รอจังหวะปรับครม. ‘บิ๊กตู่’บอก‘จุรินทร์’/นริศนั่งมท.3 ‘สุทิน’โว‘เศรษฐา-อิ๊ง’มีจุดแข็ง

"บิ๊กป้อม" ยังปิดปาก-ปฏิเสธทุกคำถามต่อเนื่อง ปรับ ครม.แน่  "บิ๊กตู่" บอก "จุรินทร์" รอจังหวะอีกนิด "จุรินทร์" แจ้งมติพรรคเสนอชื่อ "นริศ" นั่ง มท.3 แล้ว ยันความสัมพันธ์ภายในประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหา  "สุทิน" โว "เศรษฐา-อิ๊ง" เหมาะเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย แลนด์สไลด์แน่

เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธการตอบคำถามถึงความคืบหน้ากรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ตรวจสอบงบประมาณที่เบิกจ่ายไปแล้วกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเยียวยาเกษตรกรกลุ่มปลูกยาสูบ รวมไปถึงได้มีการพูดคุยกับ ส.ส.ในพื้นที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหรือไม่

นอกจากนี้ยังปฏิเสธการตอบคำถามถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสนอตัวช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมไปถึงกรณีความสัมพันธ์ภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่มี ส.ส.เตรียมย้ายออกจากพรรคเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตได้ว่าพล.อ.ประวิตรยังคงสงวนท่าทีการตอบคำถามกับสื่อมวลชนในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นร้อนเรื่องความขัดแย้งภายในพรรค รวมไปถึง พล.อ.ประวิตรมีสีหน้าขึงขังและรีบเดินขึ้นรถ

พร้อมกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า  ภายหลังพิธีตักบาตรเสร็จสิ้น ระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์ได้เดินทักทาย ครม. มีช่วงหนึ่งได้ยืนพูดคุยกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวช่วงท้ายการทักทายว่า "ขอให้รอจังหวะนิดหนึ่ง" จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า นายจุรินทร์ อาจรายงานผลที่ประชุมพรรค ปชป. ซึ่งมีมติเสนอให้นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง เป็น รมช.มหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย ที่ลาออกไปก่อนหน้านี้กับ พล.อ.ประยุทธ์

ด้านนายจุรินทร์ กล่าวภายหลังพรรคปชป.มีมติเสนอชื่อนายนริศให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเสนอชื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ  ถวาย เพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า หลังจากที่พรรคมีมติเรียบร้อยแล้ว ได้แจ้งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงมติของพรรค ปชป. แล้ว และหลังจากนี้ก็จะเป็นขั้นตอนการดำเนินการและการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีในตำแหน่งอื่นๆ หรือไม่นั้น นายจุรินทร์ตอบว่า พรรค ปชป.ได้แจ้งมติพรรคในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ตามขั้นตอนการดำเนินการของพรรคเท่านั้น แต่ตำแหน่งอื่นๆ ยังไม่ทราบว่าจะมีการปรับเพิ่มเติมหรือไม่ และหลังจากนี้ จะต้องขึ้นอยู่กับขั้นตอน กระบวนการ  และดุลยพินิจของนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการต่อไป

นายจุรินทร์กล่าวต่อว่า หลังจากที่พรรคมีมติให้นายนริศดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว สัมพันธภาพภายในพรรค ปชป.ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ผู้ที่เป็นคู่แข่งขัน และทุกคนภายในพรรคเคารพมติพรรค เพราะพรรคเป็นสถาบันการเมือง ดังนั้นเมื่อมีมติพรรคแล้วจึงถือเป็นที่ยุติ

มีจุดแข็งทั้งคู่

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวนายเศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจ และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่มีชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยว่า บุคคลทั้งคู่ถือว่ามีคุณสมบัติเหมาะสม มีจุดแข็งทั้งคู่ นายเศรษฐาเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เป็นนักบริหารที่ประเทศต้องเพราะมีความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจ ขณะที่ น.ส.แพทองธารก็เป็นคนรุ่นใหม่ สามารถนำเอาเทคโนโลยีและดิจิทัลต่างๆ มาแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ ที่สำคัญมีฐานคะแนนนิยมสูงมากในขณะนี้ ดังนั้นคู่นี้ใครก็ได้เป็นนายกฯ ได้หมด เชื่อว่าจะสร้างโอกาสให้พรรคแลนด์สไลด์ได้อย่างแน่นอน ส่งผลให้เราชนะเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลที่แข็งแรงแน่ๆ

 “หาก น.ส.แพทองธารได้เป็นนายกฯ  แม้จะอายุไม่มาก แต่ก็จะได้ ครม.ที่ล้อมรอบไปด้วยผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ ช่วยเติมเต็มการทำงานได้ จะแตกต่างจาก 8 ปีที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง” นายสุทินกล่าว

  นายสุทินกล่าวถึงกระแสข่าว ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ที่จะย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อไทยว่า ทำไมเราไม่คิดกลับไปว่า ร.อ.ธรรมนัสจะย้ายกลับไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ กลับไปช่วย พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรค พปชร. กอบกู้พรรคขึ้นมาอีกครั้ง เพราะตอนนี้ ส.ส.ก็ย้ายออกไปอยู่พรรคอื่นมากพอสมควร อย่าลืมว่าทั้งคู่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่

ที่ จ.พัทลุง นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวถึงทิศทางพรรคหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เดินหน้าต่อทางการเมืองว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ไปต่อ เป็นเรื่องของประชาชน เมื่อถึงเวลาแล้วจะตัดสินใจสนับสนุนใครบ้างให้เข้ามาทำงานให้ประเทศชาติและประชาชน ซึ่งจุดยืนของพรรคชัดเจนอยู่แล้ว โดยตนพูดมาหลายครั้งแล้ว ถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนแปลง สมควรที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งโควิดเป็นตัวกระตุ้นให้เห็นถึงความเปราะบางในเชิงเศรษฐกิจของประเทศ เราต้องเร่งปรับเปลี่ยนให้ทันโลก วันนี้เรียนว่าพรรคสร้างอนาคตไทยมาพบปะพี่น้องประชาชนพูดประเด็นนี้เป็นสำคัญ เราต้องมาร่วมกันปรับเปลี่ยนประเทศ ส่วนใครจะมาบริหารในอนาคต นั่นอยู่ที่ประชาชน พรรคมีอุดมการณ์ มีจุดยืนว่าเราจะทำงานอย่างไร และวันนี้ก็จะเห็นเมื่อถึงเวลาการฟอร์มรัฐบาลใครเป็นใครบ้าง

แบ่งรับแบ่งสู้รวมพรรค

เมื่อถามถึงความชัดเจนกับกระแสข่าวคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย นายอุตตมกล่าวว่า ในการพูดคุยตนเรียนว่า การพูดคุยก็เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดาระหว่างพรรคการเมือง และไม่ใช่ระบุว่าพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นข้อเท็จจริงที่พรรคสร้างอนาคตไทยได้ประสบมาในหลายๆ เดือน  เราพูดคุยกับหลายๆ พรรค เป็นข้อเท็จจริง ก็เป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ พรรคการเมืองนักการเมืองก็มาแลกเปลี่ยนข้อมูล ประเมิน วิเคราะห์ โดยเฉพาะครั้งนี้เราเห็นได้ว่าสนามเลือกตั้งที่จะมาถึงในเรื่องของกฎเกณฑ์ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วพอสมควร มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองจะมานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนกันเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นเราคุยกับหลายพรรค อันนี้เป็นข้อเท็จจริง

ถามว่า พรรคสร้างอนาคตไทยและพรรคไทยสร้างไทยมีโอกาสจะรวมพรรคกันหรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า ยังตอบไม่ได้ วันนี้ยังไม่มีการพูดถึงการรวมพรรคแต่อย่างใด ซึ่งการหารือพูดจากัน อย่างที่ตนเรียนว่าได้มีโอกาสพบปะพูดจากัน หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยกับตนก็คุ้นเคยกันมาก่อน ซึ่งหลายท่านในพรรคไทยสร้างไทยมีการพบปะกัน รวมถึงพรรคอื่นด้วย

เมื่อถามว่า ที่นายสมคิดระบุว่าหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยกับคุณหญิงสุดารัตน์พูดภาษาเดียวกัน นายอุตตม กล่าวว่า เราคนไทยยังไงก็พูดภาษาไทยแน่นอน

ถามต่อว่า มีนัยอื่นหรือไม่ในทางการเมือง นายอุตตมกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่ตนกล่าวว่าภาษาเดียวกัน หรือเคมีเดียวกัน ก็ต้องเป็นเรื่องของการหารือ ไม่ใช่แต่หัวหน้าพรรค 2 คน เราทำงานเป็นทีม ทั้งสองฝ่ายตนเชื่อว่าอย่างนั้น

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยประกาศเดินหน้าที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลง พรรคมุ่งมั่นที่จะชูนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี และหน้าที่ของพรรคคือหาความไว้วางใจจากประชาชน และผลักดันให้นายสมคิดได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน ไม่ว่าใครจะลงสู่สนามการแข่งขัน พรรคสร้างอนาคตไทยยืนยันจะสนับสนุนนายสมคิดเป็นนายกฯ ของประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศและนำประเทศยามวิกฤต

อย่าห่วงแต่เลือกตั้ง

เมื่อถามว่า พรรคสร้างอนาคตไทยจะเสนอชื่อนายสมคิดเป็นนายกฯ เพียงชื่อเดียวหรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรค เมื่อถามว่าคิดว่าจะสู้กับแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ ที่ชูนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ที่ตนพูดมาเสมอนายกฯ ในภาวะวิกฤตต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยคือ 1.มีประสบการณ์ในการทำงาน 2.สามารถเข้าใจกลไกราชการและกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งกลไกทางการเมือง และต้องเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ คงจะไม่บอกว่าสู้กับใครได้หรือไม่ แต่นั่นคือคุณสมบัติของนายกฯที่พรรคสร้างอนาคตไทยตั้งเป็นเกณฑ์หลักในการสรรหาแคนดิเดตนายกฯ

เมื่อถามว่า ขณะที่พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าแลนด์สไลด์ ส่วนพรรคภูมิใจไทยตั้งเป้า 120 คน พรรคสร้างอนาคตไทยตั้งเป้าหมายการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอย่างไร นายสนธิรัตน์กล่าวว่า เราตั้งเป้าทำงานหนักที่สุด ทำเต็มที่ทำอย่างสุดความสามารถ เป้าหมายเป็นสิ่งที่เรายอมรับเมื่อพี่น้องประชาชนตัดสินใจ เราเองถือว่าทำดีที่สุด ซึ่งในทางการเมือง โดยนายสมคิดพูดแล้วว่าไม่ได้ทำงานการเมืองเพื่อเอาอำนาจ ไม่ได้ทำการเมืองเพื่อจะเอาจำนวน ส.ส. แต่จะเป็นพรรคการเมืองที่เปลี่ยนแปลงชีวิตพี่น้องประชาชน หน้าที่เราตรงนี้ทำให้ดีที่สุด ประชาชนตัดสินใจอย่างไรเป็นสิ่งที่เราพร้อมรับ

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายสมคิดมองเศรษฐกิจปีหน้าเละแน่นอน พร้อมแนะนายกฯ ฟังข้อมูลรอบด้านจากคนจริงใจ อย่าห่วงแต่เลือกตั้งว่า การทำงานของนายกฯ ทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจนั้น นายกฯ รับฟังข้อมูลอย่างรอบด้านอยู่แล้ว และมีรองนายกฯ มีรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทำงานร่วมกัน

อีกทั้งที่ผ่านมาเกิดปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด-19 และสงคราม ซึ่งนายสมคิดก็รู้ดี แต่นายกฯและรัฐมนตรีทุกคนก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีที่สุด และไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

 “ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น ครม.ชุดใดนายกฯ ก็ได้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีความจริงใจเข้ามาในการที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ เช่นเดียวกันที่เลือกนายสมคิด, นายอุตตม สาวนายน และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แกนนำพรรคสร้างอนาคตไทย มาทำงานแก้เศรษฐกิจก่อนหน้านี้ แต่ขอให้มองย้อนไปตอนที่นายสมคิดเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งคิดว่านายสมคิดน่าจะรู้ตัวเองดี ดังนั้นก็ขออย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ไม่ดีกับเศรษฐกิจของประเทศ และอย่าใช้วาทะหาเสียงแต่มุ่งทำลายมิตร จะกลายเป็นการเมืองเก่าๆ น้ำเน่า" นายเสกสกลกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งัดกม.กดดันนายกฯ พปชร.อ้างข้อบังคับพรรค ทวงใบกรอกประวัติ‘ป๊อด’

"อุ๊งอิ๊ง" ยังเล่นบทเตมีย์ใบ้ "หมอมิ้ง" ขึงขังไม่ขีดเส้นตายรายชื่อ รมต. แต่ถ้าไม่ส่งก็ถือว่าไม่ส่ง พลิ้วไม่รู้หนังสือ