พท.‘ลักไก่’กกต. แจกหัวละหมื่นไม่บอกที่มาเงิน‘ชินน่าน’อ้างรอข้อมูล

กรุงเทพฯ ๐ จับตาเพื่อไทยส่อลักไก่!   กกต.ทวงที่มางบประมาณนโยบายแจกหัวละหมื่นด้วย เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องแจ้ง "ชลน่าน" อ้างอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเอกสาร ไม่มีปัญหาอะไร "เศรษฐา" ท่องคาถา 8 ปีประเทศบอบช้ำเยอะ หยอดน้ำข้าวต้มทีละ 500 หรือ 1,000 ไม่พอ ส่วนก้าวไกลได้ทีถล่มซ้ำ คิดว่าเพื่อไทยจะปรับปรุงโครงสร้างภาษีด้วย แต่กลับไม่แตะ

     เมื่อวันที่​ 8​ เมษายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายเศรษฐา​ ทวี​สิน​ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี​พรรคเพื่อไทย ​ ปราศรัยชูนโยบายแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัลให้​คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปคนละ 10,000 บาท​นั้น พรรคเพื่อไทยมีการแจ้งนโยบายหาเสียงดังกล่าวมายัง กกต. ตามที่นายเศรษฐา​ปราศรัยตอนหนึ่งของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่​ 5 เม.ย. มายัง กกต. ตามมาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 แล้ว แต่ไม่มีการระบุวงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงิน รวมทั้งยังมีอีกหลายนโยบายที่ไม่ได้ระบุวงเงินที่ต้องใช้และที่มาของเงิน โดย กกต.จะมีการแจ้งให้พรรคดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

     ทั้งนี้ มาตรา 57 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 กำหนดว่า การกำหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณานโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้นอย่างน้อยต้องมี 1.วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดำเนินการ ส่งความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดำเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย หากพรรคการเมืองไม่ได้จัดทำรายการดังกล่าวให้กกต.สั่งให้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด

     วันเดียวกันนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริ 2 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแกนนำพรรค ลงพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อเปิดเวทีปราศรัยหาเสียงเป็นครั้งแรกหลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้ง 3 คน รวมถึงเปิดนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพื่อเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง

     โดยนายเศรษฐากล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาเตือนว่านโยบายเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทยจะทำให้ประเทศพังว่า เป็นความเห็นของ พล.อ.ประยุทธ์ แค่ 8 ปีที่ผ่านมาประเทศบอบช้ำเยอะ การหยอดน้ำข้าวต้มทีละ 500 หรือ 1,000 บาท ไม่ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจดีขึ้น และย้ำว่าเงิน 10,000 บาทที่จะเติมในกระเป๋าดิจิทัลมีที่มาที่ไป และมั่นใจว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ในรูปแบบของภาษีและการจัดการงบประมาณปีหน้า ซึ่งยังไม่ผ่านสภา หากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล มั่นใจจะสามารถจัดการงบประมาณเหล่านี้ได้

     เมื่อถามย้ำว่า นโยบายยังไม่เริ่ม แต่พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นห่วงถึงสถานการณ์ของประเทศ นายเศรษฐากล่าวว่า เพื่อไทยคิดใหญ่ ทำเป็น และต้องทำให้ได้

     ด้านนายชัยเกษมกล่าวเสริมว่า ที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นห่วง เพราะคิดถึงหนี้ที่ก่อไว้จำนวนมาก แต่พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าไม่มีปัญหา และหากรัฐบาลไม่สร้างนี้ไว้จำนวนมาก เพื่อไทยคงไม่ต้องคิดนโยบายให้ประเทศดีขึ้น

     เมื่อถามอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ยกตัวอย่างหลายประเทศที่ใช้สกุลเงินดิจิทัลแล้วทำให้ประเทศล่มสลาย นายเศรษฐากล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เข้าใจสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกำลังทำ จึงแนะนำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลับไปอ่านและทำความเข้าใจนโยบายเพื่อไทยให้ดี

อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล

     ส่วนที่ กกต.ให้พรรคเพื่อไทยชี้แจงถึงแหล่งที่มาและวงเงินในนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล นายเศรษฐากล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยินดีให้ความร่วมมือกับ กกต. ซึ่งขณะนี้คณะทำงานด้านเศรษฐกิจและกฎหมายอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเอกสาร ซึ่งจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ชี้แจงเป็นกิจจะลักษณะ

     ด้าน นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องนี้ได้ดำเนินการตามมาตรา 57 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 2560 แล้ว แต่ยังเหลือแค่รายละเอียดของแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในนโยบาย พรรคเพื่อไทยก็ยินดีที่จะปฏิบัติตาม กกต. ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนหนี้สาธารณะของประเทศที่รัฐบาลนี้ก่อไว้จะเป็นปัญหากับนโยบายนี้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็ไม่เชิง แต่เพื่อไทยแก้ไขได้ เพราะอาสาเข้ามาแก้ปัญหา จะบอกแบบนั้นก็ไม่เชิง เพราะมันเป็นปัญหา ยืนยันว่าเข้ามาฟื้น ไม่ใช่เข้ามาพัง

     ขณะที่นายชัยเกษมกล่าวเสริมว่า  แน่นอนนโยบายของพรรคเพื่อไทยเข้ามาฟื้นเศรษฐกิจ ไม่ได้เข้ามาพังเศรษฐกิจ และทุกอย่างที่พรรคเพื่อไทยทำ มีการคิดมาอย่างดีแล้วจึงจะทำ และไม่ได้ทำเฉพาะการหาเสียงเท่านั้น แต่ทำเพื่อแก้ปัญหาที่รัฐบาลที่แล้วสร้างปัญหาไว้ให้กับประเทศ และมั่นใจว่ากรณีที่ กกต.เชิญไปชี้แจงถึงการจัดทำนโยบายจะไม่เกิดปัญหาอะไร

     โดยนายเศรษฐาพูดเสริมว่า เป็นการชี้แจง ไม่ได้แก้ไข ขณะเดียวกันนายแพทย์ชลน่านยืนยันเช่นกันว่า กกต.ไม่มีอำนาจสั่งแก้ไขหรืออนุญาต อนุมัติในเรื่องของนโยบาย เพียงแต่ตามกฎหมายต้องแจ้งให้ กกต.ทราบถึงเรื่องที่มาของรายได้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการชี้แจงต่อ กกต.

     ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ กกต.ระบุว่านโยบายแจกเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปของพรรคเพื่อไทย ไม่ผิดกฎหมายสัญญาว่าจะให้ คิดว่าจะเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรค พท.มากขึ้นหรือไม่ เพราะถือว่าได้ไฟเขียวที่จะนำไปใช้นโยบายในการหาเสียงว่า ความเห็นของ กกต.ถือว่าตรงไปตรงมา เพราะการทำนโยบายต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะเป็นไฟเขียวให้นโยบายนี้ เพื่อเป็นการสร้างคะแนนนิยมให้พรรค พท. ไม่ใช่ไฟเขียวจาก กกต. แต่เป็นไฟเขียวจากประชาชนมากกว่า ตอนนี้คิดว่าพรรค พท.กำลังพยายามสื่อสารและชี้แจงในสิ่งที่ประชาชนตั้งคำถามอยู่ ทั้งที่มาของงบประมาณ สามารถนำไปใช้หนี้ได้จริงหรือไม่ และกำหนดรัศมี 4 กิโลเมตร ตามทะเบียนบ้านจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังว่าการใช้งบประมาณมากขนาดนี้ จะสามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างไร จึงต้องรอคำอธิบายจากพรรค พท.

     รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า เทคโนโลยีที่นำมาใช้เหมาะสมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เหมือนกับตอนที่นำนโยบายคนละครึ่งมาเยียวยาประชาชน เพราะบางเครื่องมือของนโยบายเหมาะสมกับการใช้ในบางเรื่อง ยกตัวอย่างอยากจะกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ดิจิทัลวอลเลต โดยการให้เงินก้นถุง ก็สามารถทำได้ แต่ไม่ต้องถึง 10,000 บาท ถ้าอยากกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องใช้เครื่องมือที่ประชาชนคุ้นเคย อีกอย่างคือ พรรค พท.ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อเงินเฟ้อหรือไม่ และมีแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาอย่างไร

ก้าวไกลบี้เพื่อไทยแจงที่มาเงิน

     เมื่อถามถึงกรณีมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว น.ส.ศิริกัญญาตอบว่า เราไม่รู้ว่าประชานิยมสุดขั้วคืออะไร แต่เราจะเน้นว่าการออกนโยบายต้องมีความรับผิดชอบต่อประชาชน จึงต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมาว่างบประมาณมาจากไหน และทำวิธีการนี้แล้วจะได้อะไร นี่คือสิ่งที่เรายังรอรายละเอียดกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประชาชนสามารถตัดสินใจได้ว่านโยบายนี้จะเกิดประโยชน์กับเขาจริงหรือไม่

     ซักว่า หากได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ยังเห็นว่านโยบายนี้ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจ จะทำอย่างไร น.ส.ศิริกัญญาชี้แจงว่า  คงต้องพูดคุยกันระหว่างพรรคร่วม เพราะการทำนโยบายหนึ่งจะไปกันที่การทำนโยบายอื่นๆ แต่เราไม่ได้กังวลการทำนโยบายใหญ่ของพรรค ก.ก. ที่ต้องใช้งบมาก เพราะเราจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บภาษีและการเก็บภาษีใหม่ๆ อยู่แล้ว

     "เมื่อเราได้ฟังพรรคเพื่อไทยพูดว่าจะใช้เม็ดเงินกระตุ้น 5.4 แสนล้านบาท เรายังคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะคิดตรงกันว่าจำเป็นต้องปฏิรูประบบภาษีของประเทศนี้ด้วย แต่ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้แตะเรื่องนี้ กลับหันไปใช้งบประมาณที่มีอยู่แล้ว ซึ่งค่อนข้างที่จะมีข้อจำกัดอยู่ค่อนข้างมาก เพราะปี 2567 มีภาระเงินต้นและการชำระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมาอีก 3 หมื่นล้านบาท เป็น 3.3 แสนล้านบาท และดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทยจะนำงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมาทั้งหมดมาโปะโครงการนี้ จึงมีข้อกังวลว่าอาจจะทำให้เราไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่ ทำให้ต้องมาพูดคุยกันว่าจะปรับปรุงงบประมาณไม่ให้กระทบกับหนี้ที่ต้องชำระคืนตามกฎหมาย" รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว

     นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีมประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 หาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดสุโขทัยของพรรค ประกอบด้วย น.ส.ประภาภรณ์ เชยวัดเกาะ เขต 1 เบอร์ 9, นายสัมพันธ์ ตั้งเบญจผล เขต 2 เบอร์ 2,  นายนราธิป ภูมิถาวร เขต 3 เบอร์ 1 และนายรวม ล้นเหลือ เขต 4 เบอร์ 1

     โดยนายจุรินทร์กล่าวว่า นโยบายแจกเงินไม่ยั่งยืน ก็เหมือนกับที่ได้ถามมา หลายพรรคอาจจะเน้นนโยบายเรื่องของการแจกเงิน บางพรรคอาจจะเน้นถึงขั้นแจก แล้วสุดท้ายก็ยอมรับว่าเอาเงินมาจากการไปขึ้นภาษีจากประชาชน ถ้าเป็นอย่างนั้นสุดท้ายประชาชนก็กลายเป็นห่าน ที่จะโดนถอนขนจนเกลี้ยงในที่สุด เพื่อมาสนองนโยบายพรรคการเมือง อันนี้ก็คือสิ่งที่เราต้องรู้เท่าทัน แล้วก็ต้องระมัดระวังว่าสุดท้ายแล้วกรรมจะตกอยู่กับใคร ถ้ามีนโยบายฉาบฉวยในลักษณะนี้

     ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, นายอนุชา บูรพชัยศรี และนายเกรียงยศ สุดลาภา ผู้บริหารพรรคลงพื้นที่ร่วมกับ น.ส.ศิรินันท์ ศิริพานิช (อ้อ) ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตสาทร ปทุมวัน ราชเทวี เบอร์ 10 พรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อแนะนำตัวขอคะแนนเสียงกับประชาชนย่านสวนสุขภาพสมาคมแต้จิ๋ว และชุมชนกุศลทอง โดยทุกพื้นที่ประชาชนให้การต้อนรับอย่างดี เข้ามาสอบถามและขอถ่ายรูปด้วยตลอดทาง

'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ'

     นายเอกนัฏเปิดเผยว่า กระแสตอบรับพรรคดีวันดีคืน ประชาชนในย่านนี้ให้การต้อนรับ น.ส.ศิรินันท์ ผู้สมัครของพรรคดีมาก มีแต่คนมาให้กำลังใจให้สู้ต่อไป พร้อมฝากให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย

     เขากล่าวอีกว่า ในพื้นที่ กทม.ได้ย้ำกับ ส.ส.ของพรรคทั้ง 33 เขตเลือกตั้งต้องลงพื้นที่ทุกวัน ไม่อนุญาตให้หยุด ไม่อนุญาตให้ลา ต้องเดินตั้งแต่เช้ายันค่ำ ปกติผู้สมัครของพรรคก็ปฏิบัติทุกวันอยู่แล้ว เพียงแต่มาย้ำอีกครั้งหลังจากทุกคนได้เบอร์ชัดเจน เพื่อตอกย้ำการรับรู้ของประชาชนในแต่ละเขตว่าผู้สมัครเบอร์อะไร และพรรครวมไทยสร้างชาติเบอร์ 22  ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่ของผู้สมัครแต่ละเขตจะมีตน นายอนุชา และนายเกรียงยศ แวะเวียนมาช่วยผู้สมัครของพรรคตั้งแต่เช้ายันค่ำ สิ่งสำคัญก็เพื่อตอกย้ำให้คนกรุงเทพฯ ทราบว่าพวกเราพรรครวมไทยสร้างชาติตั้งใจจะมาช่วยคนกรุงเทพฯ จริงๆ ในส่วนของต่างจังหวัด ก็ได้รับรายงานว่ามีเสียงตอบรับดีมาก พรรครวมไทยสร้างชาติส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขต ทุกคนต้องทำหน้าที่เป็นเซลส์เดินเคาะประตูบ้านสื่อสารนโยบายของพรรค สื่อสารจุดยืนแนวทางการทำงานของพรรค ต้องหาเสียงต่อเนื่องทุกวัน เป็นผลทำให้เรตติ้งขยับขึ้นมาเรื่อยๆ

     ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พร้อมด้วยนายปิยะ สีดอกบวบ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จังหวัดภูเก็ต และนางนวลจันทร์ สามารถ คุ้มบ้าน ผู้สมัครส.ส.เขต 2 ลงพื้นที่ชุมชนย่านเมืองเก่า และอ่าวปอ โบ๊ท ลากูน เพื่อติดตามความพร้อมรับเทศกาลท่องเที่ยว พร้อมพบปะพ่อค้าแม่ค้า ประชาชน เพื่อพูดคุยและชี้แจงนโยบายของพรรค โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี 

     นายธนกรกล่าวว่า ยังมีอีกหลายโครงการที่จะต้องทำต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตามนโยบาย “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” ทั้งสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14.6 ล้านคน เป็นบัตรสวัสดิการพลัส เพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท, การปล่อยกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท,  เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท, ค่าตอบแทนอสม. 2000 บาท, กองทุนฉุกเฉินประชาชน 30,000 ล้านบาท ทั้งหมดอยู่ที่พ่อแม่พี่น้องชาวภูเก็ตแล้วที่จะกำหนดอนาคตเพื่อจะสร้างความมั่งคั่งต่อไปหรือไม่ ขอโอกาสคนภูเก็ตกาให้ทั้งคน ส่วนพรรคในส่วนผู้สมัครบัญชีรายชื่อให้เลือกหมายเลข 22 ให้พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาสานต่อนโยบายเดิม และเพิ่มเติมนโยบายใหม่ ขอให้เชื่อมั่นและมั่นใจต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะนำมาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ประเทศ และพร้อมจะทำงานต่อด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จงรักในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง