กนง.ขึ้นดอกเบี้ย0.25% รับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว

"กนง." มติเอกฉันท์ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ขยับเป็น 1.50% ต่อปี มีผลทันที ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวใกล้ระดับก่อนโควิด อานิสงส์จีนเปิดประเทศหนุนภาคท่องเที่ยวไทยสุดบูม  สวนทางส่งออกแผ่วยาว ก่อนทยอยฟื้นตัวในปี 67 เกาะติดเงินบาทใกล้ชิด ประเมินเงินเฟ้อทยอยเข้ากรอบปลายปีนี้

เมื่อวันที่ 25 มกราคม นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน  (กนง.) เปิดเผยภายหลังการประชุม กนง.ว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 1.25% เป็น 1.50% ต่อปี โดยให้มีผลทันที เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ดี โดยภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานและการกระจายรายได้ของลูกจ้างในภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระจำนวนมาก รวมทั้งเป็นแรงส่งต่อเนื่องไปยังการบริโภคภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ แต่จะฟื้นตัวในปี 2567 ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดในปี 2566 ก่อนจะปรับดีขึ้นในปีหน้า

 “จีดีพีของไทยเริ่มกลับเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโควิด และมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนที่เปลี่ยนไป คือภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้แรงและมากกว่าที่คาดการณ์ หลังจากที่จีนเปิดประเทศ  ขณะที่ภาคการส่งออกในปี 2566 และปี 2567 อาจจะเบาลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 25 ล้านคน และปี 2567 ที่ 34 ล้านคน จากปีที่ผ่านมาที่ 11 ล้านคน ซึ่งการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องและเข้มแข็งดี กิจกรรมที่ฟื้นตัวดีขึ้นนี้นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลไปสู่การบริโภคที่จะยังเติบโตต่อไปได้ในปีนี้” นายปิติกล่าว

ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง และคาดว่าจะทยอยกลับเข้ากรอบเป้าหมายได้ภายในปลายปี 2566 จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานทยอยคลี่คลายตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับลดลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่งก่อนจะทยอยปรับลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด จากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเผชิญภาวะต้นทุนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะส่งผลให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์เพิ่มขึ้น จึงต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ดี ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยต้องติดตามความเสี่ยงเงินเฟ้อจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้น จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยพร้อมที่จะปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อไทยเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้

สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทนั้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เงินบาทแข็งค่าขึ้นราว 4-5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เทียบกับสกุลเงินอื่นแข็งค่าขึ้นราว 2% โดยรวมสะท้อนปัจจัยพื้นฐานจากธนาคารกลางของประเทศหลักซึ่งมีท่าทีว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะใกล้เคียงจุดสูงสุด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลงบ้าง และปัจจัยภายในคือการที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยดีขึ้น จึงเป็นเหตุผลให้เงินบาทแข็งค่า ซึ่งเรื่องนี้ตลาดรับรู้ปัจจัยดังกล่าวแล้ว ดังนั้น ณ จุดนี้ การเคลื่อนไหวของค่าเงินยังเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล มีระเบียบ ยังไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ต้องนำมาพิจารณาในเรื่องของนโยบาย แต่ก็ต้องจับตากันต่อไป

 “เงินบาทอาจจะแข็งค่าช่วงแรก และอาจจะแข็งค่ากว่าเพื่อนบ้านบ้าง แต่ก็มีเหตุเฉพาะที่เข้าใจได้ เพราะไทยได้รับอานิสงส์เยอะจากนักท่องเที่ยวจีน โดย กนง.มองว่าค่าเงินไม่ได้มีการปรับตัวที่เหมือนฉีกออกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่ก็เฝ้าติดตามดูอยู่ และในแง่วัฏจักรเศรษฐกิจไทยเทียบกับต่างประเทศ ปีก่อนเรายังไม่ฟื้น เขาฟื้น แต่ปีนี้สลับกัน เราฟื้นต่อเนื่อง แต่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ก็มีเหตุผลว่าทำไมการลงทุนในไทย สินทรัพย์ของไทยจึงมีความน่าลงทุนมากขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ ก็เป็นไปตามธรรมชาติ โดยตอนนี้ กนง.ก็เฝ้าระวังและติดตามอยู่ แต่ก็ยังไม่ต้องมีการทำอะไรเป็นพิเศษ”  เลขานุการ กนง.ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง