ภท.ฟุ้งพลังดูดยังไม่จบ

ยังไหลเข้าต่อเนื่อง ภูมิใจไทยโว ส.ส.ย้ายพรรคเข้ามายังมีต่อเนื่อง ซูเปอร์โพลชี้ "อนุทิน" ขาขึ้น ประชาชนวางใจแก้ปัญหาปากท้อง ทิ้งห่างแพทองธาร-จุรินทร์ "สนธิรัตน์" ลั่นสร้างอนาคตไทย เดินหน้าลุยเลือกตั้ง หลังเจอกระแสข่าวแพแตก รอควบรวม

เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการที่มี ส.ส.ทยอยลาออกเป็นจำนวนมาก จะเป็นแรงกดดันให้นายกรัฐมนตรียุบสภาหรือไม่นั้น ว่า การยุบสภาจากที่ติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสมแต่ละสถานการณ์มากกว่า เพราะการที่มีผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งลาออก ก็ยังไม่เคยปรากฏชัดว่าจะมีผลในการกดดันให้เกิดการยุบสภา แม้บางยุคก็เคยมีการลาออกเหมือนกัน อย่างเช่นในช่วงรัฐบาลชวน 2 ตอนนั้นตนเป็นประธานวิปรัฐบาล มี ส.ส. ฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งก็ลาออก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ทำหน้าที่ทั้งในการบริหารราชการแผ่นดิน และในสภาต่อไปได้ จนกระทั่งเรียกว่าเกือบจะครบเทอม เหลือเพียงสัปดาห์นิดๆ ก็มีการยุบสภา ซึ่งก็ไม่ได้ยุบเพราะเหตุนี้ แต่ยุบเพราะนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีเวลานั้นได้สัญญาว่าจะไม่อยู่ครบเทอม เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าจะมี ส.ส.กดดันด้วยการลาออกเพื่อให้เกิดการยุบสภา จะต้องมีการยุบสภาเสมอไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความเหมาะสมของแต่ละกรณีมากกว่า โดย ณ เวลานี้รัฐบาลก็ยังมีเสียงมากกว่า

ส่วนการที่มีบางพรรคการเมืองพูดถึงสูตรการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะมีการรวบรวมเสียง ส.ส.กับ ส.ว.ให้ได้เกิน 375 เสียง เพื่อผลักดัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า เรื่องนี้ได้ตอบไปชัดแล้วว่าต้องให้ประชาชนให้คำตอบก่อน ต้องมีผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าประชาชนให้การสนับสนุนพรรคการเมืองไหนเป็นจำนวนเท่าไหร่ และพรรคการเมืองต่างๆ รวมกันแล้วใครได้เสียงข้างมาก จึงจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล กรณีที่จะเป็นการรวมเสียงทั้ง ส.ส.และ ส.ว.นั้น ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ หากมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ 2 สภารวมกัน สำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ในการบริหารราชการแผ่นดินตามความเป็นจริงนั้น อย่างน้อยที่สุดคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงจาก ส.ส.ในสภาเกินกว่ากึ่งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย การบริหารราชการแผ่นดินก็จะไปต่อไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่เงื่อนไขเดียวว่าได้เสียง ส.ส. ส.ว.เกินครึ่งหรือไม่ แต่จะต้องมีเสียงในสภาผู้แทนฯ เกินครึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นก็บริหารไม่ได้ เป็นนายกฯ ได้อย่างเดียว แล้วรัฐบาลก็ไปต่อไม่ได้

ส่วนที่ถามว่า พรรคประชาธิปัตย์มีสัญญาณภายในอะไรหรือไม่ว่าจะมี ส.ส. ของพรรคย้ายออกไปอีกหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร มีแต่มาเล่าให้ฟังเหมือนที่เคยตอบไปแล้วว่าจะมีคนนั้นคนนี้จะมาดูด แต่ตอนนี้ ส.ส.ทั้งหมดก็ยังมั่นคง แน่นเหนียวอยู่กับพรรค

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พบว่าในวันจันทร์ที่ 19 ธ.ค. พล.อ.ประวิตรจะไปลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.ปัตตานีและ จ.ภูเก็ต โดยช่วงเช้าลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ตรวจและติดตามการขับเคลื่อนมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) "เมืองปูทะเลโลก" ในกิจกรรมพิธิเปิดโรงเพาะเลี้ยงปู ณ โรงเพาะฟักสัตว์น้ำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี อ.เมืองฯ เยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อน Soft Power ด้านอาหาร ร่วมกับเชฟชุมพล ภายใต้แนวคิด "มหานครแห่งอาหารและบริการฮาลาล สู่ตลาดโลก" จากนั้นพบปะประชาชน และช่วงบ่าย พล.อ.ประวิตรและคณะ เดินทางลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ประชุมเพื่อติดตามแผนป้องกันอุทกภัย จ.ภูเก็ต สถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ และการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งหาดทรายแก้ว ที่ห้องประชุมท่าอากาศยานภูเก็ตและมอบนโยบาย ก่อนลงตรวจพื้นที่การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะหาดทรายแก้ว ต.ไม้ขาว อ.ถลาง และพบปะประชาชนที่วัดม่วงโกมารภัจจ์ ต.เทพกระษัตรี อ.ถลาง และพบประชาชน 

ภูมิใจไทยโวพลังดูดยังไม่หมด

วันเดียวกัน นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และโฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะมี ส.ส.อีกหนึ่งล็อตลาออกมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทยว่า ขณะนี้น่าจะอยู่ในกระบวนการการเตรียมการ

"คิดว่าคงมีอีกจำนวนหนึ่ง แต่อย่าเพิ่งบอกตัวเลขเลยดีกว่า ซึ่งเป็น ส.ส.ที่มาจากหลากหลายพรรค ทั้งนี้ หากถามว่าเรามีความพร้อมในการเลือกตั้งมากน้อยแค่นั้นไหน เราตั้งเป้าว่าจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 400 เขต แต่ล่าสุดเรามีผู้สมัครยังไม่ครบทั้ง 400 เขต ฉะนั้นความพร้อมในด้านนี้ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แต่เราจะพยายามทำให้ครบทั้ง 400 เขต" โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว

นายภราดรกล่าวอีกว่า ส่วนความพร้อมด้านนโยบายทางพรรคจะพยายามทยอยออกมา และคิดว่าจะเป็นนโยบายที่โดนใจประชาชน อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคนั้น เราจะเสนอนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคเพียงรายชื่อเดียว

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยพัฒนา ทางด้านนายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อและผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เปิดเผยว่า วันที่ 19 ธ.ค. เวลา 11.00 น. พรรคจะมีการเปิดตัวสมาชิกใหม่ที่ตัดสินใจย้ายมาร่วมงานทางการเมืองพรรคชาติไทยพัฒนา โดยมีผู้บริหารพรรค อาทิ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหัวหน้าพรรค เข้าร่วม ทั้งนี้ ในความเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยพัฒนาต่อการเปิดตัวสมาชิกพรรรคนั้น พรรคไม่ต้องการแข่งกับใคร และเป้าหมายในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำหนดว่าต้องได้ ส.ส.เกิน 25 ที่นั่งขึ้นไปนั้น ขณะนี้พรรคอยู่ระหว่างการหาตัวผู้สมัครที่มีดีเอ็นเอตรงกันกับพรรค ทั้งในด้านของการทำงานเพื่อประชาชนและแก้ปัญหา

“ที่ผ่านมาพรรคเคยมีประสบการณ์ต่อการระดมนักการเมืองต่างๆ เข้ามาในพรรคให้ได้มากที่สุด แต่กลับพบว่าการสร้างมุ้งภายในพรรคทำให้พรรคแตกในท้ายที่สุด ดังนั้นการทำงานของพรรคต่อจากนี้คือ การหาสมาชิกพรรคที่มีคุณภาพ ทำงานร่วมกันได้ ซึ่งการส่งผู้สมัคร ส.ส.นั้น จะพิจารณาถึงคนที่มีความพร้อม” นายนิกรกล่าว

นายนิกรกล่าวว่า ขณะเดียวกันในการขับเคลื่อนนโยบาย พรรคต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในด้านต่างๆ ร่วมทำงาน โดยนโยบายสำคัญของพรรคที่จะผลักดันในการเลือกตั้ง คือ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม นโยบายด้านการเมือง คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม นโยบายด้านเกษตร และเศรษฐกิจฐานราก และจะวางตัวให้เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย ทั้งนี้ ในนโยบายของพรรคนั้นวันที่ 20 ธ.ค.จะมีข้อสรุปอย่างเป็นทางการ

สร้างอนาคตไทยลั่นลุยต่อ

วันเดียวกันนี้ ที่โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และนายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรค ประชุมร่วมกับผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคสร้างอนาคตไทย ภาคอีสาน และแกนนำเพื่อเตรียมความพร้อมการเดินหน้าเลือกตั้งในพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีว่าที่ผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัคร ส.ส. พรรคสร้างอนาคตไทย ภาคอีสาน และแกนนำในพื้นที่เข้าร่วมกว่า 100 คน

โดยนายสนธิรัตน์กล่าวว่า วันนี้ตั้งใจมาพบปะ และรับฟังสถานการณ์ต่างๆ จากผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคสร้างอนาคตไทย ภาคอีสาน เพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสข่าวเกี่ยวกับพรรคมากมาย ซึ่งขอยืนยันว่าข่าวลือต่างๆ ไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องของกระบวนการข่าว และเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ต้องยอมรับว่าการเมืองครั้งนี้ดุเดือด ลุยกันหนักมาก ใช้ทุกวิธี ทั้งบนดิน และใต้ดิน ภาพรวมการเมืองทั้งประเทศเลวร้าย อย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนมั่นใจ พรรคมีเป้าหมายการทำงานที่ชัดเจน และเป้าหมายความสำเร็จก็คือต้องการเห็นทุกคนได้เป็น ส.ส.

นายสนธิรัตน์กล่าวย้ำกับผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และแกนนำในพื้นที่ภาคอีสานว่า ขอยืนยันว่าพรรคสร้างอนาคตไทยยังมุ่งมั่นในการทำงาน และจะเดินตามเป้าหมายต่อไป เพราะเชื่อว่าพรรคมีดี มีทีมเศรษฐกิจที่แข็งแรงที่สุดที่คนอื่นไม่มี นี่คือหัวใจของพรรคสร้างอนาคตไทย

“ผมมาครั้งนี้เพื่อยืนยันกับทุกท่านว่าพรรคสร้างอนาคตไทยเดินหน้าเต็มที่ และพรรคจะลงลึกเรื่องการทำงานในรายเขต จะตั้งคณะทำงานส่วนกลาง และคณะทำงานในพื้นที่ เพื่อร่วมทำงานวิเคราะห์รายเขตร่วมกัน ครั้งนี้เราปรับการทำงานใหม่หมด ดังนั้นขออย่าหวั่นไหว พรรคสร้างอนาคตไทยมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือสนับสนุนท่านที่มีโอกาสให้ได้เป็น ส.ส.ได้มากที่สุด” นายสนธิรัตน์กล่าว

จากนั้น นายสนธิรัตน์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า วันนี้มาพบปะผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคสร้างอนาคตไทยภาคอีสาน เนื่องจากขณะนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง และมีความชัดเจนเรื่องกฎหมายเลือกตั้งแล้ว รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองค่อนข้างมาก ดังนั้นพรรคสร้างอนาคตไทยจึงมาพบปะผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เพื่อชี้แจงแนวทางการทำงานในพื้นที่ โดยพรรคสร้างอนาคตไทยจะเป็นความหวังของคนภาคอีสาน

นายสนธิรัตน์ย้ำว่า พรรคสร้างอนาคตไทยจะเดินหน้าในพื้นที่ภาคอีสานอย่างเต็มสูบ เพราะผู้แสดงเจตจำนงเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ แต่เราจะปรับยุทธศาสตร์ให้ลึกลงไป เพราะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายแล้ว ส่วนกระแสต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ไม่ใช่แค่พรรคสร้างอนาคตไทยพรรคเดียว แต่มีกระแสต่างๆ เกือบทุกพรรค อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลานี้การเมืองมีความวุ่นวาย มีการเปลี่ยนแปลงสูงมาก และเป็นหนึ่งในเวลาของสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นผมคิดว่าเป็นโอกาสดีของพรรคสร้างอนาคตไทย ในการเป็นพรรคทางเลือก และเป็นความหวังให้กับพี่น้องประชาชน โดยพรรคจะเข้าไปนั่งในใจของพี่น้องประชาชนให้ได้ เรามีตัวบุคคลที่พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่าจะแก้ปัญหาได้ มีผู้บริหารของพรรคที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง และเศรษฐกิจ เราจะเป็นพรรคการเมืองน้ำดีที่มีพี่น้องประชาชนเป็นตัวตั้ง และช่วยประชาชนในการแก้ปัญหา ไม่ใช่การเมืองเพื่ออำนาจ หรือเพื่อตำแหน่งอย่างเดียวเท่านั้น

ซูเปอร์โพลเผย'อนุทิน'มาแรง

ขณะที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล โดยนายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจเรื่อง “ที่สุดแห่งปีสุดแห่งพรรคการเมือง” กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,190 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 14-17 ธ.ค.

ผลสำรวจดังกล่าวระบุว่า เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมายาวนานที่สุด พบว่า พรรคประชาธิปัตย์ร้อยละ 56.3 รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 20.4,   พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 18.9 และอื่นๆ ร้อยละ 4.4 ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล เป็นต้น

ส่วนเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ถูกคาดหวังให้ช่วยเหลือเกษตรกร พบ 5 อันดับแรกที่มากที่สุดคือ พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 43.0 รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 39.8, พรรคเพื่อไทยร้อยละ 30.7, พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 26.9 และพรรคก้าวไกล ร้อยละ 9.6

ผลสำรวจดังกล่าวให้ข้อมูลว่า สำหรับภาพจำของประชาชนต่อพรรคการเมือง พบว่า ร้อยละ 72.7 ระบุพรรคภูมิใจไทย โดดเด่นบริหารจัดการวัคซีนโควิด ณ สถานีกลางบางซื่อ และมีผลงานโดดเด่นดูแลบุคลากรการแพทย์ อสม. ในระดับพื้นที่ห่างไกล นอกจากนี้ ร้อยละ 58.1 ระบุพรรคภูมิใจไทย รักชาติบ้านเมือง ปกป้องเชิดชูสถาบัน เสาหลักของชาติมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 43.9 ระบุพรรคประชาธิปัตย์ ขวัญใจเกษตรกร ไม่มีประวัติด่างพร้อยเรื่องทุจริต

ผลสำรวจย้ำว่า สำหรับที่น่าเป็นห่วงคือ พรรคการเมืองที่มีความขัดแย้งสูงภายในพรรค ส.ส.หรือผู้แทนราษฎรย้ายออกได้แก่ พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ46.9,  พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 38.0 และพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 36.2 อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองที่ ส.ส.หรือผู้แทนราษฎร ย้ายเข้ามากสุด ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 54.9, พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 41.4 และพรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 40.6

และเมื่อถามถึงผู้นำพรรคการเมืองที่ประชาชนวางใจเป็นมือแก้ปัญหาปากท้อง รายได้และหนี้สินของประชาชนได้ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 61.4 รองลงมาคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 38.8 และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ร้อยละ 35.8 ตามลำดับ

ด้านสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเรื่อง “นักการเมืองไปทางไหนดี” จากความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,157 คน (สำรวจทางออนไลน์) ระหว่างวันที่ 11-14 ธ.ค.2565 สรุปผลได้ ดังนี้

เมื่อถามว่า ประชาชนคิดว่านักการเมืองไทย ณ วันนี้ กับ 5 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ผลสำรวจพบว่า เหมือนเดิม ร้อยละ 47.02, แย่ลง ร้อยละ 44.68, ดีขึ้น ร้อยละ 8.30

ส่วนข้อถามที่ว่า ประชาชนอยากได้ “นักการเมือง” แบบใด ผลสำรวจพบว่า อันดับ 1 ความรับผิดชอบ มีผลงาน ทำงานเร็ว แก้ปัญหาเร็ว ร้อยละ 79.22,  อันดับ 2 เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไม่เห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ ร้อยละ 77.83,  อันดับ 3 เป็นนักบริหารมืออาชีพ มีประสบการณ์ มีความรู้ความสามารถ ร้อยละ 76.70

ขณะที่เรื่องของพฤติกรรมนักการเมืองแบบใดที่เบื่อหน่ายหรืออยากให้หมดไป ผลสำรวจระบุว่า อันดับ 1 พูดแต่ทำไม่ได้ ไม่รักษาสัญญา พูดให้ร้าย ใส่ร้ายป้ายสีร้อยละ 87.50, อันดับ 2 ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่ถูกต้อง เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ร้อยละ 83.68, อันดับ 3 ไม่โปร่งใส ทุจริต คอร์รัปชัน ร้อยละ 78.99

สวนดุสิตโพลระบุอีกว่า สำหรับคำถามที่ว่าประชาชนคิดว่านักการเมืองทุกคนควรสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ ผลสำรวจพบว่า ควรสังกัดพรรคการเมือง ร้อยละ 40.71 ขณะที่จะสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้ ร้อยละ 39.07, ไม่ควร ร้อยละ 20.22

และเมื่อถามว่าประชาชนอยากได้ “พรรคการเมือง” แบบใด อันดับ 1 เป็นพรรคการเมืองที่โปร่งใส ดำเนินกิจการของพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ร้อยละ 91.57, อันดับ 2 มีความสามัคคี ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน มีอุดมการณ์ มีจุดยืนที่ชัดเจน ร้อยละ 84.10, อันดับ 3 มีสมาชิกพรรคที่มีความรู้ความสามารถ มาจากหลากหลายอาชีพ สร้างนักการเมืองที่มีคุณภาพ ร้อยละ 82.71

นอกจากนี้ ผลสำรวจระบุว่า สำหรับปัญหาเร่งด่วนที่อยากให้นักการเมืองช่วยแก้ไข อันดับ 1 ทุจริต คอร์รัปชัน ร้อยละ 76.78, อันดับ 2 ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ ร้อยละ 68.17, อันดับ 3 ปัญหาปากท้อง ของแพง ความเป็นอยู่ของประชาชน ร้อยละ 67.22

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง