‘ป้อม’ปิดปาก‘ตู่’เข้าพปชร./เย้ย3ป.ขาลง

“บิ๊กป้อม” ลงสุราษฎร์ฯ ชาวบ้านแห่ต้อนรับขอกอดขอหอม แต่ยังใบ้กินเรื่องข้อเสนอให้ “น้องตู่”  เป็นสมาชิก พปชร. “อุตตม” รับคุยหลายพรรค แต่หารือไทยสร้างไทยบ่อยเพราะ “เฮียกวง-หญิงหน่อย” รู้จักกันมานาน “หัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย” อัดข้อเสนอแก้มาตรา  112 ระวังวิบัติเพราะคิดไม่ดีต่อสถาบัน “จตุพร-นิติธร” ไลฟ์สดย้ำ 3 ป.อยู่ช่วงขาลง แต่พรรคการเมืองอย่าเพิ่งชะล่าใจ ระบุหากไม่ลงท้องถนนแก้รัฐธรรมนูญเผด็จการ สุดท้ายก็เสร็จนายทหารที่ลงสนามการเมืองอยู่ดี

เมื่อวันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อติดตามสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ สถานการณ์ปาล์มน้ำมัน และพบปะประชาชน โดยทันทีที่ถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 7 ต.มะลวน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี มีข้าราชการและ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มารอต้อนรับ และเมื่อเดินทางไปห้องประชุมเมืองคนดี ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัด ก็มีประชาชนและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันมารอถือป้ายต้อนรับ

ทั้งนี้ ระหว่างที่กลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มยื่นหนังสือร้องเรียนเรื่องที่ดินทำกิน มีผู้หญิงนำพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาคล้องและขอหอมแก้ม พล.อ.ประวิตรพร้อมขอกอด ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้เอียงแก้มให้หอม จากนั้นเดินจับมือทักทายเกษตรกรที่มายืนถือป้ายเรียกร้องเรื่องที่ดิน  ระหว่างนั้นมีเด็กผู้ชาย 2 คน อายุประมาณ 3-4 ขวบ เข้ามาสวมกอด พล.อ.ประวิตร ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวบ้านกล่าวให้กำลังใจว่า “ลุงป้อมสู้ๆ” โดยตลอดการเดินพบปะชาวบ้าน พล.อ.ประวิตรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และโบกมือทักทายชาวบ้าน อีกทั้งรับปากชาวบ้านที่เรียกร้องให้จัดหาที่ดินทำกินให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินว่า  “โอเคครับ จัดเลย”

ในเวลา 12.30 น. พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงการวางตัวผู้สมัครว่าที่ ส.ส.พรรคใน จ.สุราษฎร์ธานี ว่าอยู่ระหว่างพิจารณา เพราะใน 7 เขตมีผู้สมัครกว่า 20 คน

แต่เมื่อถามถึงข้อเสนอของนายวีระกร คำประกอบ  ส.ส.นครสวรรค์ และคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ที่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมสมัครเป็นสมาชิกพรรค พปชร.เพื่อทำงานร่วมกับ  พล.อ.ประวิตรนำพรรคสู้ศึกเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตรไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว ก่อนขึ้นรถไปทันที

ด้านนายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด  สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาแนะให้นายกฯ ฟังคำวิจารณ์ของนายอุดม แต้พานิช หรือโน้ส เพื่อนำไปปรับปรุง โดยระบุว่าตลอดที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์รับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายอยู่แล้ว แต่ขอให้การเสนอความเห็นนั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ไม่ใช่ผลประโยชน์ของตัวเองหรือพรรคการเมือง ซึ่งการวิจารณ์ของนายโน้สนั้นเป็นการวิจารณ์แบบมีอคติ ไม่ชอบนายกฯ เป็นการส่วนตัวมากกว่า โดยใช้เวทีของตัวเองกล่าวหาโจมตี  ถามว่าเหมาะสมหรือไม่

 “ที่เรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 272 นั้น ถือเป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องของ ส.ส.ที่จะพิจารณา ไม่เกี่ยวข้องกับนายกฯ อยู่แล้ว และไม่ว่ากติกาจะออกมาเป็นอย่างไรทุกคนต้องยอมรับ รวมถึงนายกฯ ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกัน ดังนั้นนายอนุสรณ์ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ เห็นพรรคเพื่อไทยประกาศชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์อยู่แล้ว  เหตุใดถึงต้องกลัวกับเรื่องกติกาต่างๆ ขอแนะนำว่าพรรคเพื่อไทยอย่าไปกลัวกับกติกาต่างๆ เพราะความกลัวจะทำให้เสื่อม ทางที่ดีอย่ามัวแต่ออกมาพูดโจมตีคนอื่น เอาเวลาไปลงพื้นที่ช่วยประชาชนในขณะนี้ดีกว่า ไม่แน่อาจมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น” นายชนะศักดิ์กล่าว

ชี้ ‘เฮียกวง-หญิงหน่อย’ รู้จักกันมานาน

วันเดียวกัน ยังคงมีความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ โดยนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวถึงกระแสข่าวการรวมกับพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ว่า การหารือระหว่างพรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะช่วงที่การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง ที่ผ่านมาพรรคมีการพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่นด้วย ส่วนข่าวเกี่ยวข้องกับพรรค ทสท.นั้น พรรคมีการพูดคุยเป็นระยะๆ เช่นกัน เพราะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์  หัวหน้าพรรค ทสท.ต่างมีความคุ้นเคยรู้จักกันอย่างดี  เพราะผ่านเวทีการเมืองมาด้วยกันตั้งแต่อดีต

 “เรามีหลักการว่าหากจะสร้างพันธมิตรกับพรรคใด ทั้งในรูปแบบการรวมพรรคหรืออื่นๆ ก็ตาม เป้าหมายสูงสุดคือเพื่อให้เกิดพลังทางการเมืองที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานเพื่อประชาชนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งจะพิจารณาว่าพรรคการเมืองที่เราพูดคุยด้วยนั้น มีนโยบายและอุดมการณ์ที่สอดคล้องกันหรือไม่ รวมถึงแนวทางการทำงานร่วมกันมีความเหมาะสมอย่างไร” นายอุตตมกล่าว

ด้านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรค สอท. กล่าวว่า เรื่องจะรวมพรรคหรือไม่ต้องให้กรรมการบริหารพรรคไปหารือกันเอง แต่ตนกับคุณหญิงสุดารัตน์รู้จักกันมานาน และเห็นคุณหญิงสุดารัตน์เป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง  ทั้งนี้หากมีการรวมพรรคแล้วจะสร้างประโยชน์ มีพลังในการทำงานให้ส่วนรวม ก็จะดีกว่ามาสร้างความแตกแยกกัน  แต่หากรวมแล้วก็ไม่ใช่รวมเพื่อหวังจะได้ ส.ส.เยอะ แล้วจะไปต่อรองให้ได้ตำแหน่ง​ ส่วนใครจะเป็นหัวหน้า ใครจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังเร็วไปที่จะพูดตอนนี้​ เรื่องนี้หากจะจับมือกันจริงๆ​ กรรมการ​บริหารทั้ง ​2 ​พรรคก็ต้องไปคุยกัน เพราะขณะนี้กฎหมายลูกหรือ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.เกี่ยวกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 100 แทนสูตรหาร 500 อยู่ในระหว่างการรอคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ

นายสมคิดกล่าวว่า​ พรรคสร้างอนาคตไทยไม่คิดเป็นศัตรู​ทางการเมืองกับใคร​ การลงไปแต่ละพื้นที่ก็จะไปสะท้อนโอกาส ไปเรียนให้ทราบว่าแต่ละแห่งมีศักยภาพอย่างไร​ เพื่อให้ชาวบ้านได้ทราบว่าพื้นที่ของท่าน จังหวัดของท่านมีจุดดีจุดเด่นจุดขายอย่างไรในการพัฒนา​​ วันนี้เราต้องช่วยทำการเมืองให้เข้มแข็ง ​เพื่อที่จะทำให้ทุกคนมั่นใจ​ และกล้าเข้ามาลงทุนในบ้านเรา​ ทั้งนี้พรรค สอท.อยากขอโอกาสจากคนไทยในการเข้ามาพัฒนา​ประเทศ​ เป้าหมายของเราไม่ได้ต้องการ ส.ส.มากๆ​ แต่เราต้องการคนดีที่อยากเสียสละตัวเองเข้ามาทำงานให้บ้านเมือง​ เข้ามาช่วยเหลือ​ประชาชน​ พัฒนา​ประเทศ​ในทุกด้าน​ และมีจุดยืนมีอุดมการณ์​เดียวกับเรา​ ไม่ใช่เอาคนที่ซื้อเสียงชาวบ้านเข้ามาทำงาน แล้วพวกนี้ก็ไปถอนทุนหรือเอาเงินไปทุ่มซื้อตัว ส.ส.ให้เข้ามาอยู่กับพรรคของเรา ​แบบนั้นไม่ใช่นโยบายของเรา

นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย กล่าวว่า พรรคได้กำหนดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ในวันที่ 12 พ.ย.  พร้อมกับเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก 100 คน ซึ่งมีบุคคลหลากหลายอาชีพ  รวมถึง ส.ส.ในปัจจุบันจากพรรคใหญ่และพรรคเล็กประมาณ 20 คน โดยนโยบายของพรรคจะเน้นปราบยาเสพติดทุกประเภทภายใน 3 ปีต้องหมดไปจากประเทศไทย รวมถึงน้ำมันทุกชนิดต้องขายในราคาไม่เกินลิตรละ  25 บาท ตามสโลแกนที่ว่า ดูดในไทย กลั่นในไทย ขายให้กับคนไทย และหวยเสรีกู้เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นนโยบายเด่น 3  ใน 10 ข้อที่ได้นำเสนอแก่ประชาชน

“มั่นใจว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น พรรคเพื่อชาติไทย จะได้ ส.ส.ประมาณ 37-52 ที่นั่ง เป็นตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศชาติต่อไป” นายคฑาเทพกล่าว

เตือนแตะมาตรา 112 ระวังวิบัติ

นายคฑาเทพยังกล่าวถึงนโยบายของพรรคก้าวไกล  (ก.ก.) ที่เสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่า พรรคคัดค้านการแก้ไข เพราะพรรคยึดมั่นในสถาบันชาติ  ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์เทิดทูนอยู่เหนือหัว ซึ่งใครคิดร้ายคิดไม่ดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะพบแต่ความวิบัติ ทำกิจการงานอะไรไม่เจริญ และเรามีพระสยามเทวาธิราชที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงขอเตือนผู้ที่กำลังคิดไม่ดีกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้เลิกเสียเพราะจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต

ขณะที่นายมนัส โกศล หัวหน้าพรรคแรงงานสร้างชาติ กล่าวว่า พรรคมีนโยบายสำคัญในการหาเสียง คือ 1.จัดตั้งธนาคารแรงงาน เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานกู้เงินปลอดดอกเบี้ย  5 ปี 2.เงินบำเหน็จบำนาญ ผู้ประกันตนต้องเลือกได้ไม่ต้องรออายุครบ 55 ปี 3.จัดตั้งโรงพยาบาลประกันสังคม  และ 4.บัตรประชาชนใช้ประกันตนเองในคดีได้มูลค่า 6 หมื่นบาท

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ได้เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยนายนิติธรระบุว่า สถานการณ์ 3 ป.ขาขึ้นคือช่วงการรัฐประหาร 2557 แต่ขณะนี้ 3 ป.อยู่ในช่วงขาลง โดยประเมินจากอารมณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่แปรเปลี่ยนไป  รวมถึงตัวแปรการสนับสนุนของทหาร ซึ่งการโยกย้ายล่าสุดเริ่มสะท้อนถึงการถอนยวงกลับมาเป็นทหารอาชีพมากขึ้น และส่อแนวโน้มไม่สนองตอบต่อสิ่งที่รัฐบาลทำไม่ถูกต้องต่อประชาชน อีกทั้งฐานเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมือง ยิ่งนักการเมืองในพรรค พปชร.ทยอยย้ายพรรค  พร้อมกับเกิดความบาดหมางกันในกลุ่ม 3 ป. โดยประเมินจากอาการไม่ค่อยลงรอยกัน และเริ่มใช้ถ้อยคำพูดสวนทางประชดประชันกัน จึงเชื่อได้ว่าเกิดปัญหากันภายใน

“พรรคร่วมรัฐบาลในช่วงปลายใกล้จะครบวาระ เกิดพฤติกรรมทางการเมืองที่สะท้อนถึงแนวทางไม่ลงรอยกัน  พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เริ่มไม่เห็น พปชร.และ 3 ป.อยู่ในสายตา โดยวางเป้าหมายเลือกตั้งให้ได้ ส.ส.มากที่สุดถึง  120 เสียง เพื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคจะได้เป็นนายกฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากไม่เกิดความเสื่อมกันภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง” นายนิติธรกล่าว

นายนิติธรยังวิเคราะห์อีกว่า การเลือกตั้งที่ใช้กติกาเผด็จการ แต่พรรคการเมืองกลับยกชูเป็นประชาธิปไตย  แสดงถึงหลักการเกิดความย้อนแย้ง ยึดเอาแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง หวังได้กลับมาเป็นรัฐบาล ซึ่งจะเกิดความขัดแย้งใหญ่ในอนาคตกับนโยบายหาเสียง โดยพรรคเพื่อไทย (พท.) ประกาศหนุนเอานายทักษิณ ชินวัตรกลับบ้าน  ส่วนพรรคก้าวไกลเสนอแก้มาตรา 112 และการปฏิรูปกองทัพ สำหรับสื่อมวลชนเชียร์ 3 ป.ที่เรียกว่าพวกติ่ง  กลับมีอิทธิพลกว่าอำนาจรัฐ อาการเหล่านี้ล้วนส่อถึงความขัดแย้งใหญ่จะก่อตัวขึ้นในอนาคต และนำไปสู่การพังของประเทศได้ 

‘จตุพร’ เตือนสติพรรคการเมือง

 “สิ่งเหล่านี้ที่ประเมินมาล้วนตกอยู่สถานการณ์ขาลงทั้งสิ้น เมื่อการเมืองลง ทหารอยู่ช่วงขาลง และประชาชนทั้งคุณภาพชีวิตและพลังความร่วมมือเปลี่ยนแปลงยังถดถอยเป็นขาลงด้วย ในที่สุดประเทศก็พังกันทั้งหมด” นายนิติธรกล่าว

นายจตุพรกล่าวเช่นกันว่า สถานการณ์ในขณะนี้เมื่อ  3 ป.อยู่ช่วงขาลง เริ่มเห็นการปรับตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งลดอารมณ์กร้าว โมโหดุดัน เอาแต่ใจตัวเอง เริ่มไปใส่ความรู้สึกกับคนอื่นมากขึ้น ส่วนกองทัพขณะนี้แทบไม่เหลืออิทธิพลของ 3 ป.อยู่เลย วันนี้การค้ำยันกลับไม่เหมือนเดิมอีก ขณะที่ลิ่วล้อ 3 ป.ไม่รู้เกมใหญ่ที่เคลื่อนไหวอยู่ จึงปล่อยให้การเมืองเคลื่อนตัวย้ายสังกัดพรรคตามต้องการได้ แล้วกำอดีตมัวหมองของนักการเมืองสีเทาเข้มเอาไว้เปิดข่มให้อยู่หมัดได้ในอนาคต

 “ใครคิดว่า พปชร.จะสู้ทางเลือกตั้ง ซึ่งความจริงสู้ไม่ได้เพราะเป็นของเสียแล้ว จึงจงใจให้นักการเมืองเสื่อมไปด้วย ดังนั้นพรรคที่เห็นแก่ได้ก็ทำให้เสื่อมเช่นกัน ยิ่งกฎหมายลูกเลือกตั้งและพรรคการเมืองอยู่ในมือศาล ที่ 3  ป.มีความได้เปรียบอยู่ แม้ฝ่ายค้านพยายามโน้มน้าวบอกกฎหมายลูกไม่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงปลอบใจตัวเองเท่านั้น” นายจตุพรระบุ

นายจตุพรย้ำว่า ขณะนี้ประเทศส่อสัญญาณเริ่มพังทุกมิติ แต่บรรดานักเลือกตั้งยังไม่สำนึกอีก ซึ่งความจริงการลงถนนคือสิ่งกำหนดการเปลี่ยนแปลง นักการเมืองหลายคนได้ดีก็มาจากการลงถนนทั้งนั้น แต่วันนี้นักการเมืองอยากได้อำนาจกลับมองว่าทำเนียบรัฐบาลกำหนดการเปลี่ยนแปลง แต่เราเชื่อว่าถ้าสู้ในการเลือกตั้งซึ่งเป็นสนามเผด็จการ นักการเมืองจะแพ้ ดังนั้นต้องสู้สนามประชาชนบนถนนเท่านั้นจึงชนะ เมื่อนักประชาธิปไตยรังเกียจเผด็จการ แล้วทำไมไม่ล้างเผด็จการก่อนจึงเลือกตั้ง  อย่าทำแบบเกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง อีกอย่างการยุบพรรคยังอยู่ ถ้ายุบโครมแล้ว 3 ป.ช้อนเก็บเสียงจะเกิดอะไรขึ้น เสียทั้งของเสียเงินหมด

 “พรรคการเมืองเอาแต่เปิดตัวเลือกตั้ง แต่ยังไม่รู้ว่ามีสนามเลือกตั้งหรือไม่ ขอเตือนอย่าลืม 3 ป.เป็นทหารมีเป้าหมายชัด และมักเล่นในสนามที่กำหนดชนะได้ ดังนั้นการแก้ปัญหาชาติต้องเปลี่ยนกติกาเผด็จการก่อน แต่นักการเมืองวันนี้สู้เพียงให้ตัวเองอยู่รอด ไม่ได้เพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศ” นายจตุพรวิจารณ์

วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จ.ปทุมธานี หลังจากที่เคยยื่นเบาะแสต่อ กกต.เพื่อให้ไต่สวนสอบสวนเอาผิดพรรคการเมืองหลายพรรค ที่จัดทำและติดตั้งป้ายโฆษณาหาเสียงบริเวณริมถนนต่างๆ ทั่วประเทศไม่เป็นไปตามระเบียบของ กกต.   

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งัดกม.กดดันนายกฯ พปชร.อ้างข้อบังคับพรรค ทวงใบกรอกประวัติ‘ป๊อด’

"อุ๊งอิ๊ง" ยังเล่นบทเตมีย์ใบ้ "หมอมิ้ง" ขึงขังไม่ขีดเส้นตายรายชื่อ รมต. แต่ถ้าไม่ส่งก็ถือว่าไม่ส่ง พลิ้วไม่รู้หนังสือ