พท.แจงแจก10,000ยิบ/บิ๊กตู่ให้ดูตัวอย่างฝรั่ง

“แสวง” ไฟเขียวนโยบายแจกเงินดิจิทัลของเพื่อไทยทำได้ ไม่เข้าข่ายสัญญาว่าจะให้เพราะใช้งบประมาณแผ่นดิน! “เศรษฐา” ขนทีมแจงโวเป็นนโยบายปั๊มหัวใจ ไม่ใช่หยอดน้ำข้าวต้มเหมือนเรือแป๊ะ ลั่นดีเดย์ 1 ม.ค.2567 หากได้เป็นรัฐบาล คุยใช้งบแค่กว่า 5 แสนล้านบาท ดึงจากเงินกระทรวงต่างๆ ในงบปี 2567 พ่วงภาษีที่จะได้เพิ่มขึ้น เด็ก พท.ยันไม่เลิกบัตรคนจน แต่ให้เลือก ซึ่งต่อไปก็ไม่มีคนใช้แน่ “ก้าวไกล” พาเหรดโหน “บิ๊กตู่” ชี้ให้ดูตัวอย่างต่างประเทศที่ล้มทั้งยวงก็มาจากเงินในอากาศ

เมื่อวันศุกร์ที่ 7 เม.ย. ยังคงมีความต่อเนื่องจากกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดนโยบายแจกกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยนายแสวง​ บุญมี​ เลขาธิการคณะกรรมการ​การเลือกตั้ง​ (กกต.)​ ระบุว่า เป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณแผ่นดินอยู่แล้ว หากได้ไปเป็นรัฐบาล นโยบายลักษณะนี้จะไม่ผิดกฎหมายสัญญาว่าจะให้ ซึ่งนโยบายที่จะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ คือการใช้เงินที่ไม่ใช่เงินของแผ่นดิน

นายแสวงกล่าวว่า นโยบายของพรรคต้องประกาศให้ประชาชนทราบและส่งมาให้ที่ กกต.ด้วย โดยนโยบายแต่ละนโยบายประกอบด้วย 1.ชื่อนโยบาย 2.วงเงินที่ต้องใช้ 3.ที่มาของเงินหรือวิธีการหาเงิน 4.ความคุ้มค่าและประโยชน์การดำเนินการนโยบาย 5.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดำเนินนโยบาย และ 6.นโยบายนั้นต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนพรรคการเมืองแต่ละจังหวัด ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีข้อมูลในการไปลงคะแนนว่านโยบายแบบนี้ถูกใจประชาชนหรือไม่ เพื่อให้ข้อมูลแต่ละพรรคครบถ้วนรอบด้าน

ขณะที่พรรค พท. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย และประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค และนายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค ได้แถลงเรื่องรายละเอียดของนโยบายดังกล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเทศเราบอบช้ำมาเยอะ โดยเฉพาะเศรษฐกิจ ที่พี่น้องประชาชนมีรายได้ลด รายจ่ายเพิ่ม จนอยู่ในภาวะซึมลึก ซึมนาน และซึมยาว แต่รัฐบาลปัจจุบันก็ค่อยๆ หยอดน้ำข้าวต้มมาเรื่อยๆ เป็นจำนวนเงินเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องและไม่ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจที่เหมาะสมที่ถูกต้อง พรรค พท.เราคิดใหญ่ ทำเป็น จำนวนเงิน 10,000 บาทนั้น เราจะให้เป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาทเลย ซึ่งที่ต้องให้เป็นกระเป๋าตังค์ดิจิทัลไม่ให้เป็นเงินสด เพราะเทคโนโลยีสมัยใหม่เราจำกัดวิธีการใช้ได้ หากให้เป็นเงินสดก็อาจใช้ไปในทางอื่นที่ไม่เหมาะสม เช่น เรื่องการพนัน ยาเสพติด และการใช้หนี้นอกระบบ แต่เทคโนโลยีจะสามารถบอกได้ว่าไปใช้อะไรบ้าง ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าหากเป็นหนี้สถาบันการเงินจะสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องลงพื้นที่เพื่อสอบถามความต้องการ หากเป็นความต้องการเราก็นำมาพิจารณาอีกครั้ง

นายเศรษฐากล่าวว่า ระยะเวลาที่เราให้ใช้ภายใน 6 เดือนนั้น เพราะเราต้องการให้กระตุ้นใช้จ่ายใช้สอยอย่างรวดเร็ว ส่วนระยะรัศมีใช้ตามบัตรประชาชน 4 กิโลเมตรนั้น หากพื้นที่ไหนที่ไม่มีร้านค้า ก็สามารถขยายระยะทางออกไปได้ ส่วนคนที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แต่บัตรประชาชนอยู่ต่างจังหวัดจะใช้ได้หรือไม่นั้น เราตอบชัดเจนว่าไม่ได้  เพราะเราอยากให้กลับไปใช้เงินที่บ้านเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ไม่ใช่กระจุกตัวที่หัวเมืองอย่างเดียว หากภายใน 6 เดือนนั้นไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเลย เงินก็จะหายไป ฉะนั้น คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ให้พี่น้องได้กลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ภูมิลำเนา และไปกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนด้วย

เมื่อถามว่า มีนักวิชาการมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมสุดขั้ว พร้อมตั้งคำถามว่าเงินมาจากไหน และกระทบหนี้สาธารณะของประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้จะทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะตอบคำถามได้ว่าเงินมาจากไหน ยืนยันว่าเม็ดเงินมาจากการจัดสรรงบประมาณ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ได้เพิ่มมากขึ้น และการจัดเก็บภาษีนิติบุคคล รวมทั้งสวัสดิการรัฐที่ลดน้อยลง

“ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าประชานิยมสุดโต่ง แต่เป็นความจำเป็นและความต้องการของพี่น้องประชาชนที่ต้องการการช่วยเหลือเวลานี้” นายเศรษฐา กล่าว

ถามว่า งบประมาณปี 2567 ที่ตั้งไว้ 3.35 ล้านล้านบาท ถ้าเป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายนี้ต้องปรับลดงบประมาณกระทรวงอื่นๆ อย่างเช่นกระทรวงกลาโหม หรืองบลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า การจัดเก็บภาษีจะได้เพิ่มมากขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนงบประมาณอื่นๆ นั้นต้องดูส่วนอื่นๆ ไม่ใช่งบประมาณกระทรวงกลาโหมเท่านั้น ว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

เมื่อถามว่า จำนวนเงินที่ได้นำไปใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าน้ำมันได้หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ได้ทั้งหมด ยกเว้นซื้อบุหรี่หรือใช้หนี้นอกระบบ โดยร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไปก็ร่วมโครงการได้ ไม่ได้กีดกั้นใครคนใดคนหนึ่ง เราเสมอภาคเท่าเทียม

ดีเดย์เริ่ม 1 ม.ค.2567

ถามอีกว่า คนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปสามารถใช้ได้ แล้วจะใช้งบประมาณเท่าไร นายเศรษฐากล่าวว่า จะมีประชาชนกว่า 50 ล้านคนที่ได้รับสิทธิ์ ซึ่งจะใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ในช่วงไตรมาส 3 และเริ่มโครงการได้ประมาณวันที่ 1 ม.ค.2567 และภายใน 4 ปี การเติบโตของจีดีพีเฉลี่ย 5% ต่อปี

“ผมไม่เคยมองประชาชนเป็นยาจก เป้าหมายของพรรคคือช่วยประชาชนพ้นหลุมดำของความยากจน ถ้าเกิดว่าดิจิทัลวอลเลต 1 หมื่นบาท เป็นจุดสตาร์ทให้ประชาชนลุกขึ้นเดินลุกขึ้นทำมาหากินได้อีกครั้งหนึ่ง ผมถือว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชน” นายเศรษฐากล่าวตอบกรณีถูกวิจารณ์นโยบายว่ามองประชาชนเป็นยาจก

นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า พูดในเชิงการแพทย์เราไม่อยากหยอดน้ำข้าวต้มเพื่อให้ยืดจากความตาย แต่เราใช้การปั๊มหัวใจให้กลับคืนมาให้รวดเร็วเพื่อกลับมาแข็งแรง โดยกระเป๋าตังค์ดิจิทัลวอลเลตเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ปลุกกำลังของเราให้ฟื้นขึ้นเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ระหว่าง 6 เดือนนี้ เราจะมีมาตรการอื่นรองรับเพื่อให้เขาขยับไปทำมาหากินได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่นายเผ่าภูมิกล่าวว่า เราต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่ให้ประเทศ โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะระบบการเงินยุคใหม่เป็นระบบที่ไร้ตัวกลาง สนับสนุนโดยเทคโนโลยีบล็อกเชน ต่อจากนี้คนไทย 16 ปีขึ้นไปจะมี 2 บัญชี โดยบัญชีที่ 1 คือบัญชีออมทรัพย์ที่เป็นเงินปกติผูกกับธนาคารพาณิชย์ บัญชีที่ 2 คือดิจิทัลวอลเลต ให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ผูกกับบัตรประชาชนอัตโนมัติ และเราจะมอบกุญแจดิจิทัลให้เข้าถึงเงินนี้ และเป็นส่วนที่แตกต่างจากแอปพลิเคชันเป๋าตังที่เป็นเงินในโลกยุคเก่า เราเป็นเงินในโลกยุคใหม่

เมื่อถามว่า ประชาชนต้องเลือกระหว่างนโยบายเงินดิจิทัลกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือไม่ นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ไม่ได้ให้ประชาชนเลือก เพราะประชาชนจะมีสองบัญชีคือ บัญชีออมทรัพย์ และบัญชีดิจิทัลวอลเลต แต่เราจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น จนวันหนึ่งคนจะหลุดจากเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ย้ำว่าเราไม่ยกเลิกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

นายจักรพงษ์กล่าวว่า ยืนยันว่าจะไม่ยกเลิกบัตรคนจน แต่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกระหว่างบัตรคนจนกับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล หากได้เริ่มดำเนินโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลเมื่อไหร่ คนไทยคงไม่อยากกลับไปใช้บัตรคนจนอีกแล้ว ซึ่งทำให้ลดงบประมาณรายจ่ายในส่วนนี้ได้ถึง 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ยังไม่ผ่านในวาระใด หากเราชนะเลือกตั้งเราสามารถเข้าไปทำงบประมาณปี 2567 ได้ ซึ่งสามารถรีดงบประมาณที่คิดว่าเป็นส่วนเกินได้หลายแสนล้านบาท

ก้าวไกลพาเหรดโหน

“พรรคห่วงใยเรื่องวินัยการเงินการคลัง เราห่วงใยตั้งแต่ยังไม่มี พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังด้วยซ้ำ และเราเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ได้ทั้งหมด โดยยังสามารถรักษาวินัยการเงินการคลัง เราใช้เงินเป็นและหาเงินเป็นด้วย ดังนั้น ทุกนโยบายเกิดจากการคำนวณเป็นอย่างดี เพื่อให้มั่นใจว่าเราทำได้จริง” นายจักรพงษ์ระบุ

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า พรรคตั้งใจใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องลงรายละเอียดกับนายเศรษฐา หากร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลก็มี 2-3 อย่างคือ ความรวดเร็วในการใช้เงินดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องข้อกฎหมาย พ.ร.บ.สินทรัพย์ดิจิทัล จะแก้ไขให้เข้ากับนโยบายทันหรือไม่ ซึ่งภายใน 100 วันแรกแก้ไขไม่ทันแน่นอน คิดว่าสิ่งใดที่ประชาชนคุ้นชินอยู่แล้ว เช่น แอปเป๋าตังก็นำมาทำให้ดีขึ้น เชื่อว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยไม่ได้เก็บภาษีเพิ่ม

เมื่อถามถึงเสียงวิจารณ์ว่านโยบายดังกล่าวไม่ต่างกับการแจกเงิน นายพิธา กล่าวว่า เรื่องเม็ดเงินไม่เป็นปัญหา คิดว่าประเทศไทยมีเงินพอดูแลคนทั้งประเทศได้ สิ่งสำคัญคือไม่ใช่การกู้เงินมาอย่างเดียว รอให้เศรษฐกิจโตอย่างเดียว มันคือการรอน้ำบ่อหน้า หวังเศรษฐกิจเติบโตแล้วเราจะมีงบ แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางภาษี เช่น ลดภาษีให้พี่น้อง SME เช่นจาก 20% ให้เป็น 15% ให้คนตัวเล็กตัวน้อยไม่ต้องมีภาระทางภาษีมาก ขณะเดียวกันต้องขึ้นภาษีทุนใหญ่

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรค ก.ก. กล่าวว่า การเยียวยาประชาชนในระยะสั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น แต่พรรคก้าวไกลมองไปถึงการสร้างอุตสาหกรรมสร้างงานในระยะยาวมากกว่า เพราะสิ่งที่น่ากลัวสำหรับเศรษฐกิจไทยไม่ใช่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ถดถอย ซึ่งเป็นเรื่องระยะสั้น แต่สิ่งที่อันตรายกว่าคือการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ซึ่งมีแต่การสร้างเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาเท่านั้น ที่จะทำให้ประเทศไทยสร้างการส่งออกใหม่ๆ แข่งขันกับโลกในระยะยาวได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ปราศรัยช่วงหนึ่งที่บริเวณลานอัฒจันทร์กลางแจ้งสวนเบญจกิติว่า เขาบอกจะให้นู่นจะให้นี่ จะมาแข่งกันทำไม่ได้ ตนเองนี่แหละตัวจริงจะหาเงินให้ได้ ต้องมีรายจ่ายประจำปีเพิ่มขึ้นถึงจะตอบสนองประชาชนได้ ไม่ต้องห่วง พวกเราระวังอยู่แล้วไม่ให้เศรษฐกิจเสียหาย และวันนี้ต้องดูกติกาโลกด้วย ถ้าเราไม่แข่งขันตามกติกาโลกก็เดินไม่ได้ และเราจะเป็นศูนย์กลางดิจิทัลอาเซียน วันนี้คนรอดูว่าเงินจะเข้าทางโทรศัพท์เมื่อไหร่ โอนแทบไม่ทัน แต่เรากำลังหาเติมให้ รอหน่อยแล้วกัน ส่วนสกุลเงินอะไรนั่น ทำได้ไม่ได้ก็แล้วแต่ แต่เราก็อยู่ด้วยกันมาหลายปี 8 ปี ต้องเห็นว่าอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

บิ๊กตู่เตือนเงินจับต้องไม่ได้

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษ์อีกครั้งว่า เรื่องนี้เคยพูดไว้แล้ว และเคยเตือนเอาไว้แล้วว่าเงินดิจิทัลเป็นเงินที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นเงินที่ตกลงซึ่งกันและกัน ไม่มีตัวเงินที่แท้จริง เป็นตัวเลขที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย ระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการ แต่ก็จะเห็นว่าบางประเทศก็ล้มไปทั้งยวง ธนาคารก็ลงทั้งหมด สิ่งสำคัญคือสิ่งที่เอามาพูดกันวันนี้ ไม่อยากไปแตะต้องใคร แต่ต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะไม่ว่าจะใช้เงินลักษณะใดก็ตามต้องมีเม็ดเงินจริงอยู่เสมอ พูดลอยๆ เท่าไหร่ก็ได้ แต่มันมีงบประมาณที่อยู่ในคลังมีเงินสำรองอยู่ในคลังพอหรือเปล่า ถ้าไม่พอมันเสี่ยง ไม่ได้ว่าหรือตำหนิใคร จะพูดอะไรก็ได้ แต่ส่วนตัวคิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องระวังอย่างที่สุด ทุกคนในพรรค รทสช.ระวังกันทั้งหมด การใช้งบประมาณต้องไม่ผิดระเบียบและไม่ผิดกฎหมาย แค่พูดผิดก็กลัวแล้ว ซึ่งปกติไม่เคยกลัวใคร

“ประชาชนก็ต้องไปอ่านข้อมูลข้อเท็จจริง และบางเรื่องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจงมาแล้ว และเรื่องเงินต่างๆ ธปท.และกระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ชี้แจงมาแล้ว ก็ขอให้ระมัดระวังว่าจะเป็นการหาเงินเข้ากระเป๋า 10,000 บาท ที่บางพรรคหาเสียงก็ต้องระมัดระวัง ซึ่งมีหลายฝ่ายออกมาเตือนแล้ว แต่เราจะไปห้ามประชาชนคงไม่ได้”

ส่วนนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ อดีตแกนนำ นปช. ที่หันมาสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า เป็นนโยบายขายฝัน เพ้อฝัน ประเทศไทยต้องใช้เงินบาทเท่านั้น สกุลเงินต้องเป็นเงินบาท ถ้าเป็นเงินดิจิทัลบ้าบอคอแตก ประเทศเมียนมาก็ใช้เงินจัต สปป.ลาวใช้เงินกีบ ญี่ปุ่นใช้เงินเยน ประเทศไทยต้องใช้เงินบาท จะมาใช้เงินดิจิทัลถือว่าผิดกฎหมาย

นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปราศรัยย่อยที่สวนเบญจสิริ ช่วงหนึ่งว่า นโยบายแจกเงินประชาชนของบางพรรคการเมืองรวมแล้วกว่า 5 แสนล้านบาท เป็นนโยบายที่ไม่จำเป็น และจากนี้ไปจะมีนโยบายจากหลายพรรคการเมืองนำเสนอ จึงขอให้ประชาชนพิจารณาให้ดีว่าสิ่งใดทำได้หรือไม่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปิดป่าฯ-สลาย“ปชป.” กฐินร้อนจ่อสอย“อิ๊งค์”

เป็นไปตามคาด เมื่อ “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค พท. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ว่า สส.ไม่สบายใจที่จะร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะพฤติกรรมแทงข้างหลังและไม่ยอมรับนายกฯ คนที่ 31 ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค

30วันเลือกนายกปทุม

"พิเชษฐ์" แจ้งสภา 143 สส.สังกัดพรรคประชาชนแล้ว ด้าน "ณัฐวุฒิ" เผยใช้อักษรย่อ "ปชน."