ยี้เพื่อไทยปิดปากวิจารณ์ดิจิทัล

กกต.เผยมีแค่ 5 พรรคการเมืองที่แจงนโยบายหาเสียงครบถ้วนตามกฎเหล็ก 3 ข้อ ส่วน “เพื่อไทย” ยังขาดที่มาและวงเงินที่ใช้ “เศรษฐา” ร้องว้าว “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัส” ก่อนเย้ยแค่เติมปลาแห้งในน้ำข้าวต้ม ดร.ณัฐวุฒิลากไส้พวงเพ็ชร ไหนบอกเป็นพรรคประชาธิปไตย แต่ขู่ฟ้องปิดปาก ย้อนให้ดูพรรคไทยรักษาชาติที่เจ้าแม่ กทม.เคยดูแลปัจจุบันเป็นอย่างไร พร้อมยก “โภคิน” เปรียบใครน่าเชื่อถือกว่า

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 เม.ย. ยังคงมีความต่อเนื่องจากกรณีนายแสวง บุญมี  เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหนังสือลงวันที่ 10 เม.ย.2566 ถึงทุกพรรคการเมือง ที่นโยบายหาเสียงมีการใช้จ่ายเงิน ให้ชี้แจงรายละเอียดให้ครบถ้วนตามที่มาตรา 57 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2561 โดยกำหนดกลับมายังสำนักงาน กกต.ภายในวันที่ 18 เม.ย.นั้น

ล่าสุดมีรายงานว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 12 เม.ย. ใน 70 พรรคการเมือง มีพรรคการเมืองทยอยแจ้งรายละเอียดกลับมาเพิ่มอีก 3 พรรคการเมือง ทำให้เมื่อรวมกับ 6 พรรคการเมืองที่แจ้งรายละเอียดมา ก่อนที่สำนักงาน กกต.มีหนังสือแจ้งไป    ขณะนี้มีพรรคการเมืองได้ดำเนินการตามมาตรา 57 แล้ว 9 พรรคการเมือง ในจำนวนนี้มี 5 พรรคการเมืองที่ดำเนินการครบถ้วนทั้ง 3 ข้อ คือ 1.ระบุวงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย และ 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.), พรรคภูมิใจไทย (ภท.), พรรคทางเลือกใหม่ (ทลม.), พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (ค.พ.ช.) และพรรคไทยรวมไทย (ทรวท.) ส่วน 4 พรรคการเมืองที่รายงานมา แต่รายละเอียดไม่ครบถ้วน และสำนักงาน กกต.ได้มีหนังสือแจ้งให้ดำเนินการให้ครบถ้วน ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคประชาภิวัฒน์ (ปชภ.) ที่ขาดการแจ้งที่มาของเงินและวงเงินที่จะใช้ พรรคประชาธิปไตยใหม่ (ปธม.) ขาดการแจ้งผลกระทบและความเสี่ยง และพรรคเพื่อชาติ (พ.ชต.ท.) ขาดการแจ้งทั้ง 3 เงื่อนไข

ขณะที่อีก 61 พรรคการเมืองที่เหลืออาทิ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.), พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.), พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.), พรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.), พรรคก้าวไกล (ก.ก.), พรรครักษ์รักษ์ผืนป่าประเทศไทย (รป.), พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.), พรรคไทยภักดี  (ทภด.), พรรคไทยศรีวิไลย์ (ทศล.), พรรคประชาชาติ, พรรคเปลี่ยน (ป.), พรรคเส้นด้าย (สด.), พรรคพลังปวงชนไทย (พลท.), พรรคพลังธรรมใหม่ (พธม.), พรรคพลังไทยรักชาติ (พทรช.) และพรรคคลองไทย (คล.ท.) ยังไม่แจ้งรายละเอียดใดมาเลย

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ชทพ. กล่าวว่า เอกสารนโยบายว้าวไทยแลนด์ของพรรคดำเนินการทำเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่มีปัญหา ซึ่งนายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคจะส่งให้ กกต. ในวันที่ 15 เม.ย. ซึ่งได้ประสานแล้วว่าจะมีเจ้าหน้าที่เข้าเวรคอยรับเรื่องอยู่

 นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค กล่าวว่า นโยบาย รทสช.จะช่วยกลุ่มเป้าหมายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท กู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาททุกช่วงวัย ค่าตอบแทน อสม. 2,000 บาท กองทุนฉุกเฉินประชาชน 30,000 ล้านบาท

 “นโยบายเรามีความชัดเจน ชี้แจงรายละเอียดต่อ กกต.ได้ ไม่เหมือนกับอีกพรรค ที่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่จะนำมาแจกเอามาจากไหน และถูกโจมตีอย่างมาก เพราะแค่พูดออกมาแล้วคิดภาพตาม ก็มองออกว่าต้องการหาเสียงเท่านั้น ซึ่งอาจทำไม่ได้จริง อย่าฝันค้างเลย ประชาชนมีวิจารณญาณ นโยบายนี้ กระทบต่องบประมาณแผ่นดิน และกระทบเศรษฐกิจการเงินการคลัง” นายธนกรกล่าว

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการชี้แจงนโยบายเงินดิจิทัลแก่ กกต.ว่าไม่ทราบข้อมูลตรงนี้ แต่มั่นใจในทีมงานกฎหมายและทีมงานพรรค พท. ว่าถึงอย่างไรเราก็ทำตามกฎ นโยบายเราค่อนข้างที่จะทำเยอะและโดนใจ อาจจะเป็นนโยบายใหม่หน่อย แต่เราก็พร้อมที่จะชี้แจง

เย้ยแค่หยอดปลาแห้ง

เมื่อถามว่า ล่าสุดมีการเปิดตัวเลขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสออกมาเป็นเดือนละ 1,000 บาท และบอกว่าได้มากกว่าพรรค พท. นายเศรษฐาถึงกับอุทานว้าว ก่อนระบุว่าธรรมดาก็ไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายพรรคอื่นเท่าไหร่ แต่เมื่อถามมาก็คงต้องตอบ ของเรา 10,000 บาทให้ใช้ภายใน 6 เดือนใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นครั้งใหญ่ครั้งเดียว เราเชื่อว่าจะช่วยเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่มากระจุกตัวที่เมืองใหญ่ แต่ที่ถามว่าเดือนละ 1,000 บาท 12 เดือน ก็จะเป็น 12,000 บาท ใช้ที่ไหนก็ได้ ก็ยังเป็นลักษณะของการหยอดน้ำข้าวต้ม แต่อาจจะเติมปลาแห้งไปอีกสักนิด คงไม่มีอะไร

“ฝากพี่น้องประชาชนตัดสินแล้วกันว่านโยบายของใครดีกว่า ก็คงไม่ขอตอบเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทกับพรรคอื่น เขาก็คงมีความเชื่อมั่นของเขา ผมก็ให้เกียรติเขา อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินไม่ใช่ตัวชี้นำว่าพี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์เสมอไป ลักษณะที่เราคิดนโยบายในเชิงลึก เชิงรายละเอียด เป็นประเด็นที่สามารถทำให้พี่น้องประชาชนสามารถตัดสินใจได้เหมือนกัน การหยอดปลาแห้งไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะได้ประโยชน์เสมอไป” นายเศรษฐากล่าว

เมื่อถามต่อว่า มีการตั้งข้อสังเกตหรือไม่ว่าเมื่อคำนวณรวมแล้วเขาให้มากกว่าเรา แต่ทำไมเราถูกวิจารณ์หนักกว่า นายเศรษฐากล่าวว่า ก็ต้องเป็นหน้าที่ของพี่น้องประชาชนที่จะต้องตั้งข้อสังเกตเอง

ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชนคนดัง กล่าวถึงกรณีนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กทม.พรรค พท. ขู่ฟ้องผู้วิจารณ์นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทว่า ชาติปางก่อนนางพวงเพ็ชรอาจเกิดเป็นงูเห่า พฤติกรรมชอบข่มขู่ประชาชนที่แสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริต โดยไม่ได้ศึกษาข้อกฎหมายหรือปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรค พท.ก่อน

“ไหนว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย เพียงแค่ประชาชน นักวิชาการหรือพรรคการเมือง ต่างตั้งคำถาม นโยบายแจกเงินดิจิทัล แต่กลับมีพฤติการณ์จะปิดปากพี่น้องประชาชน โดยการขู่จะแจ้งความบ้าง จะฟ้องกลับบ้าง ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง กลับแสดงพฤติกรรมออกมา ถามว่าพฤติกรรมข่มขู่แบบนี้เป็นเผด็จการหรือไม่ อย่างไร จะเอากฎหมายปิดปากประชาชน” ดร.ณัฐวุฒิระบุ

ดร.ณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า นางพวงเพ็ชรควรอ่านสิทธิขั้นพื้นฐานรัฐธรรมนูญ ในการพูด แสดงออก เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ประชาชนสามารถกระทำได้ และต้องแยกแยะด้วยว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการพูด ในการแสดงความคิดเห็น กับคำว่าใส่ความ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การใส่ความเป็นการลดคุณค่าในสังคม แต่ประชาชนเห็นต่างเชิงตั้งคำถาม มีผิดกฎหมายอาญาและกฎหมายเลือกตั้งตรงไหนอย่างไร นางพวงเพ็ชรไม่สามารถตอบคำถามได้ เพราะนโยบายแจกเงินดิจิทัลพรรค พท.ประกาศบนเวที แต่ไม่ระบุรายละเอียดให้ทราบว่าเงินดิจิทัลสกุลเงินใด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศรับรองหรือไม่ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศรับรองหรือไม่ การแจกเงินเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่ แล้วงบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาทเอางบประมาณมาจากไหน ในเมื่อประเทศไทยเหลืองบประมาณในปี 2567 เพียง 2 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะพุ่งหรือไม่ หรือที่ประชาชนตั้งคำถามว่าเด็กแรกเกิดถึงอายุ 15 ปีไม่ได้รับสิทธิ แต่เป็นหนี้ประชากรรายหัว จะตอบกับผู้ปกครองทั้งประเทศว่าอย่างไร ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ทำได้เหมือนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองออกมารณรงค์คัดค้านกัญชาเสรีของพรรคการเมืองหนึ่ง

“คุณคิดเป็นนักการเมือง แต่ใจแคบยิ่งกว่ามด อย่าเป็นเลยนักการเมือง นายทักษิณเรียกใช้บริการคนแบบนี้ได้อย่างไร ดูถูกดูแคลนพี่น้องประชาชน หากพี่น้องประชาชนคนใดถูกนางพวงเพ็ชรหรือพรรคเพื่อไทยดำเนินคดีอาญา ให้ประสานมาที่ผม จะส่งทนายความไปช่วยและให้ฟ้องกลับทันที จะได้เป็นคดีตัวอย่างในประเทศไทย นางพวงเพ็ชรไม่มีความรู้กฎหมาย เจ้าแม่ กทม.ตรงไหน ใจเท่ากับมด แต่กลับมาข่มขู่ประชาชน ต้องสั่งสอนในวันเลือกตั้ง” ดร.ณัฐวุฒิกล่าว

ชี้ ‘โภคิน-พวงเพ็ชร’ ใครน่าเชื่อถือ

นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ยังกล่าวถึงกรณีนายโภคิน พลกุล ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) วิจารณ์นโยบายเงินดิจิทัลว่า เหมือนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เพราะนายโภคินเคยนั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านนโยบายและแผนงานของพรรคเพื่อไทยมาก่อน ย่อมรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้ต่อนโยบายดังกล่าวหรือไม่ ส่วนที่นางพวงเพ็ชรยืนยันว่านโยบายแจกเงินดิจิทัลสามารถทำได้จริง ให้ชั่งน้ำหนัก ระหว่างนายโภคินเคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ทั้งอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด อดีตรองนายกฯ อดีตประธานรัฐสภา เทียบเคียงกับนางพวงเพ็ชร พี่น้องประชาชนจะเชื่อใคร ให้ประชาชนชั่งน้ำหนักเอาเอง

ดร.ณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกรณีนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเชิงตั้งคำถาม รวมถึง ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ประธานคณะกรรมการกำกับความเสี่ยงธนาคารธนชาต และอดีตนายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ต่างให้ความเห็นในเชิงวิชาการ ลักษณะห่วงใยบ้านเมือง การแจกเงินดิจิทัลเพื่อไทย ว่าการวิเคราะห์เป็นไปตามหลักวิชาการ โดยนำรายชื่อคณะกรรมการสถาบันต้นไม้แห่งประชาธิปไตยมาตีแผ่ ให้เห็นที่มาที่ไปของนโยบายแจกเงินดิจิทัล ที่มีคณะทำงานบางคนไปโพสต์ว่า อยากเห็นเศรษฐกิจไทยพินาศ แต่มาร่วมงานและคิดนโยบายแจกเงินดิจิทัล และหากใครเห็นต่างกับพรรคเพื่อไทย กลับมองว่ามีอคติกับพรรคเพื่อไทยบ้าง เป็นสลิ่มบ้าง ใส่ความบ้าง  ดิสเครดิตพรรคเพื่อไทยบ้าง ขู่จะฟ้องกลับ  แล้วบ้านเมืองจะก้าวข้ามความขัดแย้งได้อย่างไร

“อย่าไปตื่นตกใจกลัว ย้อนดูสถิติพรรคไทยรักษาชาติ ขณะนั้นนางพวงเพ็ชรกุมบังเหียนอยู่ ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคเพราะอะไรอย่างไร ขณะเดียวกันกระบวนการตรวจสอบโดยภาคประชาชนต่อนโยบายพรรคการเมืองทุกพรรค จะทำให้ได้นายกฯ ผู้นำประเทศที่สง่างาม มีภาวะผู้นำสูง ยอมรับความเห็นต่าง มือสะอาด ไม่ทุจริตคอร์รัปชันเชิงนโยบาย คำว่าประชาธิปไตยกินได้ ไม่ได้หมายความว่า รับเงิน 300 บาท 500 บาท เข้าคูหาแล้วไปกาเบอร์นั้น พี่น้องประชาชนจะตกเป็นทาสไป 4 ปี อย่าไปขายเสียง ทุกคนมีศักดิ์ศรี ไม่ได้บอกว่าไม่ให้เลือกพรรคการเมืองใด แต่ให้ประชาชนมีสติ ศึกษานโยบายทุกพรรคการเมือง วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียก่อนไปหย่อนบัตร อย่าให้ใครนำนโยบายขายฝันมาหลอกลวงได้” ดร.ณัฐวุฒิกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง