หาเสียงเงินสะพัดแสนล้าน

หอการค้าไทยชี้ภาคธุรกิจห่วงค่าไฟ-น้ำมัน-ค่าแรง-ดอกเบี้ย ดันต้นทุนการผลิตพุ่ง กังวลปัญหาเสถียรภาพการเมือง คาดเลือกตั้งเงินสะพัดแสนล้านบาท คงจีดีพีไทยโต 3-4% ยังมั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นครึ่งปีหลัง

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของภาคธุรกิจต่อผลกระทบภาวะเศรษฐกิจต่อภาคธุรกิจไทยในประเด็นต่างๆ ว่า ผลสำรวจพบว่าปัจจัยเสี่ยงสำคัญของภาคธุรกิจในขณะนี้ คือภาระต้นทุนที่ยังคงสูงต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากปัญหาเงินเฟ้อ ค่าไฟแพง ค่าแรง ดอกเบี้ย ส่งผลกระทบยอดขาย กำไร และสภาพคล่องของธุรกิจ นอกจากนี้การเมืองและการเลือกตั้งก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ภาคธุรกิจเริ่มกังวล ส่วนสถานการณ์ธนาคารต่างชาติที่มีปัญหา มองว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจและเศรษฐกิจภายในประเทศ และยังคงเชื่อมั่นธนาคารของประเทศไทยอยู่ ทั้งนี้ ต้องการให้ภาครัฐดูแลเรื่องต้นทุนการผลิตของภาคเอกชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมเร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นกลับมาในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 4

นายธนวรรธน์กล่าวว่า คาดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีความเข้มข้นมากขึ้น ทำให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมรณรงค์หาเสียงมากขึ้นตามไปด้วย ในช่วงเลือกตั้งจะมีเงินสะพัดเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้ 4-5 หมื่นล้านบาท เป็น 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1-1.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ เม็ดเงินดังกล่าวทำให้จีดีพีขยายตัวเพิ่ม 0.5-0.7% ส่งผลทำให้จีดีพีในไตรมาส 2 ขยายตัวได้ 3-4% จะช่วยค้ำยันเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ได้ในระดับหนึ่ง โดยทั้งปีนี้ ม.หอการค้าฯ ยังคงคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 3-4%

"ภาคธุรกิจมองว่าการเมืองยังเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยกังวลว่าจะเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลอาจจะยืดเยื้อ จนกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศ ทำให้นักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นได้ในช่วงไตรมาส 4 หรือปลายปี ซึ่งหากหลังเลือกตั้งมีปัญหาการเมืองจริง คาดว่าช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นักธุรกิจและนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศอาจจะชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ หรือที่เรียกว่า wait and see ซึ่งหลังจากนี้เสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากว่าได้รัฐบาลใหม่ได้เร็วและเดินหน้าตามนโยบาย รวมทั้งการเบิกจ่ายงบประมาณได้โดยไม่เกิดสุญญากาศ ก็จะมีผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นจุดเปลี่ยนประเทศจะอยู่ที่ไตรมาส 3 จะไปต่อได้แค่ไหน" นายธนวรรธน์ ระบุ

ด้านนายวชิร คูณทวีเทพ ผอ.สถาบันยุทธศาสตร์การค้า ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นผู้ประกอบการจำนวน 600 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-15 มี.ค.2566 ถึงผลกระทบภาวะเศรษฐกิจต่อภาคธุรกิจไทยในประเด็นต่างๆ พบว่าปัจจุบันสถานะทางธุรกิจของผู้ประกอบยังเหมือนเดิม ทั้งยอดขาย ต้นทุน กำไร สภาพคล่องทางเศรษฐกิจ โดยขณะนี้ผู้ประกอบการมีความกังวลจากต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยสูง มีผลต่อยอดขายและกำไรลดลง แต่ภาระหนี้เพิ่มขึ้น

โดยมองว่าเงินเฟ้อที่เหมาะสมควรสูงไม่เกิน 2-3% และหากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอีก ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ 70% เห็นว่าจะกระทบต่อโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ขณะที่อัตราค่าแรงขั้นต่ำมองเหมาะสมอยู่ที่ 325 บาทต่อวัน จากเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งหากปรับขั้นค่าแรงอีก 10% ผู้ประกอบการกว่า 50% ระบุว่าอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 5.7% และเลิกจ้างแรงงานบางส่วนเพื่อลดภาระต้นทุน

ด้านค่าไฟฟ้าธุรกิจส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่จะลดจาก 5.69 บาทต่อหน่วย เหลือ 5.33 บาทต่อหน่วย ก็ยังเป็นอัตราที่ยังสูง ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมมองที่ 3.94 บาทต่อหน่วย ซึ่งหากรัฐบาลมีการขึ้นค่าไฟ ภาคธุรกิจจะปรับขึ้นราคาสินค้าทันที และชะลอแผนลงทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องและชะลอแผนลงทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง ราคาน้ำมันดีเซลควรอยู่ที่ 29.60 บาทต่อลิตร ส่วนกรณีธนาคารในสหรัฐล้ม ภาคธุรกิจมองว่าส่งผลกระทบต่อธุรกิจและเศรษฐกิจน้อย ทั้งคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 66 ว่าจะฟื้นได้ในไตรมาสที่ 4

เมื่อถามถึงผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและการเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือน พ.ค. ธุรกิจกว่า 40% มองว่าเป็นผลบวกจากเงินหาเสียงและรณรงค์เลือกตั้งสะพัด มีผลต่อยอดขายและการใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์ดีขึ้น แต่ก็ยังกังวลนโยบายด้านเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเมืองหลังเลือกตั้ง

ทั้งนี้ สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการให้รัฐบาลใหม่ช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ประกอบด้วยการดูแลต้นทุนการผลิตของภาคเอกชนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ณ ปัจจุบัน เช่น ไม่ปรับขึ้นค่าพลังงาน ต้นทุนอัตราดอกเบี้ย ค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่มีรัฐบาลรักษาการ และยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างประเทศและในประเทศให้เหมาะสม ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพและอ่อนค่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและการส่งออกให้ขยายตัว ดูแลสถานการณ์หนี้ครัวเรือน ให้ธุรกิจและประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้อย่างดี และมีเงื่อนไขในการปรับโครงสร้างหนี้ หากมีปัญหาทางเศรษฐกิจเกิดขึ้น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง