เคยปลูกฝีป้องกันฝีดาษลิงไม่ได้

รัฐบาลย้ำ ปชช.จำเป็นต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้นแม้สถานการณ์โควิด-19 โดยรวมดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 เพื่อลดโอกาสป่วยหนักเสียชีวิต สธ.เผย​ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนฝีดาษเมื่อ 40 ปีที่แล้วไม่สามารถป้องกันฝีดาษลิงได้​ ไทยสั่งซื้่อวัคซีนฝีดาษลิง 1 พันโดสใช้กับกลุ่มเสี่ยงมากๆ ยังไม่จำเป็นต้องใช้วงกว้าง ย้ำติดเชื้อไม่เร็ว  อาการไม่รุนแรง เสียชีวิตต่ำ

เมื่อวันจันทร์ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รักษาตัวในโรงพยาบาล 1,360 ราย ประกอบด้วยผู้ติดเชื้อในประเทศ  1,360 ราย เสียชีวิต 22 ราย เพศชาย 11 ราย เพศหญิง 11 ราย สัญชาติไทย 21 ราย และเมียนมา 1 ราย

สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศตั้งแต่ต้นปี 63 จนถึงล่าสุดอยู่ที่ 4,659,902 ราย โดยมีผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มขึ้น 2,106 ราย ยอดเสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็น 32,422 ราย

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้สถานการณ์ผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในประเทศไทยจะทรงตัวและปรับตัวลดลง ขณะที่รัฐบาลทยอยประกาศผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตเกือบเป็นปกติ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยเฉพาะในกลุ่ม 608 ที่มีความเสี่ยงสูง ที่นอกจากรับวัคซีนครบตามเกณฑ์แล้ว จะต้องเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่  3 และ 4 ด้วย

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุถึงความจำเป็นที่ประชาชนต้องเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากไวรัสโควิด-19 ยังคงมีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง  เช่นกรณีของสายพันธุ์โอมิครอน ที่ขณะนี้มีการจับตาสายพันธุ์ BA.2.75 ซึ่งมีการพบครั้งแรกในอินเดีย และขณะนี้ได้กระจายไปในหลายประเทศและคาดการณ์ว่าอาจมาแทนที่สายพันธุ์ BA.5 เนื่องจากการดื้อต่อภูมิต้านทานและแพร่ระบาดรวดเร็วทั้งในผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดมาก่อนและผู้ไม่เคยติดเชื้อ จึงขอให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อที่ยังมีการกลายพันธุ์ต่อเนื่อง หรือหากติดเชื้อไวรัสก็ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตได้ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อบริการประชาชนอย่างเพียงพอ โดยมีแผนบริหารการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นในเดือน ก.ย.65  

ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์  อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเรื่องภูมิคุ้มกันต่อเชื้อฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง (Monkeypox) ว่า  กรมวิทย์ได้ทำการทดสอบภูมิคุ้มกันต่อฝีดาษลิงในคนที่เคยได้รับวัคซีนฝีดาษมานานกว่า 40 ปี โดยวิธี  Plaque Reduction Neutralization  Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสากล ด้วยการนำน้ำเลือดมาเจือจางลงเป็นเท่าๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ฆ่าเชื้อได้ครึ่งหนึ่ง เรียกว่า PRNT 50% ผลออกมาเป็นไตเตอร์ โดยค่าที่จะจัดว่าสามารถลบล้างหรือป้องกันการติดเชื้อได้ ค่าไตเตอร์ต้องเท่ากับหรือมากกว่า 32 หากต่ำกว่านี้จะไม่สามารถจัดการเชื้อได้ ที่ผ่านมาได้หาอาสาสมัครมาดำเนินการแบ่งตามกลุ่มอายุ 3 กลุ่ม รวม 30  คน โดยแต่ละกลุ่มมี 10 คน

ในการศึกษาตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก ทั้งสายพันธุ์ย่อย B.1 และ A.2 ผลพบว่ากลุ่มอายุ 45-54 ปี อาสาสมัครทั้งหมดมีค่าไตเตอร์ต่ำกว่า 32 ทั้งหมด ถือว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทั้งสายพันธุ์ย่อย B.1 และ A.2 กลุ่มอายุ  55-64 ปี อาสาสมัครทุกรายมีค่าไตเตอร์ต่ำกว่า 32  ทั้งหมด ถือว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทั้งสายพันธุ์ย่อย B.1 ส่วนสายพันธุ์ A.2 มี 2 รายที่มีค่าไตเตอร์เกิน 32 คือมีค่าไตเตอร์ 35 และ 39 และอายุ  65-74 ปี อาสาสมัครทั้งหมดมีค่าไตเตอร์ต่ำกว่า 32  ทั้งหมด ถือว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทั้งสายพันธุ์ย่อย B.1 และ A.2

นอกจากนี้ ได้ทำการตรวจระดับภูมิคุ้มกันในคนที่ติดฝีดาษลิงด้วย และกลุ่มคนที่ไม่ได้รับวัคซีน พบว่าไม่มีภูมิคุ้มกันในการป้องกันเชื้อทั้งต่อสายพันธุ์ย่อย B.1 และ A.2

นพ.ศุภกิจกล่าวเพิ่มเติม​ว่า​ การนำวัคซีนมาใช้นั้นมีผลทั้งการป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค  เพราะฉะนั้นกรณีวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงที่ประเทศไทยสั่งซื้อมา 1,000 โดส จะใช้ใน 2 กลุ่มเสี่ยงมากๆ คือ 1.เจ้าหน้าที่ห้องแล็บ และ 2.บางอาชีพที่เสี่ยง หรือคนทั่วไปที่มีประวัติเสี่ยง ไปสัมผัสโรคก็อาจฉีดให้เพื่อลดความรุนแรง แต่ยังไม่มีความจำเป็นต้องนำมาฉีดทั่วไป เนื่องจากการติดเชื้อไม่ได้เร็ว ติดจากการสัมผัสใกล้ชิดแบบนัวเนียทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นโอกาสแพร่ในวงกว้างจึงยังไม่มี  และสายพันธุ์ย่อย A.2 ที่ระบาดตอนนี้ ผู้ป่วยอาการไม่ค่อยรุนแรง และอัตราการเสียชีวิตไม่รุนแรง จากที่มีผู้ป่วยกว่า 50,000 ราย มีเสียชีวิต 15 ราย ต่ำกว่าโควิด-19 มาก ซึ่งทั่วโลกก็ระบุว่ายังไม่คุ้มค่าที่จะนำมาฉีดให้ทุกคน ส่วนการป้องกันการติดเชื้อยังสามารถใช้มาตรการแบบที่ป้องกันการติดโควิด-19 ได้ รวมถึงไม่ไปสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยหรือสัมผัสตุ่มแผลของผู้ป่วย

"สรุปคือคนไทยส่วนใหญ่ที่ได้รับวัคซีนฝีดาษมานานกว่า 40 ปี จำนวน 28 ราย ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสฝีดาษลิงทั้ง 2 สายพันธุ์ย่อย แต่มี 2 รายพบมีระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถป้องกันได้" นพ.ศุภกิจกล่าว

นพ.ศุภกิจกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันวัคซีนฝีดาษลิงโดยตรงยังไม่มีใครทำ แต่วัคซีนที่นำมาใช้คือวัคซีนฝีดาษคน  แต่ฉีดแล้วกันฝีดาษวานรได้ เพราะเป็นตระกูลใกล้เคียงกัน  ได้ผลประมาณ 85% ซึ่งถือว่าเพียงพอ และวัคซีนปลูกฝีก็ไม่มีแล้วเพราะมีความเสี่ยงพอสมควร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

งัดกม.กดดันนายกฯ พปชร.อ้างข้อบังคับพรรค ทวงใบกรอกประวัติ‘ป๊อด’

"อุ๊งอิ๊ง" ยังเล่นบทเตมีย์ใบ้ "หมอมิ้ง" ขึงขังไม่ขีดเส้นตายรายชื่อ รมต. แต่ถ้าไม่ส่งก็ถือว่าไม่ส่ง พลิ้วไม่รู้หนังสือ