"ทนายตั้ม" พาสามีฝ่ายหญิงแจ้งความดำเนินคดีอดีตรองนายกฯ "ย." ฐานแจ้งความเท็จ อ้างใช้สินสอดสู่ขอ 20 ล้าน แฉซ้ำชิงพาเมียไปหย่าก่อนตนเองนัดแถลงเมื่อวันที่ 9 ม.ค. เพื่อให้เข้าทางกฎหมายหวังได้ทรัพย์สินคืน รองโฆษกอัยการเเจง ตร.ส่งสำนวนคดีอดีตรองนายกฯ ฟ้อง ครอบครัวผัว-เมียฉ้อโกงมาผัดฟ้องสุดท้าย ตอนนี้สั่งสอบเพิ่มเติมอยู่ หากไม่ทันต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้องต่อไป
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ สน.บางยี่ขัน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พานายเอ (นามสมมุติ) อายุ 35 ปี สามีของหญิงสาวที่ตกเป็นข่าวฉาวกับอดีตรองนายกฯ ชื่อย่อ ย. เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.น่านนที บูรณะ รอง สว.(สอบสวน) สน.บางยี่ขัน เพื่อดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีชื่อ ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ กรณีที่อ้างว่าสูญเงินค่าสินสอดสู่ขอฝ่ายหญิงเป็นจำนวนกว่า 20 ล้านบาท
นายษิทรากล่าวว่า วันนี้ตนมาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรีในเรื่องแจ้งความเท็จ และในเรื่องให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน เรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิง หรือมีการหมั้นกัน โดยไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าเป็นการ แต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมายและเพื่อให้ตนเองเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้ ซึ่งอดีตรองนายกฯ มีภรรยาที่จดทะเบียนอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีโดยตลอด นอกจากนี้ กรณีให้เงินไปซื้อคอนโดฯ ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยหลักฐานกรรมสิทธิ์การซื้อคอนโดฯ ตั้งแต่ปี 2562 แต่ถ้าอดีตรองนายกฯ เพิ่งมารู้จักกับฝ่ายหญิงเมื่อตอนปี 2565 ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้อย่างแน่นอน
"ส่วนเงินที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่มีหลักฐานการเบิกถอน และเชื่อว่าตัวเลขอาจจะมีการให้จริง แต่ไม่ถึงหลัก 10 ล้านแต่มีการให้บ้าง เพราะคบกับชู้รัก ซึ่งเมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ตนได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะแถลงในวันที่ 9 ม.ค. ปรากฏว่าอดีตรองนายกฯ ได้ใช้เล่ห์กลด้วยการพาภรรยาไปหย่าร้างเพื่อที่จะขอคืนทรัพย์สินที่มีการไปหมั้นกับฝ่ายหญิง โดยทำตัวเองให้โสด เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาตอนทราบมาว่าทางอดีตรองนายกฯ ได้พาภรรยาไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตสามพราน เพื่อใช้ในทางกฎหมายในการแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืนได้"
นายษิทรากล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของอดีตรองนายกฯ จะไม่มีทางโซเชียล เนื่องจากเป็น VIP แต่เนื่องจากมีผู้หวังดีเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้แจ้งกับตนมาว่าก่อนหน้าที่ตนจะมาแถลงข่าว 1 ชั่วโมง ทางอดีตรองนายกฯ ได้ไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยาที่สามพราน ซึ่งตนก็นำหลักฐานตรงนี้มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนด้วย ควรออกมารับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายว่าตนเองทำผิดพลาดก็จบแล้ว ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นโดนข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเป็นขบวนการด้วย ซึ่งตัวพ่อของผู้หญิงมีคดีอื่นอยู่และไม่มาพบพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ทางอดีตรองนายกฯ จะรู้ดี และการที่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้น แล้วตนก็ได้ทำเรื่องขอความเป็นธรรมที่พนักงานอัยการไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพอโดนคดีแล้วครอบครัวนี้จะมีความผิดไป คือศาลยกฟ้องไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ที่มีคำสั่งฟ้องไป
นายษิทรายืนยันว่า ไม่มีพิธีสู่ขอ และขอท้าว่าถ้าหากมีจริง มีญาติผู้ใหญ่หรือมีใครรับรู้บ้าง ส่วนกรณีของการตบทรัพย์ ซึ่งยังไม่มีการต่อรองใดๆ หากมีจริงคงมีหลักฐานมายืนยัน ส่วนทรัพย์สินที่บอกว่ามีจำนวนมากถึง 19 ล้านบาทนั้น เชื่อว่ามีการให้จริง แต่มูลค่าไม่ถึงขนาดนั้น ส่วนก่อนหน้านี้ที่สามีของฝ่ายหญิงมาปรึกษาตน เนื่องจากทางสามีขอหย่ากับฝ่ายหญิงแต่ทางฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าด้วย แต่ทางสามีเลยตอบว่าหากไม่ยอมหย่าก็จะฟ้องหย่าและฟ้องชู้คืออดีตรองนายกฯ ด้วย ทำให้ทางฝ่ายหญิงได้ไปบอกกับทางอดีตรองนายกฯ ทางอดีตรองนายกฯ จึงเดินทางมาแจ้งความกลับทางฝ่ายหญิงด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องคอนโดมิเนียมที่อดีตรองนายกฯ รายนี้อ้างว่าซื้อให้กับหญิงสาววัย 25 ปีคนนี้ ทนายตั้มยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมแสดงหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านวงเวียนใหญ่ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ขนาดประมาณ 35 ตารางเมตร ซึ่งจดจำนองตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้จักและคบชู้กัน
"อดีตนายกฯ เคยจดทะเบียนสมรสแล้ว และเพิ่งจดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่อำเภอสามพราน จ.นครปฐม ก่อนหน้าที่ผมจะแถลงข่าวเปิดประเด็นเรื่องนี้เพียงหนึ่งชั่วโมง ส่วนตัวมองว่าเป็นการจดทะเบียนหย่าเพื่อเปลี่ยนสถานะตัวเองให้เอื้อ ต้องการดำเนินคดีเพื่อเรียกเอาทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิง" นายษิทรากล่าวย้ำ
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่าได้รับทราบจากนายจิระประวัติ แบบประเสริฐ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาตลิ่งชัน ว่าเมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.บางยี่ขันนำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องนางธ. นาย จ. กับนาย ก. และนาง ข. (มารดาและบิดาของนาง ธ.) เป็นผู้ต้องหาที่ 1-4ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ประกอบ 83
โดยการนำสำนวนดังกล่าวมายื่นตรงกับวันครบกำหนดผัดฟ้องครั้งที่ 5 ซึ่งคดีนี้อัตราโทษไม่เกิน 3 ปี ถือเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลเเขวง สามารถผัดฟ้องได้ 6 ผัด (30 วัน) เท่ากับว่าเหลือเวลาในการพิจารณาคดีช่วงผัดสุดท้าย จนถึงวันที่ 15 ม.ค.66 ก่อนหมดระยะเวลาคุมตัวตามกฎหมาย ซึ่งคดีนี้ฝ่ายผู้ต้องหามีการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาทางพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน จึงได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนที่จะพิจารณามีคำสั่งทางคดีต่อไป โดยหากถ้าผลการสอบสวนที่ทางพนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มส่งมาไม่ทัน อัยการพิจารณาสั่งคดีวันที่ 15 ม.ค.นี้ ตามกฎหมายตัวผู้ต้องหาจะต้องพ้นการคุมตัวของศาล เเละคดีจะต้องขออนุญาตอัยการสูงสุดฟ้อง หากมีคำสั่งฟ้องทางตำรวจจะต้องนำตัวผู้ต้องหามาให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายเป็นนาย ย. อดีตรัฐมนตรีที่ถูกนาย จ. ผู้ต้องหาที่ 2 ในคดีนี้ไปร้องเรียนทนายชื่อดัง เเละฟ้องคดีต่อศาลกล่าวหาว่านาย ย.ไปเป็นชู้กับภรรยา พร้อมนำเรื่องมาเผยเเพร่ในโลกออนไลน์เเละเเถลงต่อสื่อมวลชน ตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังก่อนหน้านี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตอกยํ้าดีลฮ่องกง ลิ่วล้อแจงแทนนาย ‘พรรคส้ม’ ยากเป็นรัฐบาล
ตอกย้ำดีลฮ่องกงเหลว! "ณัฐวุฒิ" ขยายความ "ทักษิณ" คุย "ธนาธร" แค่เล่าชะตากรรม ไม่มีการพาดพิง ม.112 กับก้าวไกล เผยตั้งแต่โหวต "พิธา"
‘อิ๊งค์’ โชว์30บ. เวทีผู้นำเอเปก
นายกฯ อิ๊งค์โชว์ผลงาน 30 บาทรักษาทุกที่ บนเวทีผู้นำภาคเอกชนเอเปก พร้อมชวนลงทุนด้านธุรกิจดูแลสุขภาพในไทย มั่นใจหลังให้นโยบาย “บีโอไอ”
'ทนายรณณรงค์' ให้ปากคำคดีทนายตั้ม รับแปลกใจเพื่อนรวยผิดปกติ
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ หรือ ทนายรณณรงค์ เข้าให้ปากคำต่อตำรวจสอบสวนกลาง คดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด
‘ทอน’ดีดปาก‘แม้ว’ ซัดพูดคลุมเครือไม่มีปม112ตั้งรบ./พิธารับคำท้าพ่อนายกฯ
“ธนาธร” ซัด “ทักษิณ” พูดคลุมเครือ บอกปมตั้งรัฐบาลไม่ได้ไม่เกี่ยวกับ 112
นายกฯชี้FTAเปรูจบปี2568
นายกฯ อิ๊งค์ถก "ประธานาธิบดีเปรู" ผลักดันการเจรจา FTA ให้เสร็จภายในปี 68
‘บิ๊กอ้วน’ยืนยัน ผุดJTCเมื่อไหร่ ถกผลประโยชน์
“ภูมิธรรม” บอกพร้อมเรียกถกแบ่งผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาทันที