ปิดฉากประชุมหอการค้าครั้งที่ 40 “สนั่น” ย้ำเอสเอ็มอีต้องเข้าสู่ยุคดิจิทัลเพื่อทางรอด คลอดสมุดปกขาวยกระดับการแข่งขันของประเทศเสนอรัฐบาล ระบุต้องต่อยอดเอเปกโดยเฉพาะเรื่องเขตการค้าเสรี ซอฟต์เพาเวอร์ มั่นใจจีดีพีปีหน้าไทยโตได้ 3.5-4% “สุพัฒนพงษ์” รับลูกบอกภาย 90 วันอาจได้เห็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ๆ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ย. ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ซึ่งมีการจัดงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 40 ภายใต้หัวข้อ “Connect the dots : Enhancing Thailand Competitiveness” ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 1,200 คน ได้ปิดฉากลง โดยนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า วาระเร่งด่วนที่ตั้งเป้าหมายร่วมกับภาครัฐและเอกชนคือ การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ต้องได้รับการสนับสนุนให้เกิดการปรับตัว ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีและกลยุทธ์ทางดิจิทัล (Digital Transformation) มาใช้ดำเนินธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพ และไม่ใช่แค่ทางเลือกหรือทางรอด แต่คือทางหลักสู่ความสำเร็จของเอสเอ็มอีไทย ท่ามกลางปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤต
นายสนั่นกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาไทยต้องเผชิญกับหลายปัจจัยที่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่รวดเร็วเท่าที่ควร โดยนอกจากผลกระทบของโควิด-19 แล้ว ยังมีสถานการณ์ที่ส่งผลซ้ำซ้อนอีก 4 ด้าน ได้แก่ 1.วิกฤตด้านพลังงานและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 2.การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิต และการขาดแคลนวัตถุดิบด้านการเกษตร 3.วิกฤตการเงินภาคครัวเรือนและธุรกิจเอสเอ็มอี และ 4.วิกฤตโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และการลดลงของอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ลดลงถึง 5 อันดับจากปี 2564 ดังนั้น ทางออกที่จะช่วยให้ไทยกลับมาเข้มแข็งได้คือ การหาแนวทางเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในแต่ละมิติ โดยเฉพาะมิติเศรษฐกิจ ผ่านกลไกการเชื่อมโยงและบูรณาการระหว่างเครือข่ายทุกภาคส่วน
“หอการค้าจังหวัดได้นำเสนอโครงการที่สำคัญเร่งด่วน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาคหลายโครงการ ทั้งในด้านการเกษตร การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว โดยได้รวบรวมแนวทางการขับเคลื่อนดังกล่าวอยู่ในสมุดปกขาว เพื่อมอบให้กับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้นำไปพิจารณาต่อไป” นายสนั่นระบุ
นายสนั่นกล่าวอีกว่า สมุดปกขาวดังกล่าวได้สรุปแนวทางการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ประกอบด้วย คือ 1.Connect เชื่อมโยงความร่วมมือเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ โดยหอการค้าไทยตั้งเป้าหมายระดมสมาชิกเพิ่มจาก 1 แสนรายเป็น 2 แสนราย ภายใน 3 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างความเข้มแข็งของเอสเอ็มอีไทย ตลอดจนขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค 5 ภาค จากการระดมความเห็นของสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศตลอดทั้งปี
2.Competitive ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ โดยสนับสนุนภาครัฐ ขับเคลื่อนเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มความร่วมทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (FTAAPX) และเร่งขยายเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับนานาชาติ ต่อยอดความเชื่อมั่นจากการเป็นเจ้าภาพเอเปกในช่วงที่ผ่านมา พร้อมดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่มีความพร้อมในการรองรับการลงทุนตรงจากทั่วโลกได้อย่างทันที โดยหอการค้าไทยมีแผนดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากประเทศยุทธศาสตร์เป้าหมาย ที่ประกอบด้วย จีน, ซาอุดีอาระเบีย, เวียดนาม และอินเดีย รวมถึงรักษากลุ่มนักลงทุนเดิม เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยหอการค้าไทยจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ยกระดับ Ease of Investment พร้อมร่วมมือกับคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ปรับปรุง Ease of Doing Business ปรับปรุงขั้นตอนการติดต่อราชการให้รวดเร็ว ลดการเซ็นเอกสาร สนับสนุนให้เกิด e-Government อย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ จำเป็นต้องเร่งแก้ไขและปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้ออำนวยต่อการลงทุน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทุกภาคส่วน นอกจากนี้ หอการค้าไทยได้ผนึกกำลังกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) สร้างโครงการนำร่อง โดยใช้สถาบันเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมขับเคลื่อนและติดตามอย่างใกล้ชิด ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว หอการค้าฯ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดำเนินแนวทางการค้าและการท่องเที่ยว ยกระดับการสร้างซอฟต์เพาเวอร์ในแต่ละจังหวัด พร้อมยกระดับการท่องเที่ยวเมืองรองด้วย Happy Model
3.Sustainable สร้างอนาคตที่ยั่งยืน เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ หอการค้าไทยและเครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมผลักดัน Bangkok Goals (เป้าหมายกรุงเทพฯ) ว่าด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) โดยจะนำเอาแผนพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคภาคเอกชน ระยะ 5 ปี เป็นแนวทางขยายผล BCG Model เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประเทศ นอกจากนั้นจะใช้กลไกสถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค ที่จัดตั้งขึ้นร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นสถาบันทางวิชาการ สร้างความรู้ ความเข้าใจ และร่วมกับหอการค้าทุกจังหวัด ขับเคลื่อน BCG ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2566 ซึ่งถือเป็นปีที่สำคัญของหอการค้าไทยก่อตั้งครบ 90 ปีนั้น จะนำแนวทาง Connect Competitive และ Sustainable เพื่อยกระดับขีดความสามารถของประเทศอย่างต่อเนื่อง
“แม้ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเปราะบาง แต่เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ โดยหอการค้าไทยคาดว่าจีดีพีไทยจะเติบโตได้ 3.5-4% และภาคการส่งออกจะเติบโตได้ 3-5% และจะนำข้อเสนอแนะทั้งหมดที่ได้จากการจัดสัมมนาครั้งนี้ จัดทำเป็นสมุดปกขาวเพื่อนำเสนอให้กับฝ่ายรัฐบาล” นายสนั่นกล่าว
ทั้งนี้ หลังจากนายสนั่นกล่าวเสร็จได้นำสมุดปกขาวมามอบให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาลได้พิจารณา
นายสุพัฒนพงษ์ยังได้ปาฐกถาพิเศษ “ร่วมแรง ร่วมใจ ยกระดับไทย สู่ความยั่งยืน” ระบุว่า เรื่องใหม่ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ร่วมกับเอกชนในการประชุมเอเปกที่ผ่านมา คือโมเดลบีซีจี ซึ่งมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเดินหน้าใช้ทรัพยากรดูแลสิ่งแวดล้อมเหมาะสมกับประเทศไทย โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงทางอาหารที่เชื่อมโยงมาจากปัญหาโลกร้อน ซึ่งเศรษฐกิจบีซีจีจะทำให้ไทยรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นสำหรับโลกในอนาคตได้ โดยรัฐบาลพร้อมร่วมกับภาคเอกชนในการผลักดันยกระดับสินค้าให้ได้มาตรฐานชัดเจน ซึ่งจะไม่ถูกกีดกันทางการค้าในอนาคต ทำให้ไทยมีช่องทางในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดสากลได้มากขึ้น และถือเป็นจังหวะที่ดีให้ไทยได้ใช้เป็นโอกาสต่อยอดเศรษฐกิจจากวิกฤตให้ดีกว่าเดิมต่อไป
"การประชุมเอเปกที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเวลานี้ต่างประเทศมองประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีโอกาสในการพัฒนาหลายด้าน และมีโอกาสที่จะเกิดเป็นความร่วมมือต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความไว้วางใจที่ชาวต่างชาติยังคงไว้ใจไทย โดยผู้ลงทุนต่างชาติบางส่วนอยู่ในไทยอยู่แล้ว อาทิ ญี่ปุ่น ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ได้รับการดูแลอย่างดีจากประเทศไทย ทำให้เราสามารถรักษาเสถียรภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี แม้จะประสบปัญหาในเรื่องของซัพพลายเชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศใหม่ๆ เกิดความเชื่อมั่นที่จะลงทุนกับประเทศไทย อาทิ ตะวันออกกลาง และลาตินอเมริกา ที่ต้องการจะเข้ามาร่วมลงทุนในไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีจากการประชุมเอเปก ถือว่าประสบความสำเร็จจากความร่วมมือของภาคเอกชน” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
นายสุพัฒนพงษ์กล่าวต่อว่า หน้าที่ของรัฐบาลจากนี้ ก็ยังพยายามเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง สร้างระบบนิเวศการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน เมื่อเศรษฐกิจฟื้นจะสามารถเดินหน้าได้ทันที และเมื่อโควิด-19 คลี่คลาย ประเทศไทยสามารถเดินหน้าต่อได้ จากการที่รัฐบาลพยายามคลี่คลายปัญหาทำให้เกิดโอกาสมากขึ้น ในส่วนของอุตสาหกรรมใหม่ในช่วงที่เกิดวิกฤต รัฐบาลพยายามที่จะทำให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อทำให้เป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ ทั้งการลงทุนอีวี การลงทุนไฟฟ้า แบตเตอรี่ ซึ่งเวลานี้เริ่มที่จะทยอยลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น มั่นใจจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในอีกไม่นานนี้
“จากการศึกษาของรัฐบาลมองว่าหลายจังหวัดสามารถพัฒนาให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจได้ ไม่ใช่กระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการลงทุนพลังงานสะอาดเพื่อใช้ในแต่ละพื้นที่ มีโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะตัว ไม่เป็นภาระงบประมาณมากนัก หากมี 3-4 ระเบียงเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เชื่อว่าจะสามารถรักษาภาวะเศรษฐกิจของไทยให้มั่นคงได้ อาทิ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจมีการลงทุนพลังงานสะอาดได้ ไม่ใช่เฉพาะอีอีซีอย่างเดียว ซึ่งภายใน 90 วันหลังจากนี้ อาจเห็นผลการศึกษาและเห็นระเบียงเศรษฐกิจที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น ทำให้เกิดการลงทุนใหม่ในประเทศได้มากขึ้น เชื่อว่าประเทศไทยเวลานี้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์แล้ว แต่จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเต็มที่” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย
ตอกฝาโลงกิตติรัตน์ ‘กฤษฎีกา’ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุมีส่วนกำหนดนโยบาย
"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ
‘เท้งเต้ง’ไม่ทน! ชงแก้ข้อบังคับ รมต.ตอบกระทู้
ทนไม่ไหว! “หัวหน้าเท้ง” หารือประธานสภาฯ ขอให้แก้ข้อบังคับการประชุม
แม้วพบอันวาร์กลางทะเล เตือนเสือกทุกเรื่องทำพัง!
ปชน.จี้ถามรัฐบาล “ทักษิณ” มีอำนาจจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่
ให้กำลังใจจนท.ดูแลปีใหม่ เข้มงวด‘ความปลอดภัย’
นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจ-กรมทางหลวง ทำงานหนักช่วงปีใหม่
กฤษฎีกาเอกฉันท์โต้งหมดสิทธิ์
กฤษฎีกามติเอกฉันท์ "กิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ หมดสิทธิ์นั่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ"