ไทยเตรียมพร้อมสู่สังคมไร้เงินสด-เงินดิจิทัล ธปท.ออกแนวปฏิบัติให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบการธุรกิจการเงิน ติดตามความเสี่ยงกว่า 8.1 ล้านร้านค้า สร้างความเชื่อการชำระเงินผ่านเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) และ QR Code เริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565 นี้
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้บริโภคและร้านค้าออนไลน์จำนวนมากมีการชำระค่าสินค้าและบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) และการให้บริการชำระผ่าน QR Code ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้มีใช้การชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นช่องทางทุจริต ฟอกเงินหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่อาจส่งผลเสียหายต่อลูกค้าได้ ซึ่งล่าสุด
ธนาคารแห่งประเทศจึงได้ประกาศแนวนโยบายการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้าสำหรับการชำระเงินด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (Know Your Merchant : KYM) เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจชำระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานขั้นต่ำในการรู้จักและบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า โดยจะเริ่มบังคับใช้ 1 มกราคม 2565
ทั้งนี้ ธปท.ได้กำหนดแนวนโยบาย KYM เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระเงินใช้เป็นแนวปฏิบัติขั้นต่ำในการกำหนดกระบวนการรู้จักและการบริหารติดตามความเสี่ยงร้านค้า ได้แก่ 1.จัดให้มีการประเมินและจัดระดับความเสี่ยงร้านค้าตามรูปแบบลักษณะและประเภทธุรกิจโดยคำนึงถึงปัจจัยความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการฟอกเงินเป็นขั้นต่ำ และ 2. กำหนดนโยบายการรู้จักร้านค้าการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในการติดตามตรวจสอบและทบทวนความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของร้านค้าโดยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทและจัดให้มีการทบทวนและปรับปรุงนโยบายมาตรการการบริหารความเสี่ยงกระบวนการควบคุมภายในและติดตามตรวจสอบความเสี่ยงและปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ปัจจุบัน ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม มีร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรับบัตรเครดิต/เดบิต (EDC) ทั้งหมด 9 แสนเครื่อง และร้านค้าที่รับชำระผ่าน QR Code จำนวน 7.2 ล้านราย รวมร้านค้าทั้งหมดราว 8.1 ล้านราย ที่จะอยู่ในกระบวนการที่จะถูกตรวจสอบข้อมูลและประเมินความเสี่ยง ซึ่ง ธปท.จะมีการแบ่งประเภทความเสี่ยงของร้านค้า อาทิ ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าที่มีความเสี่ยงสูง ร้านค้าที่เข้าข่ายลักษณะต้องห้าม เป็นต้น ซึ่งจะมีการติดตามข้อมูลและขึ้นบัญชีร้านค้า Watch list อีกด้วย
"ปัจจุบันรูปแบบการใช้จ่ายเงินของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประกอบกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นปัจจัยสนับสนุนรูปแบบชีวิตวิถีใหม่ คนไทยหันมาใช้ e-Payments ในการชำระเงินมากขึ้น เช่น การทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบ Mobile Banking, Internet Banking, QR code การใช้บัตรเครดิต การใช้บริการระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay) เป็นต้น ดังนั้นท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงให้ความสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) และการใช้เงินดิจิทัล สร้างประสบการณ์การเงินดิจิทัลผ่านมาตรการรัฐ อาทิ คนละครึ่ง เราชนะ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญในการดูแลระบบการเงินไทยมีความมั่นคงและปลอดภัย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาภาคการเงิน ชึ่งนอกจากจะมีความปลอดภัยแล้ว ยังกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเสริมสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศด้วย" นางสาวรัชดากล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บิ๊กต่อแจงบ้านลอนดอน รมว.ดีอีดีดรับพ่อนายกฯ
ป.ป.ช.เปิดขุมทรัพย์ “บิ๊กต่อ” หลังพ้นเก้าอี้ ผบ.ตร. ทรัพย์สิน 209 ล้าน
ภท.เฮรอดคดียุบพรรค! อิ๊งค์ขอเริ่มทำงาน2ม.ค.
“ภท.” เฮ รอดยุบพรรค กกต.ยุติสอบ “วันนอร์” ไม่หวั่นถูกเลื่อยขาเก้าอี้
ธปท.จับตาแจกเงินเฟส2-3
“คลัง” ฟุ้งเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย.โตต่อเนื่อง อานิสงส์ส่งออก-ท่องเที่ยวหนุนเต็มพิกัด
ชวนบี้แก้ปมท้องถิ่นชิงลาออก
“แสวง” ลงพื้นที่ปราจีนบุรี ส่องรับสมัครนายก อบจ.วันสุดท้าย
จี้สอบ6ข้อป่วยทิพย หวั่น‘สมศักดิ์’แทรกแซง/‘แม้ว’ถก‘อันวาร์’เรื่องอาเซียน!
"บิ๊กป้อม" เลี่ยงเผชิญหน้า "ทักษิณ" ยกเลิกร่วมงานอวยพรครบรอบ 75 ปี
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย