![ธงทอง-จันทรางศุ](https://storage-wp.thaipost.net/2022/09/ธงทอง-จันทรางศุ.jpg)
“กรุงเทพธนาคม” เปิด 5 ประเด็น แจงศาลปกครองสู้ "บีทีเอส" ปมถูกฟ้องร้องเรียกค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายอีกคดี วงเงิน 10,600 ล้านบาท ชี้สัญญาจ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ลุ้นศาลพิจารณาคดี
เมื่อวันที่ 16 มกราคม มีรายงานข่าวจากบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือเคที เปิดเผยว่า จากที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด โดยมีศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้ทนายความตัวแทนของบริษัทเข้ายื่นคำให้การต่อศาลปกครองในคดีที่ 2 ซึ่งกลุ่มบริษัทบีทีเอสยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) และกรุงเทพธนาคม เพื่อให้ชำระหนี้ค่าเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายเป็นจำนวนเงิน 10,600 ล้านบาท โดยศาลปกครองจะส่งสำเนาคำให้การของกรุงเทพธนาคมไปให้บีทีเอสเร็วๆ นี้ ตามขั้นตอนแสวงหาข้อเท็จจริงเหตุผลหักล้างกันต่อไป
สำหรับการยื่นคำให้การครั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่บริษัทได้นำเรียนให้ศาลเห็นถึงข้อเท็จจริงในการจัดทำสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ดังนี้ 1.สัญญาระหว่างบริษัทฯ กับบีทีเอสนั้น นำมาสู่ข้อพิพาทระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกัน ไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง
2.บริษัทฯ ไม่มีอำนาจเข้าทำสัญญาว่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 25 ม.ค.2515 ในข้อ 4 ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการรถราง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มท.) เท่านั้น เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บุคคลใดประกอบกิจการได้ ทั้งนี้บริษัทฯ ก็ไม่เคยได้รับการอนุญาตจาก รมว.มท.
3.สัญญาจ้างที่บริษัทฯ กระทำกับบีทีเอสเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ เพราะจงใจจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาที่ฝ่าฝืนมติคณะรัฐมนตรี ขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ อาทิเช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุฯ เรื่องการงบประมาณ ตลอดจน พ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งตามหลักกฎหมายนั้น ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน กล่าวคือบริษัทฯ ไม่มีอำนาจนำเอางานที่รับจ้างกรุงเทพมหานครไปทำสัญญาจ้างกับบุคคลอื่นตามอำเภอใจได้
4.การที่บริษัทฯ ไปทำสัญญาว่าจ้างบีทีเอสให้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยตรง โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่นที่อาจเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ ย่อมส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะและขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ
5.การฟ้องคดีของบีทีเอสในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะบีทีเอสทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ได้ด้วยตนเอง แต่บีทีเอสยังสมัครใจเข้าทำสัญญากับบริษัทฯ ซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าทำสัญญาได้ แล้วจึงกลับมาฟ้องบริษัท กรุงเทพธนาคม เป็นคดีนี้ ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
นายประแสง มงคลศิริ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยด้วยว่า คำให้การในคดีที่ 2 นี้ มีความสมบูรณ์กว่าในคดีแรก ซึ่งศาลได้ปิดสำนวนไปในช่วงที่ผู้บริหารกรุงเทพธนาคมชุดนี้เข้ามาทำหน้าที่เร่งหาข้อเท็จจริงเพียง 2 เดือน ซึ่งก็เป็นไปตามคาดการณ์ว่า บีทีเอสจะฟ้องคดีใหม่มาอีก จึงได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบเอกสาร รวบรวมข้อเท็จจริงเชิงลึกโครงการกว่า 30 ปี ตลอดจนข้อกฎหมายที่รอบด้านกว่าคดีแรกอย่างมีนัยสำคัญ
“เราเชื่อมั่นว่าศาลท่านจะมีข้อเท็จจริงครบถ้วนมากขึ้นในการพิจารณาคดีที่ 2 นี้ ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไรนั้น อยู่ที่อำนาจของศาล” นายประแสงกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปธ.วิปรัฐบาลเดือด! เขย่า‘รมต.หลังยาว’
ประธานวิปรัฐบาลตอกก้าวไกล เพิ่มวันประชุมสภา 4-5 วัน หวังเอาคะแนนลอยๆ
สส.ใช้เงินฟาดหัว ผู้สมัครสว.แฉแหลกจ่ายค่าขนมหยามศักดิ์ศรีจ่อบุกร้องกกต.
ตั้งวงชำแหละวิธีเลือก สว. “ปริญญา” ซัดแค่เริ่มก็ผิดแล้ว เอื้อให้มีการฮั้ว ถือว่าล้มเหลว
เลือกอบจ.ปทุมฯพท.ขาดทุนยับ!
กูรูวิเคราะห์เลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมฯ เพื่อไทยขาดทุนยับ ชี้ "ทักษิณ"
บิ๊กทินเช็กแล้ว ข่าว‘เรือดำน้ำ’ ไทย-จีนถกอยู่
“สุทิน” ยันเช็กแล้ว จีนไม่ได้เสนอขายเรือดำน้ำติดเครื่อง MTU เยอรมนีให้อิเหนา
นายกฯไม่ขวาง เพิ่มวันประชุม ก.ก.เหน็บ‘ผู้นำ’
“เศรษฐา” ไม่ขัดก้าวไกลอยากได้วันประชุมสภาเพิ่ม “ศุภณัฐ” เหน็บผู้นำไม่เคยทำตัวให้ว่าง
เศรษฐาตื่น!สั่งสางซื้อขายเก้าอี้
ยิ่งสาวยิ่งเจอ! "เศรษฐา" จำใจเห็นด้วยสางกรณีซื้อขายตำแหน่งผู้ติดตามภายในทำเนียบรัฐบาล