หนังคนละม้วน ชัชชาติโยนสภา เคาะสายสีเขียว

ไม่ตรงปก! "ชัชชาติ” สบช่องโยนสภา กทม.ตัดสินใจปมเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว อ้างชีวิตจริง หนังคนละม้วน สภาฯ คือตัวแทนประชาชน ดังนั้นต้องทำงานด้วยกันไป  ต้องเคารพสภาฯ ให้เกียรติท่าน

เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 2 แบริ่ง-สมุทรปราการ และหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ว่าปัญหาอยู่ที่การเก็บค่าโดยสาร เก็บอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าจ้าง   เพราะมีภาระหนี้ที่บริษัท กรุงเทพธนาคมจำกัด หรือเคที ว่าจ้างบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอสซี  ให้บริการเดินรถปีละประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท และหาก กทม.ตัดสินใจเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย 2 อัตรา 15 บาท จะมีส่วนต่างที่ต้องนำเงินจากสภากรุงเทพมหานคร (สภา กทม.) มาจ่าย จึงต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมสภา กทม.เพื่อบอกไว้ก่อน

 “ไม่ใช่ว่าเราเก็บค่าโดยสารไปแล้ว แล้วอนาคตต้องขอเงินเพื่อมาชดเชยส่วนต่าง สภา กทม.ก็อาจจะถามว่าทำไมตอนเก็บค่าโดยสารไม่มาบอกก่อนว่าต้องมีส่วนต่าง ถ้าเขารู้ก่อนเขาอาจจะไม่ให้เก็บ 15 บาท ถึงแม้ว่าจะเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร แต่เราก็ไม่ปฏิเสธว่าอนาคตต้องเอาเงินของสภามาจ่ายส่วนต่าง สภา กทม.คงรอข้อมูล เราเคารพและให้เกียรติท่าน”

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องการตอบความเห็นส่งคืนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง ครม.ก็รอคำตอบจากสภา กทม.แนบไปด้วย แต่ทางสภา กทม.มีการขอดูเอกสารเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาโดยละเอียด แม้ว่าอาจจะไม่ทันประชุมสมัยสามัญนี้ อาจต้องขอขยาย กำลังประสานงานกันอยู่

ผู้ว่าฯ กทม.เผยว่า ปัญหาต้นตอทั้งหมดเกิดจากเรื่องต่างๆ ไม่ได้ผ่านสภา กทม. อย่างหนังสือมอบหมายการให้เดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 ระหว่าง กทม.กับเคที ไม่ได้ผ่านสภา กทม. เพราะเท่าที่ฟังมาคงไม่ได้มีภาระหนี้เกิดขึ้น คิดว่าเก็บค่าโดยสารได้แล้วสามารถอยู่ด้วยตัวเองได้ แล้วไม่ต้องผ่านสภา กทม. เพราะไม่ได้ใช้เงินสภา กทม. ทำไปทำมาติดค่าจ้างกว่า 10,000 ล้านบาท ปัญหาเกิดจากการที่ฝ่ายบริหารคิดเองทำเองโดยไม่ปรึกษาสภา กทม.

 “สภา กทม.ถือว่ามีอำนาจสูงสุด เพราะเขาเป็นตัวแทนประชาชน เรื่องพวกนี้ต้องไปดูให้รอบคอบ การให้สภาฯ ดูก็คือการให้ประชาชนดูว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ เรื่องทั้งหมดเราไม่ได้ก่อหรอก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉะนั้นเราก็ต้องดูให้รอบคอบ สภาฯ เองก็คงไม่กล้าอนุมัติอะไรง่ายๆ เงินมันก็เยอะ มีเรื่องกฎหมาย เรื่องสัญญา” นายชัชชาติกล่าว

ผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้อง 3 คนคือ กทม., เคที และบีทีเอสซี  โดยสัญญาระหว่างเคทีกับบีทีเอสซีมีการเซ็นสัญญา ส่วน กทม.กับเคทีในส่วนต่อขยายที่ 1  มีสัญญา ซึ่งมีความชัดเจนว่าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ แต่ส่วนต่อขยายที่ 2 เป็นแค่หนังสือมอบหมายงาน ซึ่งสภา กทม.ไม่ได้รับรู้ รวมไปถึงไม่มีการระบุว่าต้องจ่ายเงินส่วนต่างหลายพันล้าน เพราะคิดว่าจะเก็บเงินค่าโดยสารมาจ่ายหักล้างกับค่าจ้างเดินรถได้

 “พอชีวิตจริง หนังคนละม้วน ก็ใช้เงินจากสภาฯ เยอะ กลายเป็นว่าสภาฯ ยังไม่เห็น แล้วจะไปอนุมัติได้อย่างไร เป็นตัวเงื่อนหลักที่จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ผ่านสภาฯ ฝ่ายบริหารต้องทำงานตามสภาฯ เพราะสภาฯ เป็นคนอนุมัติกรอบงบประมาณทั้งหมด ฝ่ายบริหารอาจจะมีไอเดียเยอะแยะเลย แต่สุดท้ายแล้ว ฝ่ายสภาฯ ต้องเป็นคนดู สภาฯ คือตัวแทนประชาชน ที่มาช่วยคัด กลั่นกรอง ดังนั้นต้องทำงานด้วยกันไป ต้องเคารพสภาฯ” ผู้ว่าฯ กทม.กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565   สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ สอบ. ได้จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ “รถไฟฟ้าต้องถูกลง ทุกคนต้องขึ้นได้ ผู้ว่าฯ กทม.ช่วยได้หรือไม่” โดยวันนั้นนายชัชชาติได้แสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหารถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวใน 5 ประเด็น เช่น การไม่ขยายสัญญาสัมปทาน เร่งแก้ปัญหาหนี้ เปิดเผยสัญญาเดินรถ ฯลฯ

ส่วนประเด็นค่าโดยสาร นายชัชชาติได้ยืนยันชัดเจนว่า จากการคำนวณตัวเลขค่าโดยสารรถไฟฟ้า BTS ตลอดสาย 25 บาท พอทำได้ แต่หาก 30 บาทตลอดสาย เอาอยู่ และทำได้สบาย โดยกำหนดราคานี้ในช่วงปี 2565 ถึง 2566 จากนั้นอาจปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อวยทักษิณชนะนายกอบจ.

"ภูมิธรรม" โว พท.ชนะนายก อบจ.อุดรฯ เป็นเรื่องธรรมดา เหตุ ปชช.ยังรัก “ทักษิณ” ชอบผลงานที่ทำมา