‘ไตรรงค์’แฉปชป.ยัดเงินเลือกกก.บห.

“ไตรรงค์” เดือด! สวน “ปชป.” ไม่เหมือนเดิม รักษาอุดมการณ์ไว้ไม่ได้ แฉแค่เลือก กก.บห.ยังต้องยัดเงิน  ขณะที่ “ชุมพล” ปัดข้อมูลซื้อตัว 200ล้านกวาดยกจังหวัด แค่ฟังจากพรรคอื่นเมาธ์ “เพื่อไทย” โวยประยุทธ์กอดเก้าอี้นายกฯ หาเสียงเอาเปรียบพรรคอื่น “เต้น”แอกชันโต้แทน “เศรษฐา” ซัดกลับนายกฯ 8 ปียังคิดว่าประเทศไทยเป็นค่ายทหารไร้วุฒิภาวะ “อีสานโพล” เผยคนอีสานเลือก “อุ๊งอิ๊ง” เป็นนายกฯ ขณะที่ “ลุงตู่” มาอันดับ 4

ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) วันที่ 2 มีนาคม นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคร่วมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ระบุว่ามีพรรคการเมืองที่จ้องตกปลาในบ่อเพื่อนว่า พรรคที่นายจุรินทร์พูดถึงคงชั่วจังเลย แต่คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องมีวิธีป้องกันคนของตัวเองไม่ให้ออกด้วย ซึ่งมี 2 ประเด็นคือ 1.มีพรรคการเมืองที่พยายามจะไปตกลงกับสมาชิกของพรรคอื่นโดยมีการระบุว่าจะให้เงินให้ทอง 2.มีบางพรรคที่กลัวสมาชิกจะออกก็ยัดเงิน ประมาณว่าอย่าออกนะ ให้เงินเท่านู้นเท่านี้ ซึ่งแบบนี้เรียกว่าตกปลาในบ่อตัวเอง ส่วนการระบุว่านายไตรรงค์ดึงสมาชิกพรรค ปชป.มาอยู่พรรค รทสช.นั้น คิดว่าคนที่มาจาก ปชป.คิดเหมือนตน อยากถามว่าใครจะมาตกตนได้ แค่คันเบ็ดมาก็ถูกเตะก้านคอแล้ว

“คนที่ออกมาจากพรรค ปชป.ต้องไปถามเขาดูว่าทำไมเขาถึงออก ก็เพราะปชป.ไม่สามารถรักษาอุดมการณ์เดิมไว้ได้แล้ว ตั้งแต่หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เสียชีวิต อุดมการณ์ก็อ่อนมาเรื่อยๆ ผมสังเกตมาตลอด และคนที่อยู่ก็ไม่รักษาอุดมการณ์ เมื่อก่อน ปชป.เลือกตั้ง เลือกกรรมการบริหารไม่เคยซื้อเสียง แต่ระยะหลังซื้อกันคนละแสนสองแสน และได้ข่าวยัดเงินบางคนไปจนถึงล้านแล้ว คนอย่างผมจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าพรรคตกต่ำถึงขนาดนี้” นายไตรรงค์ กล่าว

“อย่างนายชุมพล มีเงินเป็นพันๆ ล้านใครจะไปตกเขาได้ อย่างผมไม่ค่อยมีเงิน รอให้มันมาตก เสือกไม่มีใครตก ไม่ต้องให้ถึง 200 ล้านหรอก ให้แค่ 1 ล้านก็ไปแล้ว เพราะคนอย่างผมมีกิเลสหนา ยืนยันว่าการที่ผมมาพรรค รทสช. เป็นการมาเอง ส่วน ส.ส.จากพรรคอื่นที่มาก็ไม่เห็นมีใครมาด้วยเงิน ที่เขามาสมัครกันเยอะแยะก็เพราะเขาทนที่เดิมไม่ได้ สำหรับนายชุมพล ผมเป็นคนไปเจรจาเอง เพราะเขาอึดอัด เนื่องจากลูกสาวเขาบอกว่าอยู่ๆ ก็มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคและปรากฏว่ามีคนเอาเงินมาให้ 5 แสนบาท บอกให้ช่วยเจรจาในกลุ่มซึ่งมีอยู่ 3 คนให้ช่วยยกมือเลือกให้ ลูกสาวนายชุมพล จึงมาเล่าให้พ่อฟังว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นใน ปชป. นายชุมพลจึงบอกให้ลูกสาวเอาเงินไปคืนโดยบอกว่าเงิน 5 แสนบาท ไม่มีความหมาย เพราะพ่อมีเงินเป็นพันๆ ล้าน นี่คือความอึดอัดของลูกสาวนายชุมพล ที่บอกว่าไม่อยากอยู่แล้ว ปชป. เพราะมันไม่เหมือนเดิมแล้ว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้หัวหน้าพรรคเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายไตรรงค์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่นายจุรินทร์เป็นคนไม่มีตังค์อยู่แล้ว ตนว่าตนรวยกว่านะ เพราะภรรยารวย นายจุรินทร์ไม่ได้รวยเหมือนตน แต่ที่ได้เป็นหัวหน้าพรรคเพราะนายชวน หลีกภัย หนุน ซึ่งนายชวนบอกกับตนเอง ซึ่งตนก็บอกไปว่าก็ดีแล้ว

นายชุมพล กาญจนะ รองหัวหน้าพรรค รทสช. กล่าวถึงกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ปชป. แฉว่าพรรค รทสช. ตกปลาในบ่อเพื่อน มีการระบุถึงจำนวนเงิน 200 ล้านบาทด้วยหากได้ ส.ส.ยกจังหวัดว่า ยอมรับว่าคนที่นายชวนพูดถึงนั้นเป็นตนเอง ตนได้พูดกับนายชวนว่ามีความหนักใจหลายเรื่องในพรรค เพราะเหมือนต่างคนต่างอยู่ มีความแตกแยกกันเยอะ ลูกสาวตนอยู่ที่พรรค ปชป.หลายปีมาบอกว่าที่พรรคอยู่กันเป็นก๊วนเป็นก๊ก ซึ่งเขาไม่สบายใจ ไม่อยากอยู่ตนอยู่ ปชป.มา 30 ปีจำได้ไม่มีลืม มีแต่ให้ไม่เคยได้เงินจากพรรค

'ชุมพล'โต้รับเงิน200ล้าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข่าวที่ระบุถึงเงิน 200 ล้านที่นายชวนอ้างถึงมาจากไหน นายชุมพลกล่าวว่า นายชวนอาจจะประเมินเอา แต่ตนไม่ได้บอกนายชวนถึงเรื่องของเงิน 200 ล้าน เพียงแต่บอกว่าตอนนี้มีการซื้อกันเยอะแยะ รู้สึกมันจะไม่ธรรมดาแล้ว ซึ่งมีหลายพรรคมาหาตนบอกว่าจะให้เท่านู้นเท่านี้ แต่ตนก็ไม่ได้คุยอะไรในเรื่องเหล่านี้

เมื่อถามว่า จากข่าวที่บอกว่ามีการเสนอให้ทั้งจังหวัด 200 ล้านจริงหรือไม่ นายชุมพลกล่าวว่า อันนี้ไม่มีหรอก มีแต่พรรคนู้นพรรคนี้บอกว่ามานะ มาอยู่ด้วยกันนะ จะช่วยเงินช่วยทองก็เป็นแบบนี้ แต่ตนก็บอกว่าเดี๋ยวรอปรึกษาครอบครัว ปรึกษาลูกก่อนว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งลูกสาวก็หนักใจ ผลที่สุดก็บอกว่าให้มาด้วยกัน

น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม พรรค ปชป. ว่าที่ผู้สมัครส.ส.รทสช. เปิดเผยถึงเหตุผลย้ายพรรคว่า เป็นไปตามความต้องการของชาวบ้านหลังจากทำโพลสอบถาม ผลโพลออกมาต้องการให้ไปอยู่ รทสช.นำมาเป็นอันดับ 1 ส่วน ปชป.อยู่อันดับ 5 เลยจำเป็นต้องย้ายพรรค ความจริงตนไม่มีอะไรกับ ปชป.เลย ตนเป็น ส.ส.ปชป.มาหลายสมัย แต่เมื่อประชาชนต้องการให้ไปอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ต้องทำตามความต้องการประชาชน ไม่เช่นนั้นจะสอบตก

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคปชป. กล่าวถึงกรณีที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์พรรคเสรีรวมไทย อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะไปร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบมิวสิกวิดีโอเพลงเช้าวันใหม่ที่พรรคประชาธิปัตย์แต่งขึ้นเพื่อใช้หาเสียง เข้าข่ายผิดระเบียบ กกต.ว่า เรื่องนี้มีที่มาที่ไป จากกรณีที่ตนออกมาตอบโต้ชี้แจงนายสมชัยที่พาดพิงนายชวน เกี่ยวกับการหยุดพิจารณาชั่วคราวในการพิจารณา พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่ม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย นายสมชัยน่าจะโกรธและสู้ไม่ได้ เพราะหลักกฎหมายก็ต้องยอมรับว่านายสมชัย หละหลวมพอสมควร แม้จะเป็นอดีต กกต.

“เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงได้ไปหยิบยกเรื่องเอ็มวีเพลงเช้าวันใหม่ที่พรรค ปชป.ได้ทำ ยอมรับว่าเขาอ้างระเบียบข้อที่ 18 ของระเบียบ กกต. ระบุไว้ว่าห้ามไม่ให้ผู้สมัครส.ส.ของพรรคที่มีวิชาชีพนักร้อง ซึ่งก็คือนายเมธี อรุณ หรือเมธี ลาบานูน เอื้อประโยชน์หาเสียงให้กับพรรค แต่อย่าลืมว่านายเมธีเขาไม่ได้เป็นนักร้องเหมือนปกติ แต่นายเมธีคือสมาชิกพรรค ปชป. ที่แสดงเจตจำนง และพรรคมีมติว่าให้นายเมธีลงสมัคร ส.ส. ฉะนั้นการทำแคมเปญประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ คือการจัดทำเอ็มวีโดยคนทุกรุ่น รวมสมาชิกเข้าด้วยกัน ผมว่าไม่ได้เข้าข่ายผิดกฎหมาย ผมมั่นใจด้วยเพราะเป็นฝ่ายกฎหมายจึงไม่กังวล หากมีใครจะไปร้องเรียนก็พร้อมชี้แจง แต่คนที่ร้องก็ต้องระมัดระวังเหตุผล เพราะว่าเมื่อเรายืนยันว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองไม่เคยทำ หรือปชป.ไม่เคยทำ แต่ทำมาโดยตลอด แต่คาดว่าอีกไม่กี่วันสถานการณ์การเมืองอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป หากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ก็จะมีข้อแตกต่างของกฎหมายมากพอสมควร ยืนยันว่าการทำเอ็มวีดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายกำหนด” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว

นายราเมศกล่าวต่อว่า การหาเสียงต้องมีแคมเปญเพลงของพรรค จะบอกว่าเป็นการรื่นเริงไม่ได้ เพราะไม่ได้มีประชาชนมาดูเป็นหลายพันคน แต่เป็นการทำภายในของพรรคเพื่อสื่อสารในรูปแบบดิจิทัล บันทึกภาพและเสียงให้ประชาชนเห็นผลงานของพรรคอนาคตข้างหน้า

พท.โดดป้อง'เศรษฐา'

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า การที่รัฐบาลที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ยอมยุบสภา กอดอำนาจเอาไว้ และยังทำงานไม่คุ้มค่ากับภาษีของพี่น้องประชาชน กลับลาราชการมาร่วมพิธีทำบุญใหญ่ ณ ที่ทำการพรรค รทสช. ลาราชการมาสวมเสื้อแจ็กเกตให้ผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรค รทสช. โดยที่ยังได้ทั้งเงินเดือน และสวัสดิการเพรียบพร้อมที่มากกว่าผู้สมัครอื่นๆ การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯจาก รทสช. และมีตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีที่สังกัดพรรคการเมือง ถือเป็นการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นหรือเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่งในช่วงเวลาใกล้การเลือกตั้งหรือไม่

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีต่อการเปิดตัวนายเศรษฐา ทวีสิน ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ควรแสดงวุฒิภาวะที่ดีมากกว่านี้ ควรสำนึกว่าเติบโตมาในชีวิตราชการอย่างไร ส่วนตัวมองว่าท่านโตมาในกองทัพและกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ ส่งต่อมาเป็นทอดๆ และตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ไม่คิดว่าคนไทยจะเห็น พล.อ.ประยุทธ์เป็นที่พึ่งอีกแล้ว และไม่สามารถเห็นอนาคตภายใต้การนำของท่านได้ เพราะประเทศไทยไม่ใช่ค่ายทหาร ประชาชนไม่ใช่พลทหาร อำนาจที่มี แนวทางที่เป็น ไม่ได้สอดรับกับความต้องการของประชาชนที่รออยู่ ทั้งนี้ พรรค พท.จะขับเคลื่อนนโยบายและเดินหน้าเป้าหมายแลนด์สไลด์ต่อไป

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 4-5 มี.ค.นี้ พรรค พท.เตรียมลงพื้นที่หาเสียงภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน 3 จังหวัดอีสานใต้ ได้แก่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ โดยในวันที่ 4 มี.ค. เวลา 10.00 น.  จะเริ่มเวทีแรก ที่อาคารกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เทศบาลเมืองปักธงชัย อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา จากนั้นจะไปสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ก่อนไปเปิดเวทีที่ 2 เวลา 14.00 น. ณ ลานข้างสถานีรถไฟ อ.คง จ.นครราชสีมา และช่วงเย็นเวลา 17.00 น. จะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ณ สนามหน้าศาลากลาง อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ซึ่งสนามนี้เคยมีเวทีพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อสัปดาห์ก่อนเชื่อว่าพรรค พท.จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เก้าอี้จะเต็มทุกที่นั่ง

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า ส่วนในวันที่ 5 มี.ค. เวลา 11.00 น. จะเปิดเวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประสานงานพรรค พท. อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ก่อนไปต่อเวทีปราศรัย ณ ตลาดเมืองใหม่ไอคิว อ.เมืองฯ จ.สุรินทร์ สำหรับแกนนำที่จะร่วมขึ้นเวทีปราศรัยในครั้งนี้ นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรค, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค, นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค, นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.และผู้ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้งบัญชีรายชื่อและเขตในพื้นที่

อีสานโพลชู'อุ๊งอิ๊ง'นายกฯ

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แต่งตั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขานุการคณะก้าวหน้า และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกลว่า บุคคลทั้ง 3 ต้องไปตรวจสอบข้อกฎหมายให้ชัดเจนว่ามีสถานะอย่างไร ตอนนี้ตนกำลังตรวจสอบกับ กกต. หากเป็นอย่างไรก็จะดำเนินการทันที เพราะทราบว่าทั้ง 3 ท่านจะไปช่วยพรรคการเมืองหาเสียงในวันที่ 3 มี.ค.นี้  ทั้งนี้ ตนเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงพอสมควร เพราะหากตรวจสอบแล้วปรากฏว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจจะนำไปสู่การยุบพรรคที่นายธนาธรไปช่วยหาเสียงได้อีกครั้งหนึ่ง 

ผศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการสำรวจอีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสาน คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยผลสำรวจเรื่องนโยบายเศรษฐกิจที่ใช่ของคนอีสาน จากการลงพื้นที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน พบว่า 5 นโยบายเศรษฐกิจเด่น ที่คนอีสานให้ความสำคัญช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงคือ นโยบายขึ้นค่าแรงและเงินเดือนขั้นต่ำ, นโยบายแก้หนี้, พักหนี้, เติมทุน, นโยบายบำนาญหรือเบี้ยผู้สูงอายุ,  นโยบายเพิ่มเงินบัตรประชารัฐ, คนละครึ่ง และนโยบายการลดค่าน้ำมัน, ค่าแก๊ส, ค่าไฟ, หนุนโซลาร์เซลล์

ขณะที่นโยบายหาเสียงด้านเศรษฐกิจที่ถกให้ความสำคัญที่สุด อันดับแรกหรือพรรคเพื่อไทยด้วยคะแนนร้อยละ 14.5 รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 6.3”

ผศ.ดร.สุทินกล่าวต่ออีกว่า สำหรับคำถามที่ว่า ถ้าเลือกตั้ง ส.ส.วันนี้ ท่านมีแนวโน้มจะลงคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้พรรคใด ซึ่งผลสำรวจพบว่าอันดับที่ 1 คนอีสานเลือกพรรคเพื่อไทยมากถึงร้อยละ 33.4 รองลงมาพรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 16.0 อันดับ 3 พรรคก้าวไกล ร้อยละ14.6 ตามมาด้วย พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 11.1, พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 11.1, พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 5.7,  พรคคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 3.5, พรรคเสรีรวมไทย ร้อยละ 1.7 และพรรคอื่นๆ ร้อยละ 2.9 และถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ ท่านอยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด พบว่า อันดับ 1 เป็นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 30.1 รองลงมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 17.1 อันดับ 3 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 14.5, อันดับ 4 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 11.2, อันดับที่ 5 นายอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 10.8 และอันดับที่ 6 คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร้อยละ 5.3.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง