ปัดโยงการเมือง เสี่ยเอ๋โกงเงินวัด ฟัน‘มันเส้นจีทูจี’

ป.ป.ช.แจงรายละเอียดชี้มูลผิด “ชนม์สวัสดิ์กับพวก” สมัยนั่ง อบจ.สมุทรปราการ ทุจริตเงินอุดหนุนวัด พบ 20 โครงการผิดปกติ 338 ล้านบาท ปัดโยงเรื่องการเมือง กางสมบัติ “ผู้กำกับโจ้” หลังฟันร่ำรวยผิดปกติ อู้ฟู่ 1,352 ล้าน เผยความคืบหน้าคดี “มันเส้นจีทูจี” ทั้งยุค  “มาร์ค-ปู” ไต่สวนเสร็จแล้ว รอชงเข้าที่ประชุมใหญ่ คาดพร้อมๆ กับคดีระบายข้าวจีทูจีภาค 2 ช้าสุดปลายปีนี้

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงถึงกรณีการชี้มูลความผิดนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนักการเมืองชื่อดัง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)  สมุทรปราการ กับพวก คดีเงินอุดหนุนวัดใน จ.สมุทรปราการ ว่าเรื่องนี้ถือเป็นการร่วมกันกระทำผิดระหว่างนายชนม์สวัสดิ์กับพวก โดย ป.ป.ช.มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าว พบว่านายชนม์สวัสดิ์ เมื่อครั้งเป็นนายก อบจ.สมุทรปราการ กับพวก ได้พิจารณาอนุมัติเบิกจ่ายเงินวัดในสมุทรปราการจริง รวม  68 โครงการ รวม 856 ล้านบาทเศษ

ซึ่งการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้วัดในช่วงดังกล่าว ต่อมา ป.ป.ช.พบว่ามีอย่างน้อย 20 โครงการ วงเงินประมาณ  338 ล้านบาทเศษ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีตัวละครคือ นายปกรณ์ เนตรประภา เป็นกรรมการบริษัท เอเวอร์กรีน เอ็กซ์พลอเรอร์ จำกัด โดยนายปกรณ์มีลักษณะเป็นผู้แทนของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา มีความสัมพันธ์สนิทสนมกับผู้บริหาร อบจ. จะแสดงตนเป็นตัวแทนของ อบจ.เพื่อประสานงานกับวัดว่าต้องการเงินอุดหนุนจาก อบจ.เพื่อนำไปก่อสร้างเมรุหรือศาลาการเปรียญหรือไม่ จึงดำเนินการจัดทำคำขอ แบบแปลนให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆ ลงนาม

นายนิวัติไชยกล่าวว่า ในกระบวนการเริ่มต้นถึงจบ ผู้แทนกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาคือบริษัทผู้รับเหมา ภายหลัง อบจ.ได้อนุมัติเงินอุดหนุนไปแล้ว ปรากฏว่าทั้งนายชนม์สวัสดิ์ กับพวกไม่มีการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินอุดหนุนเลย และการดำเนินงานแต่ละโครงการเป็นไปตามแบบแปลนการประมาณราคาหรือไม่ คุ้มค่าเหมาะสมกับเงินอุดหนุนหรือไม่ เหมือนกับเป็นการให้เงินปล่อยปละละเลย  ลักษณะน่าจะร่วมกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเงินอุดหนุนดังกล่าว การดำเนินโครงการทุกโครงการมีปัญหาจากการก่อสร้าง เนื่องจากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา จ้างช่วง ทิ้งงาน ไม่ตรงแปลน รายการประมาณราคาไม่ถูกต้อง  ราชการเสียหายร้ายแรง

คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า นายชนม์สวัสดิ์และนายอำนวย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายก อบจ.สมุทรปราการ มีมูลความผิดฐานละเลยไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ  157 ส่วนการกระทำของนายปกรณ์ และบริษัท เอเวอร์กรีนฯ มีความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157  ประกอบมาตรา 86

นายนิวัติไชยกล่าวว่า เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. จัดทำรายละเอียด และเตรียมส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด  (อสส.) เพื่อส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในพื้นที่ที่มีอำนาจวินิจฉัยต่อไป

 “ยืนยันไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่บังเอิญที่มาเสร็จในช่วงนี้พอดี อีกทั้งเรื่องนี้ต้องเร่งพิจารณา เพื่อให้เอาผิดทั้งทางวินัยและอาญาได้ควบคู่กันไป เนื่องจากยังมีผู้ถูกกล่าวหาที่ยังรับราชการอยู่” นายนิวัติไชยกล่าว

นายนิวัติไชยยังแถลงข่าวถึงกรณีการชี้มูลความผิด  พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือผู้กำกับโจ้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ร่ำรวยผิดปกติว่า เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากกรณีทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยคดียาเสพติด เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย โดยสำนวนนั้นพนักงานสอบสวนส่งสำนวนร้องทุกข์กล่าวโทษให้ ป.ป.ช. โดย  ป.ป.ช.ส่งต่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการแล้วเสร็จ และมีการส่งฟ้องศาลแล้ว แต่เนื่องจากมีประเด็นต่อเนื่อง โดยมีผู้สื่อข่าวขยายผลว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ทำไมถึงมีบ้านหลังใหญ่ พร้อมสระว่ายน้ำ ประมาณ 4 ไร่ และมีการครอบครองรถหรูจำนวนมาก มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท จึงเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ ป.ป.ช.หยิบยกว่า มีข้อสงสัยร่ำรวยผิดปกติสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่

หลังจากนั้นมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน พบว่ามีรายการทรัพย์สิน เงินฝากธนาคาร ที่ดินพร้อมบ้านพัก  รถยนต์ และเงินที่ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์หลายคัน ได้มาไม่สัมพันธ์รายได้ เกินกว่าฐานะ หรือรายได้จากราชการพึงมี จึงเป็นกรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาไม่มีมูล โดยใช้อำนาจจากการปฏิบัติหน้าที่ รวม 1,352 ล้านบาทเศษ

นายนิวัติไชยกล่าวว่า มีรายละเอียดทรัพย์สินจำนวน  32 รายการ ประกอบด้วย 1.เงินฝากในบัญชีธนาคาร 3  แห่ง จำนวนกว่า 1,243 ล้านบาท 2.บ้าน 2 หลัง พร้อมที่ดินรวม 5 ไร่ มูลค่ากว่า 54 ล้านบาท 3.รถยนต์ จำนวน  15 คัน มูลค่ากว่า 6.1 ล้านบาท 4.หนี้สินจากการผ่อนชำระตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 13 คันที่ลดลงผิดปกติ เช่น ปอร์เช, เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, โฟล์กสวาเกน, เฟอร์รารี  เป็นต้น จำนวนกว่า 53 ล้านบาท เนื่องจากเงินนั้นไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าได้มาโดยถูกกฎหมายหรือไม่  โดยมีการส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยเมื่อวันที่ 11  พ.ย.65 ทราบว่าพนักงานอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ 3 สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ยื่นคำร้องเรื่องดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เพื่อขอให้ศาลยึดทรัพย์ดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินแล้ว

เลขาฯ ป.ป.ช.ยอมรับว่า เรื่องนี้มีความยุ่งยากมาก  เพราะรถกว่า 400 คันไม่ใช่เรื่องง่าย แค่จะแกะรอยให้ได้คันเดียวก็ยากแล้ว จึงต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ อีกอย่างที่สำคัญคือเป็นเรื่องที่ย้อนหลังไปหลายปี ไม่รู้ว่าเอกสารหลักฐานเก็บไว้อย่างไร แต่ถ้าเป็นเรื่องใหม่ๆ สดๆ ก็สามารถรวบรวมพยานหลักฐานได้อย่างรวดเร็ว สามารถไปขอจากกรมศุลกากรได้เพราะเขามีหมด ดังนั้นขอความเห็นใจให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำงานด้วย 

นายนิวัติไชยกล่าวถึงความคืบหน้าคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ภาค 2 ที่มีการกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์, นายทักษิณ ชินวัตร, น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สองอดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา  วงศ์สวัสดิ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีกระแสข่าวเตรียมจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เพื่อพิจารณาในเดือน พ.ย.นี้ว่า เรื่องนี้ไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ เพราะต้องรอว่าองค์ประชุมคณะกรรมการ  ป.ป.ช.ครบวันไหน เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีนโยบายว่าเรื่องนี้เป็นคดีใหญ่ สมควรให้องค์ประชุมครบถ้วนเพื่อพิจารณา แต่เชื่อว่าเรื่องนี้น่าจะเสร็จทันอย่างน้อยภายในปลายปี 65

 นายนิวัติไชยยังให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าคดีการระบายมันสำปะหลัง (มันเส้น) แบบจีทูจีว่า คดีมันเส้นก็เสร็จแล้วเช่นกัน ทั้ง 2 สำนวนเตรียมนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณา แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด น่าจะหมายถึงเสร็จทั้ง 2 รัฐบาล แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีการระบายมันสำปะหลังแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.เกิดขึ้นกับรัฐบาลใน 2 ช่วง ในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  กับรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง