจงต่อ กกต.ในวันที่ 17 เม.ย. อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าทีมกฎหมายและทีมเศรษฐกิจมีความเห็นไปคนละทิศละทางกัน โดยทีมกฎหมายแนะนำให้ชี้แจงที่มาของงบประมาณให้ชัดเจนเพื่อให้ กกต.สิ้นข้อสงสัย ไม่เช่นนั้นอาจจะสุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมาย และส่งผลเสียถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทยได้ในภายหลัง
“โดยเฉพาะประเด็นการเก็บภาษีจะมาจากภาษีชนิดใดบ้าง อาทิ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากจะเก็บเพิ่มจากเดิมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7 เป็นร้อยละเท่าไร เพื่อให้มีรายได้มาดำเนินการนโยบายดังกล่าว แต่มีการทักท้วงกันภายใน จึงอาจจะไม่ระบุการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมในคำชี้แจง” แหล่งข่าวระบุ
แหล่งข่าวระบุอีกว่า สำหรับงบประมาณปี 2567 ซึ่งหลังจากที่หักงบประจำ งบผูกพัน และงบใช้จ่ายหนี้เงินกู้ จะเหลือให้ดำเนินโครงการได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยเสนอให้หั่นงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ซึ่งคาดหวังว่าจะรีดได้มากสุด 1 แสนล้านบาท แต่คาดว่าหลายกระทรวงอาจจะไม่ยินยอม แตกต่างจากในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่หลายกระทรวงพร้อมใจให้หั่นงบประมาณของตัวเองลง
ทั้งนี้ เมื่อมีเงินเหลืออยู่จากงบประมาณปี 2567ประมาณ 2 แสนล้านบาท คาดการณ์ว่าจะเก็บภาษีเพิ่มได้อีก 5 หมื่นล้านบาท และหั่นงบกระทรวงกว่า 1 แสนล้านบาท ทำให้มีงบประมาณ 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่เพียงพอ ทำให้มีการเสนอให้ชี้แจงต่อ กกต.ว่าอาจจะมีการกู้เงินบางส่วนเพื่อนำมาดำเนินโครงการดังกล่าว แต่ทีมกฎหมายได้ทักท้วงเพราะอาจส่งผลกระทรวงทางกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ทำให้เกิดความเห็นขัดแย้งกันเอง
“มีข้อกังวลว่า หากระบุไปว่าอาจจะต้องกู้เงินบางส่วนในคำชี้แจง และหาก กกต.ออกมาเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว จะส่งผลลบต่อคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยทันที เพราะที่ผ่านมาแกนนำพรรคเพื่อไทยโจมตีรัฐบาลมาตลอดว่ากู้มาแจก และเหตุผลในการกู้เงินมาดำเนินการโครงการประชานิยมจะทำให้คู่แข่งมีช่องโจมตีได้”
นอกจากนี้ มีข้อถกเถียงว่าในคำชี้แจงต่อ กกต.จะระบุให้ชัดเลยหรือไม่ว่า หากพรรคเพื่อไทยดำเนินตามนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะต้องยกเลิกโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเลยหรือไม่ เพราะหากดำเนินการควบคู่กันจะเป็นภาระงบประมาณที่สูงขึ้นไปอีก แต่หากระบุชัดว่าจะยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เนื่องจากมีผู้ผ่านเกณฑ์รอบใหม่กว่า 14 ล้านคน และอยู่ระหว่างอุทธรณ์สิทธิหลายล้านคน ซึ่งจะทำให้เสียคะแนนในฐานนี้ได้ ทีมกฎหมายและทีมเศรษฐกิจจึงพยายามประวิงเวลาการชี้แจงกรณีดังกล่าวกับ กกต.
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ในวันอังคารที่ 18 เม.ย.66 เวลา 10.00 น. จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซ.อารีย์ ถ.พระรามที่ 6 พญาไท เพื่อขอให้ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจตามมาตรา 244 แห่งรัฐธรรมนูญ 2560 ประกอบมาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 53 มาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2561
เพื่อตรวจสอบว่า นโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่จะแจกเงินดิจิทัลให้แก่คนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนนั้น เสี่ยงต่อการทำลายระบบวินัยการเงินการคลังของรัฐตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ และอาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ หากพบว่ามีความเสี่ยงให้ดำเนินการแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับการเงินการคลังของรัฐโดยเร็ว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชูศักดิ์ยอมนิกร พรบ.ประชามติ ไม่ใช่กม.การเงิน
“ชูศักดิ์” ลั่นเพื่อไทยเอาแน่ ค้าความปิดปากเอาคืน “ธีรยุทธ” แต่ไม่รู้เมื่อไหร่
ไฟเขียวไร่ละ1พัน10ไร่ ตรึงค่าไฟฟ้าราคาน้ำมัน
ชาวนาเฮ! นบข.ไฟเขียวช่วยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ จ่อชงเข้า ครม.สัญจรเชียงใหม่ 29 พ.ย.นี้
อวยทักษิณชนะนายกอบจ.
"ภูมิธรรม" โว พท.ชนะนายก อบจ.อุดรฯ เป็นเรื่องธรรมดา เหตุ ปชช.ยังรัก “ทักษิณ” ชอบผลงานที่ทำมา
ตร.เชียงรายรวบ‘สามารถ’ ‘เมีย-ลูก’หมอบุญนอนคุก
"ผบ.ตร." นั่งไม่ติดตั้ง "พล.ต.อ.ธนา" คุมสอบสวนคดี "หมอบุญ"
กรมที่ดินท้ารฟท.พิสูจน์เขากระโดง
กรมที่ดินยืนยัน ไม่เพิกถอนโฉนดเขากระโดง ยึดตาม กก.สอบสวน มาตรา 61
ม็อบเสื้อเหลืองคืนชีพ ‘สนธิ’นัดบุกทำเนียบฯ2ธค. ‘อ้วน’หวั่นซํ้ารอยปิดเมือง
"ภูมิธรรม" ไม่กังวล "สนธิ" ปลุกม็อบลงถนน เป็นสิทธิตาม รธน.