บิ๊กตู่บี้แจงข่าวดัง ชูวิทย์แฉขู่พยาน!

"บิ๊กตู่" สั่งทุกหน่วยเร่งรัดคดีทุจริตที่เป็นข่าวดัง พร้อมแถลงความคืบหน้าให้ ปชช.ทราบทุกระยะ "โฆษกรัฐบาล" ปัดไม่ใช่ตีปี๊บลุยงานช่วงใกล้เลือกตั้ง "ชูวิทย์" ตั้งโต๊ะต่อสายพยานคดีตู่ห้าวแจ้งถูกขู่ให้ถอนตัว เชื่อมีขบวนการทำลายพยานหลักฐาน "โฆษก ตร." ชี้หากพบผู้ต้องหาไปยุ่งเหยิงพยานสั่งเพิกถอนประกันได้ คดีตำรวจ 191 รีดส่วยชาวจีนสีเทาเตรียมสอบวินัยผู้บังคับบัญชา "ศาล" นัดสอบคำให้การ "ตู้ห่าว"   กับพวก 23 คน คดีค้ายา-ฟอกเงิน 23 ม.ค.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 20 ม.ค.นายอนุชา​ บูรพ​ชัยศรี รอง​เลขาธิการ​นายก​รัฐมนตรี​ฝ่าย​การเมือง ปฏิบัติ​หน้าที่​โฆษก​ประจำ​สำนัก​นายก​รัฐมนตรี​ พร้อม พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ​ และนายวัลลภ นาคบัว​ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม​ และนายกุศล โชติรัตน์​ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม​ ร่วมแถลงความคืบหน้าการติดตามคดีทุจริตที่เป็นข่าวดังและได้รับความสนใจจากประชาชน

นายอนุชากล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งการให้ติดตามเผยแพร่ความคืบหน้าทั้งการสืบสวนสอบสวน การดำเนินการให้เกิดความชัดเจนในประเด็นต่างๆ ที่มีผลต่อความรู้สึกของประชาชน

ส่วน พล.ต.ต.อาชยนกล่าวว่า ในส่วนคดีกลุ่มธุรกิจทุนจีนสีเทา นายกฯ ได้กำชับให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องโดยไม่ละเว้น ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เป็นผู้ควบคุมการตรวจสอบเส้นทางต่างๆ รวมทั้งประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ นำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีนายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือตู้ห่าว​ รวมไปถึงขยายผลไปสู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง​รวม​ 117 ราย​ มีเอกสารทั้งสิ้น​ 67 แฟ้ม​ อายัดทรัพย์สิน​ 5,345 ล้านบาท​

"นายกฯ กำชับหากทรัพย์สินนั้นสาวไปถึงใคร ให้ดำเนินคดี ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจากการสอบสวนพบตำรวจ 6 นายเกี่ยวข้อง จึงให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว โดยภาพรวมของคดีตลอดระยะเวลาเกือบ 3 เดือนคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ขยายผลผู้ร่วมกระทำความผิดทุกราย จึงขอให้ประชาชนมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง" พล.ต.ต.อาชยนกล่าว

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า พนักงานสอบสวนคดีนี้ได้ส่งสำนวนคดีให้สำนักงานอัยการเรียบร้อย และหากพบว่ามีผู้เกี่ยวข้อง หรือมีข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม รวมทั้งหากมีการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่จะต้องดำเนินการสั่งฟ้องศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยจะเสนอให้พนักงานอัยการมีความเห็นให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่มีข้อมูลว่าอาจจะเกี่ยวข้องโดยไม่มีการละเว้น

ด้านนายวัลลภกล่าวว่า​ ในส่วนกระทรวงยุติธรรม นายกฯ สั่งดำเนินการทุกคดีให้เป็นไปตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และการรวบรวมพยานหลักฐานนั้น ขอให้ตรงไปตรงมา ดังนั้นในส่วนของคดีพิเศษ มีนัยเชิงเข้มข้น ​มีความสำคัญ​ โดยเฉพาะคดีที่มีทุนทรัพย์สูงเป็นคดีที่มีความสำคัญและสนใจ ในส่วนของกรมต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส ชี้แจงต่อประชาชนได้

นายวัลลภกล่าวถึงคดีที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้องเรียกรับเงินชาวจีนสีเทาร่วมกับตำรวจ 191 และทหารนั้น นายสมศักดิ์​ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว โดยนายกฯ ​ให้เวลา 30 วัน ซึ่งจะครบกำหนดวันที่ 3 ก.พ. ในการรายงานคดีนี้มีการเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่

นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบดีเอสไอเรื่องการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างหรือไม่​ เนื่องจากใน 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการจัดซื้อจัดจ้างในหลายโครงการ โดยเฉพาะเครื่องมือพิเศษต่างๆ คณะกรรมการจะต้องตรวจสอบ​ โดยขณะนี้ได้มีการโยกย้ายสลับอธิบดีภายในกรม​แล้ว​​

ช่วงท้ายของการแถลงข่าว นายอนุชากล่าวถึงคดีที่มีการพาดพิงถึงหลานของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยังไม่มีการออกมาชี้แจงให้เกิดความชัดเจนว่า ตรงนี้ยังไม่มีข้อกล่าวหาที่เป็นรูปธรรม เป็นเพียงการกล่าวอ้าง ฉะนั้นในการสืบสวนสอบสวนจึงเน้นเรื่องความตรงไปตรงมา หากพบใครที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือภาคเอกชน ก็ให้ดำเนินการตามระเบียบตามกฎหมาย ซึ่งนายกฯ ไม่ต้องการจะกล่าวถึงใครที่ถูกพาดพิง แต่เน้นที่การสืบสวนสอบสวน เมื่อพบเจออะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็ให้ดำเนินการโดยตรง ไม่ต้องเกรงกลัวใครทั้งสิ้น

ถามว่าเป็นเพราะใกล้เลือกตั้งหรือไม่ ถึงต้องเร่งกวดขันคดีเหล่านี้ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน คดีเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ ฉะนั้นสิ่งใดที่นายกฯ ให้ข้อสั่งการไป ก็ต้องการรับทราบความคืบหน้า และอยากให้ประชาชนรับทราบ

ขณะที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ตั้งโต๊ะแถลงและต่อสายตรงถึงพยานบุคคลสำคัญในคดีตู้ห่าว หลังมีข่าวถูกโน้มน้าวให้ถอนตัวจากการเป็นพยานในคดี โดยพยานรายดังกล่าวเปิดเผยว่า ตนไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่าตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการเสนอเป็นตัวเลข

นายชูวิทย์กล่าวว่า สำหรับพยานที่ถูกโน้มน้าวขณะนี้มี 2 คน คนแรกคือคนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และคนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากพยานทั้ง 2 คนอยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ นอกจากนี้ยังพบพยานอีก 1 คน ถูกข่มขู่จนเกิดความกลัว จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดต่อได้

"เชื่อว่าการสืบพยานกว่า 400 ปากจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี และขณะนี้พบว่ามีขบวนการที่จะทำลายพยานหลักฐาน ซึ่งคนที่ทำลายพยานหลักฐานเชื่อว่าเป็นคนที่ได้รับการประกันตัวไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้มีการถอนประกัน ประกอบกับเนื่องจากจะต้องมีการเพิ่มข้อกล่าวหาอาชญากรรมข้ามชาติ และปกติการเพิ่มข้อหาจะต้องถูกถอนประกัน" นายชูวิทย์กล่าว

เขายังตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินนายตู้ห่าวล่าช้า จะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมาทรัพย์สินของนายตู้ห่าวที่ตรวจพบประมาณ 8 พันล้านบาท กลับไม่มีเงินสดแม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น

"ขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีบิดเบี้ยวและล่าช้า เนื่องจากแต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลานาน ทำให้พยานหรือหลักฐานเสียหายหรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพลและมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสต่อสู้และโน้มน้าวพยาน การโน้มน้าวพยานจะถูกเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบของเงิน เพื่อไม่ให้ไปให้การกับศาล หากไปก็จะให้การปฏิเสธว่าไม่รู้และไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้วก็ขอให้การใหม่ หรือสุดท้ายให้พยานหายตัวไป" นายชูวิทย์กล่าว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณี พ.ต.อ.หญิงภรรยานายตู้ห่าว ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฝากขังว่า ถือเป็นดุลพินิจของศาลในการพิจารณา เนื่องจากเห็นว่ามีอาชีพ มีที่อยู่อาศัยชัดเจน และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี แต่หากพบว่าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทางคณะพนักงานสอบสวนก็มีสิทธิ์เพิกถอนประกันได้ รวมทั้งหากประชาชนท่านใดมีหลักฐานชัดเจนว่าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ก็สามารถนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวนพิจารณาได้

ถามถึงคดีที่ตำรวจ 191 เข้าตรวจค้นภายในบ้านพักอดีตกงสุลนาอูรูและเรียกเอาทรัพย์จากผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 9 ล้านบาทนั้น โฆษก ตร.กล่าวว่า ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับตำรวจ 191 จำนวน 9 นาย รวมทั้งเตรียมสอบสวนผู้บังคับบัญชาเหนือไป 2 ระดับ รวมทั้งรอง ผบก.191 และรอง ผบช.น. ซึ่งกำชับการทำงานของนายตำรวจที่กระทำผิดตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามีคำสั่งให้ไปปฏิบัติการอย่างไร

ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ภายหลังพนักงานอัยการสำนักงานคดียาเสพติด 4 ได้นำเอกสารคำฟ้อง ยื่นฟ้องนายฮวง ไฮ่ เท่า เป็นจำเลยที่ 1 นายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว กรณ์ชายานนท์ เป็นจำเลยที่ 2 รวมกับพวกสัญชาติจีน ไทย กัมพูชา และบริษัทนิติบุคคล (5 แห่ง) รวมทั้งสิ้น 23 ราย เป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐานตามประมวลกฎหมายยาเสพติด, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542, พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522, พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560, พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509, พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 209 รวมทั้งหมด 9 ข้อหา เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมานั้น

ล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งประทับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ ย.87/2566 และกำหนดนัดสอบคำให้การจำเลย ในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.2566

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้อัยการมีคำสั่งฟ้องทั้งหมด 41 ราย แต่ได้ตัวมาฟ้องเป็นจำเลยทั้งสิ้น 23 ราย ส่วนอีก 18 รายที่เหลือ อยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กูรูอัจฉริยะฟันธงปมเรื่อง 'ต้นอ้อ' แค่สร้างคอนเทนต์

'อัจฉริยะ'โว รู้หมดใครเป็นอย่างไร หลัง 'ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง' ถูกแฉแอบอ้าง 'รองเลขาฯนายกฯ' อัดเบื้องหลังสกปรกทุกคน อวยตัวเองทำงาน 15 ปี ไม่มีคดีฉ้อโกง บอกสมัยนี้การสร้างคอนเทนต์ ตีฟูกระแสจนเวอร์เกิน