เลิกเคอร์ฟิวทั่วไทย เปิดปท.เต็มสูบไร้จว.สีแดงเข้ม ‘ผับ-บาร์’เก้อ‘ศบค.’เมินลัดคิว

"บิ๊กตู่" ย้ำมาตรฐาน Covid Freeseting ต้องเข้มทุกกิจการ ชะลอเปิดสถานบันเทิงหวั่นโควิดพุ่ง ทำงานฉลองปีใหม่สะดุดประเทศเสียหาย สั่ง ก.แรงงานหามาตรการเยียวยาคนกลางคืน มอบกรมควบคุมโรคจับตาโควิดกลายพันธุ์ เน้นแอฟริกา “ศบค.ชุดใหญ่” ไฟเขียวปรับระดับพื้นที่ ไร้จังหวัดสีแดงเข้มแล้ว ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือนถึง 31 ม.ค.65 อนุมัติเทสต์แอนด์โกตรวจแค่ ATK พร้อมเพิ่มช่องทางเข้า ปท.ทางบก-เรือ “สธ.” จัดสัปดาห์แห่งการฉีดวัคซีนสู่เป้าหมาย 100 ล้าน หวังได้ใช้ชีวิตปกติ “หมออุดม” เตือนคนฉีดวัคซีนแล้วอย่าการ์ดตก “พปชร.” แจงวุ่นจัดงานวันเกิดถ่ายรูปไม่ใส่หน้ากากอนามัย

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 26 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อติดตามสถานการณ์โควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวหลังการประชุมว่า ได้มีมาตรการพอสมควร โดยเน้นเรื่อง Covid Freeseting ทุกที่ ทุกจุด ทุกกิจกรรม ต้องใช้มาตรฐานนี้ให้ได้ ซึ่งเราเน้นในเรื่องการฉีดวัคซีนให้ครบทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะโรงแรม ที่พัก สถานประกอบการ สถานบันเทิง ที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ เมื่อไหร่ที่มีความพร้อมค่อยว่ากันอีกที ต้องเห็นใจด้วยว่ามาตรฐานทางสาธารณสุขนั้นสำคัญ เราต้องการให้เทศกาลปีใหม่ของเราเป็นปีใหม่ที่มีความสุข ไม่อยากเห็นการแพร่ระบาดในช่วงนี้ก่อนปีใหม่ ขอให้เข้าใจจึงเป็นมติจากการหารือในที่ประชุม

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ในยุโรป ทางกรมควบคุมโรคกำลังดูอยู่ ซึ่งตนเน้นไปในเรื่องของการกลายพันธุ์ในเชื้อสายพันธุ์แอฟริกาและเชื้ออื่นๆ ว่าจะต้องมีมาตรการอย่างไร การเดินทางไปในประเทศเหล่านี้ก็ต้องห้ามโดยเด็ดขาดเพื่อจะไม่นำเชื้อมาติด โดยเฉพาะสายพันธุ์แอฟริกามีการกลายพันธุ์ไปเยอะพอสมควร ดังนั้นต้องระวังในกลุ่มประเทศเหล่านี้

“เรื่องวัคซีนเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรณรงค์ให้คนมาฉีดวัคซีนกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้ทำระบบหมอพร้อมที่ทุกคนจะสามารถบันทึกข้อมูลของตัวเอง เพื่อใช้แสดงในเข้าใช้บริการกิจการ กิจกรรมต่างๆ ว่าฉีดวัคซีนครบหรือยัง แล้วจึงไปพบกับมาตรการในพื้นที่ ทั้งการตรวจ ATK หรือ RT-PCR หรือตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อประจำจังหวัดจะกำหนด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ถามว่ามีการเปิดสถานบันเทิงใกล้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นายกฯ กล่าวว่า ตนได้กวดขัน สั่งการ ตร.ไปแล้ว จะต้องตรวจและปิดให้หมด สถานบันเทิงเหล่านี้ก็ขึ้นบัญชีเอาไว้ เมื่อไหร่ที่เปิดได้ พรุ่งนี้ก็ไม่ให้เปิด และผู้รับผิดชอบพื้นที่ต้องรับผิดชอบไปด้วย มีโทษทางวินัย ตนสั่งปิดทุกวัน

ซักว่า พรรคก้าวไกลได้พากลุ่มคนทำงานกลางคืนไปฟ้องศาลแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาล กรณีทำให้ขาดรายได้จากผลกระทบโควิด-19 นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของศาล ให้กระบวนการยุติธรรมพิจารณา ทุกอย่างตนต้องดำเนินการตามกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทุกเรื่องให้เป็นเรื่องของอัยการ ศาล ให้เขาพิจารณา หลายอย่างตนก็ชี้แจงต่างประเทศหมดแล้ว การดำเนินคดีต่างๆ เราก็ให้ดูแลอำนวยความยุติธรรม ใครผิดก็ว่าไปตามผิด

“ของเราต้องเลิกกันเสียทีไอ้แบบนี้ ใช้มวลชน ใช้อะไรต่างๆ มาพูดจา มาทำผิดกฎหมายแล้วก็บอกว่าเรารังแก ไม่ใช่ ทุกอย่างต้องอยู่ด้วยกฎหมาย ไม่อย่างนั้นก็บ้านป่าเมืองเถื่อน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในส่วนผู้ประกอบการและสถานบันเทิงที่ยังเปิดไม่ได้ ตนได้สั่งให้มีการพิจารณา เมื่อพิจารณาดูแล้วทางการแพทย์มองว่ายังมีปัญหาอยู่ และเกรงว่าปีใหม่จะเกิดปัญหาอีก คนก็จะไม่มีความสุขอีก ถ้ายังทำมาตรการ มาตรฐานได้ไม่ครบในสถานประกอบการก็ยังต้องขยับไปก่อน แต่จะพยายามทำให้ได้เร็วที่สุด ดังนั้นสถานประกอบการก็ต้องฟังและทำมาตรฐานตัวเองให้ครบ

ปรับสีพื้นที่ผับบาร์ยังไม่เปิด

“วันนี้มีมาตรการออกไปแล้วทั้งโรงแรม สถานบันเทิง ต้องยอมรับตรงนี้ ไม่อย่างนั้นมันอันตรายกับประเทศ เราเดินหน้ามาถึงวันนี้แล้วจะกลับไปถอยหลังอีกหรือ แต่รัฐบาลจะหามาตรการเยียวยาทดแทนให้ วันนี้ได้มีการเตรียมการงบประมาณเพื่อดูแลในกรณีที่เปิดไม่ได้จะทำอย่างไร ต้องช่วยเหลือทั้งผู้ประกอบการ นักแสดง นักดนตรี สำหรับสถานที่เปิดได้เราก็ได้เปิดไปแล้ว แต่สถานที่ปิดใช้แอร์ตัวเดียวกัน ดื่มสุรา ถอดหน้ากากก็จะแพร่อีก ซึ่งต้องดูสถานการณ์ เห็นใจความเดือดร้อน วันนี้ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หามาตรการดูแลคนเหล่านี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ขณะที่ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการขยายระยะเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งที่ 15 ออกไปอีก ระหว่างวันที่ 1 ธ.ค.64-31 ม.ค.65 พร้อมทั้งเห็นชอบปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ จากเดิมที่มีพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 6 จังหวัด เหลือเป็น 0 จังหวัด ทำให้ขณะนี้ไม่มีพื้นที่ใดมีการประกาศใช้ข้อกำหนดที่ห้ามออกนอกเคหสถานแล้ว ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) จาก 39 จังหวัด ปรับเป็น 23 จังหวัด พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) มี 23 จังหวัดเหมือนเดิม พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) จาก 5 จังหวัด ปรับเป็น 24 จังหวัด พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 4 จังหวัด ปรับเป็น 7 จังหวัด ได้แก่ กทม. กระบี่ ภูเก็ต พังงา โดยเพิ่มขึ้นมา 3 จังหวัดคือ กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี

นอกจากนี้ ศบค.หารือถึงมาตรการสำหรับสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งใช้เวลาหารือตรงนี้นาน เนื่องจากการประชุมวันที่ 12 พ.ย. มีมติให้เปิดบริการได้ในวันที่ 16 ม.ค.65 แต่ผู้ประกอบการยื่นหนังสือขอให้เปิดดำเนินการเร็วขึ้น ตั้งแต่เดือน ธ.ค.64 นั้น ที่ประชุมเห็นว่าหากเปิดจะมีความเสี่ยงหลายประการ ทั้งเรื่องการถ่ายเทอากาศ เรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องถอดหน้ากากอนามัยเวลาดื่มแอลกอฮอล์ การครองสติอาจมีปัญหา อีกทั้งจะอยู่ในสถานประกอบการเป็นเวลานาน

“ที่ผ่านมาก็มีคลัสเตอร์ใหญ่ๆ เกี่ยวกับสถานบันเทิงไม่ต่ำกว่า 2 คลัสเตอร์ ปีที่แล้วประเทศไทยพลาดการฉลองปีใหม่ เพราะมีการติดเชื้อใหญ่ก่อนเทศกาลปีใหม่ไม่นาน ทำให้ภาพลักษณ์การส่งเสริมท่องเที่ยวขาดช่วงไป ดังนั้นจึงต้องทำให้เห็นถึงมาตรการควบคุมโรคที่เป็นการประกาศศักดา ประกาศศักยภาพของประเทศ การใช้เทศกาลฉลองปีใหม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ประชุมจึงเห็นชอบว่าขอให้ดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้เดิม โดยตัดเรื่องวันที่ 16 ม.ค.65 ออกไป เพราะถ้าผู้ประกอบการให้ความร่วมมือเต็มที่อาจเปิดเร็วกว่าวันดังกล่าวได้ เพราะภาพลักษณ์ของไทยในช่วงปีใหม่มีความสำคัญสูง” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

โฆษก ศบค.กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ได้ระบุถึงมาตรการสำหรับสถานประกอบการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่อยากเปิดนี้ต้องมีเรื่องของโควิดฟรีเซตติง เน้นเรื่องของบุคคล ลูกค้า และสิ่งแวดล้อม ฝากประชาชน โดยเฉพาะผู้ประกอบ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ที่มีเวลาในการเตรียมตัวให้พร้อม ถ้าตอบคำถามกับคณะที่ปรึกษาหรือกับกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับมาตรการป้องกันโควิดในกิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ก็มั่นใจได้ว่ากิจกรรมเหล่านี้จะได้กลับมา

นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า เรื่องการปรับมาตรการเดินทางเข้าราชอาณาจักร หลังจาก ผอ.ศบค.มีนโยบายให้มีแซนด์บ็อกซ์ ให้มีการเข้ามาในประเทศ เกิดชุดพฤติกรรมทำให้ง่าย นำไปสู่การปฏิบัตินั้น ปรากฏผลออกมาว่าผู้ที่เดินทางเข้าโปรแกรมเทสต์แอนด์โกเข้ามาแล้วไม่ต้องกักตัวและเดินทางต่อไปได้ มีการติดเชื้อน้อยมาก ค่าเฉลี่ย 0.08% จากจำนวนคนเดินทางเข้ากว่าแสนคน ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศตามโปรแกรมเทสต์แอนด์โกตรวจหาเชื้อโควิดด้วย ATK หากผลเป็นลบสามารถออกเดินทางได้เลย เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ได้ตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ก่อนเดินทางมาแล้ว 72 ชั่วโมง หากมาตรวจ RT-PCR ซ้ำอีกจะทำให้เสียเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมง หรือบางกรณีอาจจะต้องพัก 1 คืนเพื่อรอผล

ห่วงฉีดวัคซีนแล้วการ์ดตก

“สำหรับช่องทางการเดินทางเข้าประเทศไทยจากเดิมที่เดินทางเข้ามาทางอากาศเท่านั้น ที่ประชุม ศบค.ได้เพิ่มช่องทางบกและทางเรือ โดยช่องทางบกนำร่องที่ด่านหนองคาย เริ่มในวันที่ 24 ธ.ค.นี้ ส่วนทางเรือมีข้อกำหนดเพิ่มเติมว่าจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนผ่านการลงทะเบียน ผ่านการตรวจ RT-PCR 1 ครั้งบนเรือ ซึ่งจะสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวได้ การพำนักในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ ลดเหลือ 5 วัน จากเดิม 7 วัน ส่วนการควอรันทีน จากเดิม 10-14 วัน เหลือ 5-7 วัน ในส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีที่จะเดินทางเข้ามา ไม่ต้องมีผลการตรวจ RT-PCR แต่จะต้องมีผู้ปกครองที่มีผลการตรวจ RT-PCR ไม่พบเชื้อ อนุญาตให้มาเป็นครอบครัวได้ หากมีการตรวจด้วย RT-PCR โดยสถานพยาบาลที่กำหนดและผลเป็นลบสามารถเดินทางต่อได้ ทั้งนี้ เพื่อเรียกนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความต้องการเดินทางมาและเที่ยวได้ทันที” นพ.ทวีศิลป์กล่าว

โฆษก ศบค.กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 รายวันว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,559 ราย ติดเชื้อในประเทศ 5,768 ราย จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 5,543 ราย ค้นหาเชิงรุก 225 ราย เรือนจำ 752 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 39 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 2,094,886 ราย หายป่วยเพิ่มขึ้น 6,875 ราย ทำให้มียอดหายป่วยสะสม 1,993,964 ราย อยู่ระหว่างรักษา 80,277 ราย อาการหนัก 1,440 ราย ใส่ท่อช่วยหายใจ 341 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 64 ราย เป็นชาย 29 ราย หญิง 35 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 42 ราย มีโรคเรื้อรัง 21 ราย พบผู้เสียชีวิตมากสุดอยู่ใน กทม.และเชียงใหม่ จังหวัดละ 8 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 20,645 ราย

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 26 พ.ย. ได้แก่ กทม. 609 ราย สงขลา 457 ราย นครศรีธรรมราช 457 ราย สุราษฎร์ธานี 287 ราย สมุทรปราการ 214 ราย ปัตตานี 203 ราย ชลบุรี 202 ราย เชียงใหม่ 193 ราย ภูเก็ต 128 ราย พัทลุง 115 ราย ส่วนยอดผู้ได้รับวัคซีนของประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 พ.ย. มีการฉีดวัคซีนเพิ่มเติม 266,114 โดส รวมยอดฉีดวัคซีนสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.ทั้งสิ้น 90,735,069 โดส ขณะที่สถานการณ์โลกมียอดผู้ติดเชื้อสะสม 260,279,922 ราย เสียชีวิตสะสม 5,198,905ราย

ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 27 พ.ย.-5 ธ.ค.64 กรมควบคุมโรคกำหนดให้เป็นสัปดาห์แห่งการฉีดวัคซีน สู่เป้าหมาย 100 ล้านโดส เพื่อความปลอดภัย ได้ใช้ชีวิตปกติ ซึ่งภาพรวมแผนการบริหารจัดการและการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

“นายกฯ กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเดินหน้าเคลื่อนที่ฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ของตัวเองให้ครบโดส ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนร่วมกันเดินหน้าสู่เป้าหมายฉีดวัคซีนครบ 100 ล้านโดส เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในเกิดขึ้น พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจการท่องเที่ยว รับการเปิดประเทศต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว

นพ.อุดม​ คชินทร ที่ปรึกษา​ ศบค.​ กล่าวว่า ในช่วงเดือน ธ.ค.มีหลายเทศกาล ซึ่งเป็นห่วงสถานการณ์โควิด เพราะถ้าดูสถานการณ์ทั้งโลกจะเห็นว่าตัวเลขกำลังขึ้นมาก โดยเฉพาะในยุโรป และที่ผ่านมาสถานการณ์ของเราก็ตามยุโรป 2-3 เดือนทุกที จึงคิดว่าการผ่อนปรนต้องทำแน่นอน เพียงแต่เราต้องเคร่งครัดเรื่องมาตรการ ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง ไม่เช่นนั้นขึ้นแน่นอน

“ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศเย็น ไวรัสจะเติบโตได้ดี และเรื่องวัคซีนเริ่มเห็นได้ชัดที่ยุโรปใช้วัคซีนที่ดี ครอบคลุม 70-80 เปอร์เซ็นต์ ​ก็กลับมาบ้านใหม่ สิ่งที่อยากจะเตือนคือ พอเราได้ฉีดวัคซีนแล้วเริ่มจะสบายใจ ลั้นลากันแล้ว ซึ่งในยุโรปภาพตรงนี้ชัดมาก พอฉีดวัคซีนแล้วไม่ใส่หน้ากากอนามัยเลย ไม่มีการเว้นระยะห่าง ทัศนคติตรงนี้ต้องช่วยกันปรับ อย่างเมื่อเช้าวันเดียวกัน​ดูตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่ของไทยเริ่มกระดกขึ้นมาแล้ว และหลังจากเราเปิดอะไรสักอย่าง 2-4 สัปดาห์ เชื่อว่าตัวเลขมันต้องขึ้นแน่นอน เพียงแต่อาจจะไม่เยอะ แต่จะทำให้เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเปิดประเทศ” นพ.อุดมระบุ

ปาร์ตี้วันเกิด พปชร.แจงวุ่น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 47 ล้านคน จากเป้าหมาย 50 ล้านคน ยังมีผู้ไม่ได้รับวัคซีนอีก 3 ล้านคน คาดว่าจะฉีดครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ โดยทุกแห่งจะเร่งรัดฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ เด็ก และขยายไปถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าว เนื่องจากผู้ไม่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงติดเชื้อ อาการหนักและเสียชีวิต

“ได้ให้อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และอธิบดีกรมสุขภาพจิต จัดสถานที่ฉีดวัคซีนทางเลือก mRNA 3 แห่ง คือ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลศรีธัญญา สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรก หรือผู้ที่จองซื้อวัคซีนทางเลือกไว้ ส่วนผู้ที่จองวัคซีนทางเลือกในต่างจังหวัดจะให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสำรวจและจะจัดส่งวัคซีน mRNA ไปให้” นายอนุทินกล่าว

วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณี ส.ส.แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลจัดงานวันเกิด ซึ่งมีผู้ร่วมงานไม่ใส่หน้ากากอนามัยว่า ก็เตือนไปแล้ว เป็นเรื่องของเขาที่ต้องระมัดระวัง หากมีการแพร่ระบาดก็ต้องรับผิดชอบ ใครจะจัดอะไรก็แล้วแต่ต้องมีความระมัดระวัง สิ่งสำคัญวันนี้ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วก็ต้องใส่หน้ากาก ถ้าจะจัดงานก็ต้องทำตามมาตรการ และมีการขออนุมัติเป็นทางการ ซึ่ง ศบค.ก็ดูแลเรื่องนี้อยู่

อย่างไรก็ดี นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ชี้แจงกรณีดรามาจัดงานวันเกิดว่า ไม่ได้การ์ดตก และคนที่มาในงานได้สวมแมสก์กันทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พปชร.ที่ฉีดวัคซีนกันครบ และผ่านการตรวจ ATK กันอย่างเนื่อง เพราะเราเข้าร่วมประชุมกันในสภาอยู่แล้ว โดยภายในงานเป็นการจัดในวงแคบๆ ไม่ได้ใหญ่มาก และยิ่งสถานการณ์โควิด-19 เราได้ตรวจสอบคนที่มาร่วมงานอยู่แล้ว มีการเตรียมพร้อมมาตรการดูแลด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด ทั้งเครื่องวัดอุณหภูมิ และสเปรย์แอลกอฮอล์

“ช่วงที่ถอดหน้ากากอนามัยเป็นช่วงการถ่ายรูปมอบของขวัญ และนั่งรับประทานอาหารเท่านั้น เพราะเราคงใส่หน้ากากอนามัยรับประทานอาหารไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าคนที่นำเพียงบางภาพไปเป็นประเด็นดรามามีจุดประสงค์อะไร เพราะตนระมัดระวังตัวเองอยู่แล้ว” นางกรณิศระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป