หาร100พ่นพิษ!กรณ์ชิ่ง‘กล้า’ย้ายซบ‘สุวัจน์’

"วิษณุ" เผยร่างกฎหมายลูก 2 ฉบับยังไม่ถึงมือ รบ. เหตุ ส.ส.ร้องยื่นศาลระหว่างเรื่องอยู่ในมือ ประธานรัฐสภาชี้รอศาลวินิจฉัย ยันไม่กระทบเงื่อนเวลา  เซอร์ไพรส์ "กรณ์" ย้ายค่าย จับมือ "สุวัจน์" ร่วมทีมเศรษฐกิจชาติพัฒนา ยันไม่ควบรวมพรรคกล้า "อรรถวิชช์"  ติดแฮชแท็ก #กล้าพัฒนาชาติ "ผมเชื่อมั่นพี่กรณ์ มันเป็นการเอา 'เศรษฐกิจ' และ 'การเมือง' มาไว้ในที่เดียวกัน"

เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565 ที่โรงแรมรามาการ์เดนส์  ถนนวิภาวดีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับว่าด้วยการเลือกตั้ง ที่มีรายงานว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ส่งมายังรัฐบาลแล้วว่า ยังไม่เห็น น่าจะอยู่ที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี

ด้านนายวิษณุเผยว่า ขณะนี้นายชวนยังไม่ได้ส่งมาที่รัฐบาล ทราบว่ามีการยื่นคำร้องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายชวนได้ตรวจสอบพบว่ามีลายเซ็นไม่ตรงกับต้นฉบับ  2-3 ชื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบกับ ส.ส. ก็เลยยังไม่ส่งมาที่รัฐบาล ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเตรียมที่จะส่งศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าแทนที่จะให้นายกฯ เป็นผู้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ก็กลายเป็นว่าให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ส่งเอง เหมือนกฎหมายพรรคการเมืองที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า ส.ส.ร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยระหว่างที่กฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับอยู่ในมือประธานรัฐสภา นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ ทั้งนี้หากประธานทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้แล้วส่งเรื่องมาที่รัฐบาล ให้ผู้ที่จะค้านตามมาค้านที่รัฐบาลก็ได้ เพราะเมื่อมาถึงรัฐบาลก็ต้องเก็บไว้ 5 วัน แต่ปรากฏว่าช่วง 3 วันที่อยู่ในมือประธานรัฐสภา มีการยื่นคำร้องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนี้ประธานอยู่ระหว่างตรวจสอบลายเซ็น ทราบว่ามีลายเซ็นไม่ตรงกับต้นฉบับ 3  ชื่อ ประธานจึงให้จัดการเซ็นมาใหม่

เมื่อถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีกรอบเวลาในการพิจารณาหรือไม่ รองนายกฯ ตอบว่าไม่มี

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคเสรีรวมไทย และเป็นอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะคณะผู้รณรงค์แก้ไข  ม.272 ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประวิตร   เรื่องขอเสียงสนับสนุนอย่างจริงใจในการแก้รัฐธรรมนูญ ม. 272 โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

"วันที่ 6 และ 7 กันยายน พ.ศ.2565 ประธานรัฐสภาได้กำหนดให้เป็นวันประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาวาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยในเรื่องด่วน วาระที่ 6 เป็นข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ของประชาชน 64,151 รายชื่อ เพื่อแก้ไขในบทเฉพาะกาลมาตรา 272 ประเด็นการตัดอำนาจสมาชิกวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรกของรัฐสภา

การแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นดังกล่าวนี้ จะมีผลทำให้การลงมติเลือกผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีได้กระทำในที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎร โดยพรรคที่มีเสียงข้างมากหรือสามารถรวบรวมเสียงข้างมากจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ด้วยความสง่างามและมีเสถียรภาพความมั่นคงที่แท้จริง มิใช่การต้องมีเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาที่เป็นสภาแต่งตั้งและจะครบวาระในเวลาอีกเพียงหนึ่งปีหลังจากปี พ.ศ.2566

ที่บ้านเลขที่ 333 ซ.ราชวิถี 20 เขตดุสิต กทม.  นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา (ชพน.)  พร้อมนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ร่วมกันแถลงข่าว โดยนายสุวัจน์กล่าวว่า พรรค ชพน.ปรึกษากันว่าใครที่มีความเหมาะสมที่จะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ และมาทำงานร่วมกัน เราคิดถึงนายกรณ์ เพราะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางด้านเศรษฐกิจโดยตรง เคยเป็น รมว.การคลัง ด้วยประสบการณ์ช่วยแก้วิกฤตต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ จนทำให้เราผ่านวิกฤตมาได้ เคยทำงานเอกชนและทำงานในรัฐบาล เป็น รมว.การคลังของโลกและเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับในระดับสากล  พิสูจน์ผลงานให้เห็นชัดเจน แต่ขณะเดียวกันยังมีประสบการณ์เป็น ส.ส.ที่มาจากพื้นที่และมาการเลือกตั้ง  เป็นนักเรียนนอก มีความเป็นสากล จบการศึกษาด้านนี้โดยตรง

ไม่ได้เป็นการรวมพรรค

"ถือเป็นหน้าเป็นตา เรามีความเชื่อมั่นว่านายกรณ์จะเป็นผู้ที่มาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ ร่วมกันทำงานกับพรรคชาติพัฒนา ซึ่งพรรคจึงเชิญคุณกรณ์ที่เป็นความหวังมากอบกู้ประเทศ อยากมาจับมือกัน รวมพลังกันในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติบ้านเมืองในวันนี้"

ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นการรวมกันแบบไหน นายสุวัจน์ ตอบว่า พรรคชาติพัฒนาต้องการมือเศรษฐกิจมาร่วมทำงานกับเรา จึงเรียนเชิญนายกรณ์มาร่วมทำงานกับเรา ส่วนขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับนายกรณ์ เป็นแนวทางที่นายกรณ์จะไปดำเนินการ

"ไม่ได้เป็นการรวมพรรค เป็นการเชิญคุณกรณ์มาร่วมงาน ส่วนขั้นตอนอะไรที่เป็นเรื่องของคุณกรณ์จะมีการดำเนินการให้ครบถ้วน ย้ำว่าพรรคชาติพัฒนายังอยู่"

เมื่อถามว่า นายกรณ์จะอยู่ตำแหน่งไหนของพรรค  นายสุวัจน์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง และ พรรคชาติพัฒนาต้องปรับปรุงตัวบุคคล เนื่องจากมีผู้ใหญ่ในพรรคลาออกไปสมัครการเมืองท้องถิ่น 7 คน ทำให้เราต้องมีการประชุมใหญ่ และที่ผ่านมาได้มีการแก้ไขบังคับพรรค โครงสร้างพรรค ซึ่งเรายังไม่ได้แต่งตั้งประธานยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเมือง ความมั่นคง และเทคโนโลยี ฉะนั้นหัวหน้าพรรคคงใช้โอกาสนี้ในการนัดประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อปรับโครงสร้างและจัดสรรบุคลากรตามความเหมาะสม เพื่อให้สมาชิกพรรคให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนั้นท่านใดจะอยู่ในตำแหน่งใดยังตอบไม่ได้ เป็นเรื่องของที่ประชุมใหญ่ ส่วนนายกรณ์จะดำรงตำแหน่งอะไรยังตอบไม่ได้ แต่ต้องมีบทบาทหน้าที่ที่ทำให้เกิดความมั่นใจทางเศรษฐกิจ 

ซักว่า จะถึงขั้นเสนอนายกรณ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ  หรือไม่ ประธานพรรคชาติพัฒนาตอบว่ายังไม่ได้มองไปถึงจุดนั้น วันนี้ขอตอบว่าเชิญนายกรณ์มากู้วิกฤตเศรษฐกิจ  ส่วนตำแหน่งอะไรในอนาคตว่ากันอีกที เป็นไปตามจังหวะทางการเมือง คิดว่าสัปดาห์หน้าหัวหน้าพรรคจะเรียกประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การประชุมใหญ่ของพรรคในสิ้นเดือน ก.ย. 

เมื่อถามว่า ที่บอกว่าต้องรวมพลังกันแก้ปัญหา ชพน.จะเชิญคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย และนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยมาร่วมกันด้วยหรือไม่ นายสุวัจน์กล่าวว่า การเมืองวันนี้ต้องหันหน้าเข้าหากัน จะบอกว่าเราไปร่วมกับใคร ไปเชิญใครคงบอกไม่ได้ แต่วันนี้ขอเริ่มต้นที่นายกรณ์ ท่านอื่นไปตอบแทนไม่ได้

ด้านนายกรณ์เผยว่า เราได้คุยกันและตัดสินใจที่จะจับมือกับ ชพน.ซึ่งตัดสินใจง่ายมาก เพราะเราจับมือกันแล้วจะทำให้เราทั้งสองคนมีโอกาสที่จะช่วยประชาชนตามเป้าหมายได้มากขึ้น โอกาสที่จะเคลื่อนแนวความคิดและนโยบายให้เป็นสิ่งที่ประชาชนจับต้องได้มีมากขึ้นแน่นอน ถ้าจับมือกันแล้วประชาชนได้ประโยชน์จะไม่จับมือกันได้อย่างไร ในมุมมองตนนายสุวัจน์ยึดหลักปฏิบัตินิยมมาตลอด ไม่ว่าในฐานะนักการเมือง นักธุรกิจ ไม่พูดมาก แต่ลงมือทำ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเรามีเป้าหมายชัดเจนคือ ช่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ความมั่นคงในสังคมต่อไป

ชัดเจนสุดคือจับมือทำงาน                

เมื่อถามว่า มาร่วมงานหรือรวมพรรคกัน นายกรณ์ตอบว่า ในส่วนของตน เราจะร่วมมือกันในรูปแบบมีประสิทธิภาพมากที่สุด ส่วนขั้นตอนว่าสุดท้ายรูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร คิดว่ามีขั้นตอนทางกฎหมายที่เราจะเดินตามนั้น จะปรากฏความชัดเจนเอง ตนกับนายสุวัจน์ร่วมมือกันร้อยเปอร์เซ็นต์ 

ถามว่า มาในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าใช่หรือไม่ นายกรณ์ชี้แจงว่า มาในฐานะนายกรณ์ ได้มีการปรึกษาหารือพูดคุยกับนายสุวัจน์ระยะหนึ่ง ได้ตกลงใจว่าเราจะทำงานร่วมกัน ส่วนอนาคตพรรคกล้านั้น เป็นเรื่องของพรรคกล้าที่เขามีกระบวนการที่ต้องพิจารณาว่าจะอย่างไรต่อ ขั้นตอนทางกฎหมายมันจะเป็นตัวกำกับว่าเราจะต้องทำอย่างไร  ตนกับพรรคพวกที่พรรคกล้าคุยกันมาโดยตลอดเรื่องเจตนาความตั้งใจ ซึ่งเห็นตรงกับทุกคนว่าเราควรจะเดินยุทธศาสตร์ไหน ในส่วนของตนตนตัดสินใจตรงนี้ เอาว่าทุกคนเห็นตรงกัน แล้วขั้นตอนนำไปสู่รูปแบบที่จะเสนอตนให้ประชาชน 

ซักว่า ลาออกจากหัวหน้าพรรคกล้าหรือไม่ เขาตอบว่าทั้งหมดเป็นเรื่องต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ตนอยากจะตอบให้ชัดเจนกว่านี้ แต่ชัดเจนสุดคือจับมือทำงาน ถ้าไปดูข้อบังคับพรรคการเมืองจะเข้าใจ และที่ยังไม่ได้พูดเพราะอะไร ผลสรุปสุดท้ายมันจะมีความชัดเจนว่าเราร่วมมือกัน

เมื่อถามว่า วันนี้ยังเป็นสมาชิกพรรคกล้าอยู่หรือไม่  นายกรณ์กล่าวว่า ณ วันนี้ในส่วนของตนต้องเตรียมเข้าสู่รูปแบบการทำงานร่วมกันในอนาคต ยืนยันไม่เกี่ยวกับสูตรหารร้อย

เมื่อถามว่า จะพาสมาชิกพรรคกล้ามาด้วยหรือไม่  นายกรณ์กล่าวว่า ตนตัดสินใจมา ได้คุยกับพรรคพวกทุกคน ทุกคนเห็นประโยชน์และมีความรู้สึกว่า นี่คือแนวทางที่จะทำให้ตนและเขาสามารถทำงานได้ เมื่อถามว่าจะยุบพรรคกล้าหรือไม่ นายกรณ์กล่าวว่า ไม่ได้มีการควบรวม  สถานะของสองพรรคยังเหมือนเดิม ส่วนผู้บริหารพรรคกล้าจะตามมาด้วยหรือไม่นั้น เป็นขั้นตอนของคนที่อยู่ในพรรคกล้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย     

ขณะที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กสั้นๆ พร้อมติดแฮชแท็ก #กล้าพัฒนาชาติ ว่า "ผมเชื่อมั่นพี่กรณ์ มันเป็นการรวมเอาความแข็งแกร่ง ประสบการณ์ทาง 'เศรษฐกิจ' และ 'การเมือง' มาไว้ในที่เดียวกัน

นายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย  (สอท.) และผู้อำนวยการพรรค ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านั้นตัวแทนพรรคกล้าได้เคยมาคุยกับเรา แต่เขามีเงื่อนไขเยอะในการทำงานร่วมกันจึงไม่ลงตัว ส่วนที่พรรคกล้าไปรวมกับพรรคอื่น มองว่าจากบุคลากรของเขาที่มีจำกัด และคงมองหาที่เหมาะสมในการทำงานการเมืองต่อมากกว่า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอ๊ะยังไง! 2 สัปดาห์ ชื่อ 'กิตติรัตน์' ประธานบอร์ด ธปท. ยังไม่ถึงมือขุนคลัง

'พิชัย' บอกยังไม่ได้รับรายงาน ผลการเลือก 'ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ' คาดติดช่วงวันหยุด ชี้ช่วยค่าเกี่ยวข้าวชาวนาไร่ละ 500 บาท ขอฟังความเห็นที่ประชุม นบข.