กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปี สู่ระดับ 1.75% ต่อปี พร้อมหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้เหลือ 3.6% หลังส่งออกซมหนักคาดติดลบ 0.7% มองท่องเที่ยวพระเอกหนุนเศรษฐกิจไทยโตถึงจุดก่อนโควิดแล้ว
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุม กนง.มีมติเอกฉันท์ให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.50% ต่อปี เป็น 1.75% ต่อปี ให้มีผลทันที โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ ขณะที่การส่งออกสินค้าเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากที่หดตัวในช่วงก่อนหน้า และคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากแนวโน้มเงินเฟ้อและสถานการณ์ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลัก ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปีนี้ แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวในระดับสูง และมีความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนและแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์
ทั้งนี้ กนง.มีการขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ ส.ค.2565 เป็นการปรับนโยบายเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่สะดุด ส่วนการทำนโยบายการเงินในปีนี้ จะต้องสนับสนุนให้การฟื้นตัวมีเสถียรภาพ และทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย โดยแนวโน้มในระยะต่อไปจากภาคการท่องเที่ยวที่มีทิศทางการฟื้นตัวดีกว่าที่คาด จะเป็นแรงสนับสนุนให้อุปสงค์ฟื้นตัวดี ทำให้มีแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น ถือว่านโยบายการเงินยังต้องดำเนินการกลับสู่ระดับปกติอย่างต่อเนื่องต่อไป
“นโยบายการเงินต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ แม้ว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลง แต่ยังสูงกว่าพื้นฐาน ดังนั้นจึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาพรวมตอนนี้เศรษฐกิจมีแรงส่งดีจากภาคการท่องเที่ยว เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงด้านสูง ทำให้ กนง.ยังคงต้องมีกระบวนการถอนคันเร่งต่อไป โดยไม่ได้มองว่าควรจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยจุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษ หรือพิจารณาจากปัจจัยอะไรเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์การเงินเศรษฐกิจโลก เป็นต้น ส่วนจะหยุดตรงไหนคงต้องดูข้อมูลในระยะต่อไป” นายปิติระบุ
เลขานุการ กนง.กล่าวว่า ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2566 เหลือ 3.6% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.7% และปี 2567 เหลือ 3.8% จากเดิม 3.9% และปรับลดมูลค่าการส่งออกในปีนี้ เหลือติดลบ 0.7% จากเดิมที่ 1% ส่วนปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นที่ 4.3% จากคาดการณ์เดิมที่ 2.6% โดยคาดว่าจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยตอนนี้มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีการปรับลดคาดการณ์ส่งออกลง แต่การส่งออกยังมีสัญญาณฟื้นตัวจากที่หดตัวในไตรมาส 4/2565 ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวดีขึ้นจากที่คาดการณ์จากนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติ ทำให้เห็นว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยถึงจุดก่อนโควิด-19 แล้ว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเริ่มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงกลางปี 2566 โดยจะอยู่ที่ระดับ 2.9% ในปีนี้ และปีหน้าที่ระดับ 2.4% ตามแรงกดดันด้านอุปทานจากค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันที่ทยอยคลี่คลาย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงจากปี 2565 มาอยู่ที่ 2.4% ในปีนี้ ก่อนจะทยอยปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% ในปี 2567 โดยอัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาดจากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเผชิญภาวะต้นทุนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งมีแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ โดยสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสถาบันการเงินไทยและภาคธุรกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินและสินทรัพย์เสี่ยงที่เกิดปัญหาจำกัด รวมถึงธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง โดยในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องติดตามพัฒนาการและผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าเงินบาทผันผวนกว่าในช่วงที่ผ่านมาจริง แต่เป็นการผันผวนที่มีเหตุมีผล ส่วนหนึ่งจากปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ คือ การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐอเมริกา และยังมีประเด็นในภาคการเงินเข้ามาอีก เป็นปัจจัยแรกที่ทำให้เกิดความผันผวนเยอะ และยังมีปัจจัยภายในประเทศ จากการที่จีนเปิดประเทศ เป็นข่าวดีที่ภาคการท่องเที่ยวและส่งออกของไทยได้อานิสงส์จากเรื่องนี้ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ส่วนการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่คาดว่าอาจจะล่าช้านั้น จะมีผลโดยตรงกับการใช้จ่ายงบประมาณ แต่เชื่อว่าจะมีส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ เนื่องจากเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันมาจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน เป็นต้น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ทหารไทยเสียขาที่9คา‘จีบีซี’
ไทยยัน จม.ของ “เตีย เซ็ยฮา” มีนัยขอเจรจาหยุดยิง-เสนอให้ถอยกำลังทหารไปอยู่ที่จุดเดิม
‘นํ้าเงิน-ส้ม’เปิดศึก! ‘หนู’ลั่นพรรคใดแก้ม.112ไม่ร่วมด้วย-‘เท้ง’ท้าแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล
“ภูมิใจไทย” ขยับใหม่ ประกาศแคนดิเดตนายกฯ 2 คน “อนุทิน-สีหศักดิ์” ผวา! ส่งชื่อคนเดียวสุ่มเสี่ยง ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้
กรมศิลป์รับมอบไม้จันทน์หอมสร้างพระโกศฯ
กรมสมเด็จพระเทพฯ มีพระราชวินิจฉัยแบบพระโกศจันทน์ยอดมหามงกุฎสมพระเกียรติ "พระพันปีหลวง"
กกต.กทม.คุมเข้ม รับสมัครสส.เขต ที่ศูนย์ไทย-ญี่ปุ่น
กกต.กทม.พร้อม 90% เปิดศูนย์ไทย-ญี่ปุ่น รับสมัคร สส.กทม. 33 เขต 27-31 ธ.ค.
จัดเก็บรายได้วืด2.8หมื่นล. คลังลุยกู้ชดเชยการขาดดุล
คลังจัดเก็บรายได้ 2 เดือนแรกของปีงบ 69 ไม่เข้าเป้า วืด 2.8 หมื่นล้านบาท
21ม.ค.ชี้ชะตา ‘ภูมิธรรม-ทวี’ สว.เคาะ2ปปช.
ศาลรัฐธรรมนูญนัดยื่นคำแถลงปิดคดี 6 ม.ค. ก่อนแถลงคำวินิจฉัย 21 ม.ค.

