เปิดชื่อ2ตร.หิ้วถุงเงิน6ล. ‘ชูวิทย์’พบหมิ่นกว่า20จุด

"ทนายตั้ม" ตั้งโต๊ะแฉ "ชูวิทย์" ต่อ ไม่หวั่นคำขู่ฟ้องเรียกเงิน 100 ล้าน เปิดชื่อ 2 นายตำรวจพร้อมนายบ่อนนำถุงเงิน 6 ล้านบาทของ "สารวัตรซัว" ไปมอบให้ที่โรงแรมเดวิส ขณะที่ทนายชูวิทย์เก็บทุกเม็ด พบข้อความหมิ่นประมาทแล้วกว่า 20 จุด "เสี่ยอ่าง" ฝากไปบอกหมาลอบกัด  “กูไม่กลัวมึง“

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2566 ที่ Sittra Law Firm ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ตั้งโต๊ะแถลงโต้กลับพร้อมเปิดเผยหลักฐาน กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กเป็นภาพใบเสร็จรับเงิน 3 แสนบาทในชื่อของบริษัทนายษิทรา โดยระบุว่าเป็นค่าแถลงข่าวออกสื่อ และกล่าวหาว่านายษิทราเป็นตัวแทนเว็บพนันออนไลน์

"ผมเรียกเงินแพงเพราะทุกคนทราบดีว่าตัวเองจริงจังและตามคดีถึงที่สุด ในเมื่อลูกความมาพึ่งผมแล้ว หากโดนฟ้องก็ต้องโดนด้วยกัน ถือเป็นคติของผม ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ ปกติผมคิดเงินค่าโทรศัพท์ปรึกษากับทีมงานเป็นเวลา  20 นาที ราคา 1,000 บาท ปรึกษากับผม 1,500 บาท หากมาพบผมที่สำนักงานครึ่งชั่วโมง 3,000 บาท ยืนยันว่าโปร่งใส สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ผิดมารยาททนายความ เพราะการเรียกรับเงินถือเป็นเรื่องปกติ เพราะผมยังทราบด้วยว่า มีทนายหญิงคนหนึ่งเก็บเงินค่าออกรายการโทรทัศน์ดังถึง 3 แสนบาท"

นายษิทรากล่าวเปิดโปงกรณีนายชูวิทย์รับเงินจากเว็บพนันออนไลน์ จากอดีตข้าราชการตำรวจเพิ่มเติมว่า ตามที่นายชูวิทย์กล่าวอ้างไปให้ถึงโรงแรม โดยชื่อแรกเคยเป็นผู้บังคับการภูธรจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนอีกนายดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. ซึ่งตัวเองก็รู้จักกันดีเพราะเป็นผู้ทำคดี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ และยังมีความสนิทสนมกับสารวัตรซัวชนิดที่ไปไหนมาไหนกันได้ อดีตตำรวจนายนี้เองเป็นผู้นำเงินสารวัตรซัวมามอบให้นายชูวิทย์ เพื่อปิดปากการแฉเรื่องลาลิซ่า อาบอบนวดด้วยตัวเอง ซึ่งในวันนั้นนอกจากตำรวจ  2 นาย ยังมีเจ้าของบ่อนพนันย่านพระราม 3 ที่มีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย โดยเรื่องนี้น่าเชื่อได้ว่า อดีตตำรวจทั้งสองนายนี้ได้รับอนุญาตจากสารวัตรซัวให้นำเงินมามอบแก่นายชูวิทย์ โดยรูปถุงเงินดังกล่าวนั้นเป็นการส่งงานให้เจ้าของเงินอีกครั้ง โดยผู้นำมาให้ต้องการแสดงให้เห็นว่าเงินถึงมือแล้ว         

สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์ฟ้องร้องเอาผิดตนฐานหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายคดีละ 100 ล้านบาทนั้น นายษิทรายืนยันพร้อมจะพิสูจน์ตามขั้นตอนกฎหมาย หากแพ้คดีก็ต้องฟ้องร้องให้ตนล้มละลายเพราะไม่มีเงินขนาดนั้น ส่วนตนก็นับถือทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความของนายชูวิทย์ ในฐานะรุ่นพี่ ไม่มีความกังวลใดๆ เพราะตนไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท

ในช่วงท้ายของการแถลงแฉนายชูวิทย์ ทนายตั้มบอกว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยบอกว่า 3 คนที่ตนจะไม่ปะทะด้วย คือ  1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล 2.พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส และ 3.นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อมกับฝากถึงนายชูวิทย์ว่า หากนายชูวิทย์ฟ้องเรียก 100 ล้านบาท ตนคงไม่มีให้คงต้องฟ้องล้มละลายเท่านั้น และยังคิดอยู่ว่าจะฟ้องกลับหรือไม่ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด

 “ขอพี่ชูวิทย์อย่าฟ้องผมเลย ผมเป็นแค่ทนายเล็กๆ เอาตามหลักฐานนี้แหละ เพราะผมโดนฟ้องมาตลอด ผมจะเอาเงินจากไหนมาจ่าย ถ้าผมทำอาบอบนวดอาจมีเงินให้ก็ได้  สำนักงานกฎหมายรายได้อย่างเก่งก็ 1-2 ล้าน ผมมีไม่ถึงหรอก” นายษิทรากล่าว

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง ในคดีที่นายชูวิทย์ยื่นฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในข้อหาแจ้งความเท็จ อันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาที่มิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น, สร้างพยานหลักฐานเท็จ และหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา นอกจากนี้ยังฟ้องเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงิน 100 ล้านบาท

จากกรณีที่นายสันธนะกล่าวหาว่าที่โรงแรมเดอะ เดวิส คอนเนอร์ วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย ซึ่งเป็นของบุตรชายนายชูวิทย์ เป็นแหล่งมั่วสุมเสพยาเสพติดของนักเที่ยว มีการสร้างพยานหลักฐานเท็จ โดยการแอบถ่ายและนำคลิปวิดีโอไปแจ้งความกับตำรวจ  สน.ทองหล่อ ซึ่งพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน   ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงแรมและนายชูวิทย์เสื่อมเสีย วันนี้ถึงมายื่นฟ้องนายสันธนะ โดยมีบริษัท ต้นตระกูล จำกัด เป็นโจทก์ที่ 1 และมีนายชูวิทย์ เป็นโจทก์ที่ 2

ภายหลังไต่สวนเสร็จ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีของโจทก์มีมูลให้ประทับรับฟ้อง และนัดตรวจพยานหลักฐาน สอบคำให้การ วันที่ 15 พ.ค.66  เวลา 09.30 น.

นายอนันต์ชัยเผยว่า ขอพูดข้อกฎหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, พ.ร.บ.ทนายความ  2528 ข้อบังคับทนายความ 2529, เเละ พ.ร.บ.ฟอกเงิน ข้อกฎหมายเหล่านี้ทีมงานได้รวบรวมมาเพื่อให้ความเห็นให้ประชาชนทราบข้อกฎหมายที่เเท้จริงและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ หลังจากนี้นายชูวิทย์ก็จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เเล้ว ไม่ใช่นายชูวิทย์กลัวนะ แต่ตนในฐานะทนายความแนะนำไว้ เพราะหากนายษิทราให้สัมภาษณ์พาดพิงนายชูวิทย์อีก ก็จะโดนดำเนินคดีอาญาเเละแพ่ง เรียก 100 ล้านบาทต่อครั้ง

ส่วนเรื่องถุงเงินหรือการรับเงินที่นายษิทราระบุ ต้องอย่าลืมว่าคดีอาญานั้นใช้ประจักษ์พยานเป็นหลัก ไม่ใช่ดูพยานเเวดล้อมหรือพยานบอกเล่า สิ่งที่นายษิทราพูดคือพยานบอกเล่า พูดเเต่ว่า “เขาว่า เขาว่า” ซึ่งต้องฟังด้วยความระมัดระวัง คดีนี้นายษิทราก็ไม่มีส่วนได้เสีย อยากให้คิดตามว่าหากเจอกันในศาลจะโดนซักค้านอย่างไร สิ่งเหล่านี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ อยากฝากบอกนายษิทราว่าถ้าไม่ใช่ผู้เสียหาย แล้วเป็นเพียงพยานบอกเล่า ต่อไปนี้หากหยิบยกเอกสารอะไรขึ้นมาพูดอีก นายชูวิทย์จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท ตนไม่อยากให้วิชาชีพทนายความเสียหาย เพราะทนายความต้องว่าความในศาลไม่ใช่โซเชียล

 “ยกตัวอย่างเช่น ผมโกงเขามา 5 ล้าน นักข่าวเอาไปเขียนว่าผมโกง 10 ล้าน ถือเป็นหมิ่นประมาทเรื่องส่วนตัว ยิ่งจริงยิ่งผิด คิดง่ายๆ เลยผมโกงจริง แต่โกงแค่ 5 ล้าน แต่คุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าอีก 5 ล้านผมเป็นคนโกง เราต้องยืนบนพยานหลักฐาน สิ่งที่ทนายตั้มพูดทั้ง 2 ครั้งมีข้อความหมิ่นประมาท 20 กว่าจุด และยืนยันข้อเท็จจริง เขาบอก 3 คุณบอก 5 เขาบอก 6 คุณบอก 10 สิ่งนี้จะทำให้คุณเหนื่อย  ผมกำลังถอดเทป แต่นักข่าวไม่ต้องกลัวผมไม่ฟ้องนักข่าว”  ทนายความระบุ

นายอนันต์ชัยกล่าวต่อว่า ตนทราบมาว่าตอนนี้มีการร้องเรื่องมรรยาททนายความเกี่ยวกับนายษิทราจำนวนหลายคดี ที่เป็นปัญหาอยู่คือคดีของอดีตรองนายกฯ ซึ่งคดีนี้ตนเสียใจมากเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ที่นายษิทราพูดประโยคหนึ่งในครั้งนั้นว่า นายชูวิทย์โทร.ไปหานายษิทราและขอร้อง ตนถามนายชูวิทย์แล้ว ทราบว่าเป็นการโทร.ไปเพียงแค่บอกให้นายษิทราดูให้ดี เพราะข้อเท็จจริงของผู้หญิงที่เกี่ยวข้องไม่ใช่แบบที่เป็นข่าว

ด้านนายชูวิทย์เปิดเผยว่า เงินบริจาคจำนวน 6 ล้านบาทที่โรงพยาบาลคืนมา อยากให้ติดตามว่าจะเอาไปให้ใคร  ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาตนก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย ตนพร้อมสู้ทุกทาง เวลาสู้ก็จะไม่ค่อยเหมือนกัน ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ ประกาศ “กูไม่กลัวมึง“

ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง  (บช.ก.) ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เผยว่า ได้มาแจ้งความว่า พล.ต.ต. "อ."  พร้อมกับ พล.ต.ท. "ป." และพวกรวม 4 คน เกี่ยวข้องกับเงินจำนวน 6 ล้านบาท จากสารวัตรซัว ที่ไปมอบให้นายชูวิทย์ ให้กองบังคับการปราบปรามซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีเอาผิดสารวัตรซัว ให้อายัดเงินจำนวน 6 ล้านบาทมาตรวจสอบ และเอาผิดกับนายชูวิทย์ในความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน และยังเปิดเผยอีกว่า พบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันถูกโอนเข้าบัญชีของ ภรรยา พล.ต.ต. "อ." อีกด้วย

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังได้เปิดเผยรูปภาพของนายกานต์ และพูดถึงนายศักดิ์ซึ่งเป็นคนที่รับหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับนายชูวิทย์ และถามไปถึงนายพลทั้ง 2 ว่ารู้จักคนในรูปหรือไม่ เพราะมีข้อมูลว่าเป็นบุคคลที่เข้าไปหานายชูวิทย์อยู่บ่อยครั้ง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง