แจกหมื่นได้ไม่คุ้มเสีย ห่วงคลังถังแตกเหลือ2แสนล้าน/กกต.ขีดเส้นตายเพื่อไทย

กกต.ขึงขัง ขีดเส้นเพื่อไทย ชี้แจงที่มา-วงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พร้อมผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ก่อน 18 เม.ย.นี้ พท.ยิ่งพูดยิ่งมัดตัวเอง  “ศรีสุวรรณ” ตามขยี้ ส่อเจตนาทำผิดกฎหมายเงินตรา นายกฯ เผย ธปท.-คลังห่วงเสถียรภาพการเงิน

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ยังคงเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองที่หลายฝ่ายยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 11 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พบว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้แจ้งวงเงินที่จะใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการตามนโยบายหาเสียงแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท ตามที่มาตรา 57 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2561 กำหนดไว้  

ล่าสุด นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ได้มีหนังสือแจ้งไปยังพรรคเพื่อไทย ว่านโยบายหาเสียงที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินที่พรรคได้มีการแจ้งมา ยังมีรายการที่ดำเนินการไม่ครบถ้วนตามมาตรา  57 วรรคหนึ่ง (1) คือขาดที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ และวงเงินที่ต้องใช้ในการดำเนินการ รวมทั้งสิ้น 62 นโยบาย โดยให้พรรคเพื่อไทยแก้ไขรายการดังกล่าวให้ครบถ้วนถูกต้อง และแจ้งกลับมายังสำนักงาน กกต. ภายใน 7 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ

นอกจากนี้ เลขาธิการ กกต.ยังได้มีหนังสือแจ้งถึงหัวหน้าทุกพรรคการเมือง เรื่องการกำหนดนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง เน้นย้ำให้พรรคการเมืองต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย การกำหนดนโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงิน ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 57 โดยต้องมีรายการอย่างน้อย 1.วงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงินที่จะใช้ดำเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย โดยพรรคการเมือง ต้องระบุรายละเอียดดังกล่าวเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และแจ้งต่อ กกต. จึงให้พรรคการเมืองแจ้งรายละเอียดดังกล่าวต่อสำนักงาน กกต.ภายในวันที่ 18 เมษายนนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หนังสือดังกล่าวยังระบุด้วยว่า การหาเสียงของพรรคต้องไม่ขัดหรือแย้งกับแนวที่กำหนดเป็นนโยบายของพรรคการเมืองตามมาตรา 74  พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.2561 หากพรรคไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ กกต. ตามมาตรา 57 วรรคสอง ต้องระวังโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และปรับอีกวันละ 1 หมื่นบาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง และถ้าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 74 หรือหาเสียงไม่ว่าด้วยประการใดให้ประชาชนหลงเชื่อหรือเข้าใจผิดว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมือง ตามมาตรา 74 ต้องระวังโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์ผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

 ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา  เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และกรรมการ เลขานุการ โฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย ชี้แจงเพิ่มเติม 10 ประเด็นเกี่ยวกับ “กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท” เมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ แต่เป็นเหรียญ (คูปอง) หรือสิทธิ์การใช้เงิน ที่ใช้ Blockchain เขียนเงื่อนไขลงไปในนั้น เพื่อนโยบายการคลังที่ตรงจุด สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้ทุกเมื่อนั้น เมื่อพรรคเพื่อไทยแจ้งว่าไม่ใช่คริปโตเคอร์เรนซี เป็นเพียงเหรียญ (คูปอง) ที่สามารถเอามาแลกเป็นเงินบาทได้นั้น อาจถือได้ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังจะสร้างเงินตราในรูปแบบใหม่ขึ้นมาใช้ อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยตรง จึงไม่ต่างอะไรกับ “เบี้ยกุดชุม” ที่ผิดกฎหมายของชุมชนตำบลนาโส่ อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ที่โด่งดังเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

นายศรีสุวรรณกล่าวว่า เมื่อพรรคการเมืองกำหนดนโยบายที่อาจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย จึงเป็นหน้าที่ของ กกต./นายทะเบียนพรรคการเมือง ที่จะต้องสั่งให้ระงับยับยั้ง โดยดำเนินการบังคับใช้มาตรา 22 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 โดยเคร่งครัด สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนให้ กกต./นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวในวันพุธที่ 12 เม.ย.66

ขณะเดียวกัน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 11 เม.ย.เสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายหาเสียงเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย คิดว่าทำได้หรือไม่ ในฐานะที่เป็นรัฐบาลมา 8 ปี ว่าได้ให้โอกาสหน่วยงานด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังมาชี้แจง แต่ไม่ได้อยากไปอะไรกับใคร เพราะเป็นเรื่องของการหาเสียงของแต่ละพรรค วันนี้มาพูดคุยถึงการรักษาเสถียรภาพทางการเงินการคลังของประเทศ และการใช้จ่ายของประเทศที่ผ่านมา เราใช้จ่ายอย่างไร เพื่อจะพุ่งเป้าไปยังผู้ที่เดือดร้อน ทำให้เกิดรายได้ เรื่องการประกอบอาชีพต่างๆ เพิ่มเติมด้วย ไม่ใช่ให้เงินอย่างเดียว โดยจะเห็นได้ว่าในส่วนที่เป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ร่วมทำกันมาแล้ว ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนไปได้มากพอสมควร ทั้งนี้ ต้องดูเม็ดเงินว่าจะสามารถทำอะไรได้อีก ฉะนั้นงบประมาณต่างๆ ของปี 2567 ตั้งไปแล้ว ถ้าจะไปแก้ไขอะไร ต้องไปแก้กันในสภาหน้า เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นกฎหมายเป็นระเบียบที่ต้องทำ งบประมาณไว้ก่อนล่วงหน้าในปี 2567

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ถ้าเรามองในภาพรวมจะเห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ซึ่งคำว่าดีขึ้นไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะร่ำรวยทั้งหมด เพียงทำให้สถานะทางการเงินการคลังของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญจะต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้ได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งวันนี้เดินหน้าไปเยอะแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นรายได้ที่จะเข้ามาตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างที่หลายคนอยากได้มากขึ้น ถ้าเราหาเงินไม่ได้ก็จะลำบาก ซึ่งต้องใช้เวลาทำต่อเนื่องหลายปี และหลายอย่างเราทำใหม่ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่จะต้องใช้งบประมาณสูงขึ้นในโอกาสต่อไป

 “ฉะนั้น จะทำอะไรใหม่ๆ ก็ตาม จะต้องคำนึงถึงว่าเรามีทรัพยากรอยู่เท่าไหร่ เราจะดูแลใครได้บ้าง และดูแลได้มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้นการจะทำอะไรต่างๆ ก็ตาม ถ้ามันมากเกินไป สิ่งที่ทำอยู่แล้วเดิมก็สูญเสียไปทั้งหมดนั่นแหละ อะไรที่เคยได้มันก็จะไม่ได้ เพราะไปทำเรื่องใหม่ทั้งหมด ซึ่งมันจะคุ้มค่ากันหรือเปล่ากับการสูญเสียไป ก็ไม่รู้เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องของประชาชนที่จะต้องช่วยกันคิดแล้วกัน” นายกฯ ระบุ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  และกระทรวงการคลังมีข้อเสนอแนะหรือมีข้อห่วงใยอะไรหรือไม่ในเรื่องดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า ขอให้ระมัดระวังเรื่องความมีเสถียรภาพของสถานะทางการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งตอนนี้เราอยู่ในระดับต้นๆ ที่รักษามาตรฐานตรงนี้ไว้ได้ องค์กรทางด้านการเงินระหว่างประเทศชื่นชมเราสามารถบริหารจัดการได้ดี การเงิน เรามีเสถียรภาพ ค่าเงินบาทยังโอเค มีค่าอยู่ หลายๆ อย่างมันดีขึ้น เพียงแต่ว่ายังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับประชาชนโดยรวม ต้องเห็นใจรัฐบาลด้วย ถ้ามีเราก็ดูแลให้ได้หมด อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งต้องระมัดระวังที่สุดในการใช้จ่ายเงิน

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนโยบายของพรรคการเมืองจะต้องชี้แจงต่อ กกต.ทุกนโยบายหรือไม่ ว่าไม่ต้องทุกนโยบาย เพราะบางอย่างเขาพูดไปเองก่อนได้ แต่บางอย่างที่มีข้อสงสัยเข้าข่ายมาตรา ทาง กกต.ก็ถามกลับมา เพราะต้องบอก กกต.ถึงแหล่งเงินที่จะใช้ และยอดเงินรวมทั้งหมดที่จะใช้

เมื่อถามว่า ถ้าเจ้าของนโยบายชี้แจงกับนโยบายแล้ว จะต้องออกเป็นกฎหมายใหม่หรือสามารถเกลี่ยงบประมาณเดิมที่มีอยู่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่รู้ว่าเขาคิด เขาทำอย่างไร และไม่รู้ว่าเขาเอาเงินมาจากไหน ซึ่งที่ประชุม ครม.วันนี้ได้มีการชี้แจงโดยคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลังว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 ที่กำลังจะออกมา หลังจากที่หักงบประจำงบเงินเดือน งบผูกพัน และงบใช้จ่ายหนี้เงินกู้ ยังเหลือวงเงินที่มาบริหารจัดการโครงการใดก็ได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท เว้นแต่ว่าถ้าเก็บภาษีได้เพิ่มโดยอัศจรรย์ หรือได้มาโดยวิธีอื่น ยอดเงินทั้งหมดของงบประมาณที่เตรียมไว้ที่ทำเสร็จแล้ว รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาปรับปรุงแน่ และจะจัดการอย่างไรก็จะจัดการกับเงิน 2 แสนล้านบาทนี้

ต่อข้อถามที่ว่า หากต้องกู้ก็ต้องนำเข้าสภาพิจารณา และหากไม่เห็นด้วยต้องศาลรัฐธรรมนูญตีความใช่หรือไม่ นายวิษณุได้พยักหน้าและกล่าวว่า ไม่เหมือนกับโควิดที่ออกพระราชกำหนด

รองนายกฯ กล่าวอีกว่า ในการประชุม ครม.วันนี้ ที่ตัวแทนจากคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลังเข้าร่วมประชุมด้วย นายวิษณุกล่าวว่า ไม่มีใครตั้งข้อสังเกต มีแต่ฟังคำอธิบาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้พรรคการเมืองมีการออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายกัน โดยเพิ่งได้ฟังการให้สัมภาษณ์ของพรรคเพื่อไทยว่าใครเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะไม่ได้รับเงินจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ เรื่องนี้ต้องคิดหลายอย่าง ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ เก่งแต่แจกเงิน ทุกเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน แต่วันนี้พรรคเพื่อไทยมาทำในจำนวนเงินที่มากกว่า ให้กับทุกคนทั้งคนทั่วไปและเจ้าสัว ถือเป็นตรรกะที่ไม่ตอบโจทย์ประเทศ จึงเป็นที่สังเกตว่าการใช้นโยบายสุดโต่งหาเสียงแบบนี้ ประชาชนเขาฉลาดจะทราบว่านโยบายเสียงไหนหาเสียงแล้วทำได้หรือไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทบทวนนโยบายเหล่านี้

นายธนกรกล่าวว่า นโยบายดังกล่าวต้องระวังในเรื่องของผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย ซึ่งมองว่าตอบสังคมไม่ได้ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องวินัยการเงินการคลัง ซึ่งที่ผ่านมามีหลายประเทศที่ล่มสลายเพราะประชานิยมสุดโต่ง อย่างเช่นประเทศเวเนซุเอลา ประเทศเขาพังไปแล้ว จึงอยากให้คนไทยทบทวนสิ่งที่พรรคการเมืองบางพรรคเสนอ ซึ่งแตกต่างจากพรรครวมไทยสร้างชาติที่ทำได้จริงและสำเร็จมาแล้ว

"ประชาชนเขาต้องกังวล ไปรับ 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย แล้วไม่ได้บัตรสวัสดิการพลัส ปีละ 12,000 บาท ที่ชัวร์ๆ อยู่แล้ว และยังไม่รู้ว่าจะไปตัดเบี้ย อสม.และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุหรือไม่ ผมคิดว่าไปกันใหญ่ ถือว่าไม่ยั่งยืน ต่างจากเราที่ยั่งยืนอยู่แล้ว แต่สิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิดคือหาเสียงอย่างเดียว" นายธนกรกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปิดป่าฯ-สลาย“ปชป.” กฐินร้อนจ่อสอย“อิ๊งค์”

เป็นไปตามคาด เมื่อ “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค พท. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า สส.ไม่สบายใจที่จะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะพฤติกรรมแทงข้างหลังและไม่ยอมรับนายกฯ คนที่ 31 ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค

30วันเลือกนายกปทุม

"พิเชษฐ์" แจ้งสภา 143 สส.สังกัดพรรคประชาชนแล้ว ด้าน "ณัฐวุฒิ" เผยใช้อักษรย่อ "ปชน."